แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

ทำไมพระศาสนจักรจึงมีพระคาร์ดินัล



431373_10150559739847285_1192586096_n

คณะพระคาร์ดินัลนั้นเป็นสถาบันหนึ่งในพระศาสนจักร ที่เกิดขึ้นตามกาลสมัยอันมีประวัติศาสตร์ยาวนานทางด้านการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการตามยุคสมัย สิ่งที่เกิดขึ้นในยุคแรกนั้นจึงกลายเป็นสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

  • ปัจจุบัน พระคาร์ดินัลทุกท่านเป็นพระสังฆราช แต่ก็มีลำดับฐานันดร คือ พระคาร์ดินัลระดับพระสังฆราช ระดับพระสงฆ์ และระดับสังฆานุกร( Cardinal Bishops, Cardinal priests and Cardinal Deacons) ทั้งสามลำดับขั้นนั้นดูเหมือนว่าน่าสับสน แต่ก็เข้าใจได้เมื่อเราศึกษาดูต้นกำเนิดทางประวัติศาสตร์

ประมวลกฎหมายพระศาสนจักร กล่าวไว้ว่า “ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นพระคาร์ดินัล เป็นบุรุษที่พระสันตะปาปาคัดเลือกอย่างอิสระ อย่างน้อยเป็นผู้อยู่ในฐานันดรสงฆ์... ผู้ที่ยังไม่เป็นพระสังฆราช ต้องได้รับการอภิเษกเป็นพระสังฆราช” (ม.351 วรรค 1)

  • ในอดีตนั้น ฆราวาสก็ยังได้รับแต่งตั้งเป็นพระคาร์ดินัลได้ ฆราวาสคนล่าสุดที่ได้รับแต่งตั้งเป็นพระคาร์ดินัลนั้นคือ นายจาโกโม อันโตแนลลี (ค.ศ.1806-1876) ผู้ซึ่งได้ดำรงตำแหน่งเลขานุการสำนักพระสันตะปาปา สมัยพระสันตะปาปา ปีโอ ที่ 9 (ค.ศ.1846-1878) ประมวลกฎหมายพระศาสนจักรในปัจจุบันอนุญาตให้ผู้ที่อย่างน้อยเป็นพระสงฆ์ได้รับแต่งตั้งเป็นพระคาร์ดินัล แต่ทว่าอย่างที่เคยเป็นมานั้น พระสงฆ์จำต้องได้รับการอภิเษกเป็นพระสังฆราช จึงจะได้รับแต่งตั้งเป็นพระคาร์ดินัล ดังนั้นทุกวันนี้ พระคาร์ดินัลทุกท่านจึงเป็นพระสังฆราช

ในประวัติศาสตร์ของพระศาสนจักร บุคคลแรกที่ได้รับแต่งตั้งเป็นพระคาร์ดินัลนั้นคือ พระสงฆ์ คำว่าพระคาร์ดินัลเป็นคำที่มาจากภาษาลาตินคือ “Cardo” ซึ่งหมายความว่า “จุดสำคัญ” แต่เดิมนั้น พระคาร์ดินัล คือ พระสงฆ์ที่ได้รับมอบหมายหน้าที่ประจำถาวร ณ วัดหนึ่งในกรุงโรม เขาคือบุคคลสำคัญตามความหมายดังกล่าว คือ เป็น “จุดสำคัญ” ที่เชื่อมต่อประตูกับวงกบประตู เขาจึงกลายเป็นตัวเชื่อมระหว่างพระศาสนจักรกับประชากร

  • ในศตวรรษที่ 4 พระสงฆ์ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัด 28 แห่งในกรุงโรมนั้นมีฐานันดรเป็นพระคาร์ดินัลระดับพระสงฆ์ พวกเขาทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของพระสันตะปาปา และช่วยงานบริหารปกครองพระศาสนจักร ทุกคนเป็นพระสงฆ์ มิใช่พระสังฆราช ดังนั้นบรรดาสังฆานุกรใน 14 เขต ของกรุงโรมจึงได้รับมอบหมายให้ทำงานด้านด้านเมตตาจิต อย่างเช่นสังฆานุกรยุคแรกๆ (กจ 6:1-6) ได้รับตำแหน่งพระคาร์ดินัล ดังนั้น พวกเขาจึงเป็นพระคาร์ดินัลระดับสังฆานุกร

หลังจากนั้น บรรดาพระสังฆราชถูกเรียกว่าเป็นพระคาร์ดินัล บรรดาพระสังฆราชของสังฆมณฑลในแถบเขตชานเมืองกรุงโรม (พระสังฆราชใกล้กรุงโรม) ได้เข้ามาอยู่ในการปกครองของพระสันตะปาปาในพระศาสนจักร ดังนั้นพระสังฆราชจึงเป็นตำแหน่งสุดท้ายที่ได้รับก่อนเป็นพระคาร์ดินัล

  • เราเห็นว่าตามประวัติศาสตร์ มีพระสงฆ์ สังฆานุกรและพระสังฆราชที่เป็นพระคาร์ดินัล การแบ่งฐานันดรดังกล่าวนี้ยังคงมีอยู่ในปัจจุบันนี้ แม้ว่าเดี๋ยวนี้พระคาร์ดินัลทั้งหมดเป็นพระสังฆราช แต่ลำดับฐานันดรนั้นยังคงมีอยู่ซึ่งใช้เป็นตัวอย่างถึงสภาสงฆ์โบราณของพระศาสนจักรในกรุงโรม ในปัจจุบันเมื่อมีการแต่งตั้งพระคาร์ดินัล พระสันตะปาปาจะมอบหมายให้ดูแลวัดแห่งหนึ่งในกรุงโรมตามลำดับฐานันดร สำหรับระดับพระสังฆราช “พระคาร์ดินัลที่พระสันตะปาปาทรงแต่งตั้งให้มีตำแหน่งประมุขวัดรอบกรุงโรม พระสันตะปาปาทรงมอบตำแหน่งหรือหน้าที่รับใช้ในกรุงโรมแก่พระคาร์ดินัลระดับสงฆ์และระดับสังฆานุกรตามระดับชั้นของตน” (ม.350 วรรค 1,2)

ในพระศาสนจักรยุคเริ่มแรกนั้น บรรดาพระสังฆราช รวมทั้งพระสังฆราชแห่งโรมถูกคัดเลือกมาโดยคณะสงฆ์และสัตบุรุษ การเปลี่ยนแปลงระบบดังกล่าวนี้เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 11 สภาสังคายนาที่ได้จัดขึ้นที่กรุงโรมในปี ค.ศ. 1059 สมัยพระสันตะปาปา นิโคลัส ที่ 2 (ค.ศ. 1059-1061) ได้วางกฎเกณฑ์ไว้ว่า พระสันตะปาปาควรได้รับเลือกโดยผ่านการพิจารณาจากพระคาร์ดินัลระดับพระสังฆราชของโรม 6 ท่าน และจากการยินยอมของคณะสงฆ์โรมัน บรรดาผู้นำของคณะสงฆ์คือพระคาร์ดินัลระดับสงฆ์ และคาร์ดินัลระดับสังฆานุกรแห่งโรม ดังนั้น การเลือกพระสันตะปาปาจึงอยู่ในอำนาจของพระ-คาร์ดินัลโดยปริยาย ในปี ค.ศ. 1139 สังคายนาแห่งลาเตรันได้ออกกฎว่าพระคาร์ดินัลเท่านั้นที่สามารถเลือกพระสันตะปาปาได้ จึงถือปฏิบัติเช่นนี้เรื่อยมา

  • ในศตวรรษที่ 12 จำนวนพระคาร์ดินัลระดับสังฆานุกรนั้นเพิ่มขึ้นจาก 14 เป็น 18 ท่าน ดังนั้นพระคาร์ดินัลระดับพระสงฆ์ 28 ท่าน ในศตวรรษที่ 16 พระสันตะปาปา เลโอที่ 10 (ค.ศ. 1513-1521) ได้เพิ่มจำนวนขึ้นเป็น 65 ท่าน ตอนปลายศตวรรษเดียวกันนั้น พระสันตะปาปา ซิกส์ตูสที่ 5  (ค.ศ.1585-1590) ได้เพิ่มจำนวนขึ้นเป็น 70 ท่าน โดยทางพระธรรมนูญเรื่อง Postquam vetus ในปี ค.ศ. 1586 จำนวนดังกล่าวยังคงไว้เกือบ 4 ศตวรรษ จนกระทั่งถึงสมัยพระสันตะปาปายอห์นที่ 23 ได้เพิ่มจำนวนขึ้นเป็น 75 ท่าน และก็ได้มีเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ ในเวลาต่อมา เมื่อพระสันตะปาปาเปาโลที่ 6 ผู้สืบตำแหน่งต่อจากพระสันตะปาปายอห์นที่ 23 ได้แต่งตั้งพระคาร์ดินัลใหม่ 27 ท่านในปี ค.ศ. 1965 จำนวนพระคาร์ดินัลจึงเพิ่มขึ้นเป็น 103 ท่าน

นอกจากทำหน้าที่เลือกพระสันตะปาปาแล้ว บรรดาพระคาร์ดินัลยังเป็นที่ปรึกษาสำคัญของพระองค์ และช่วยพระองค์บริหารปกครองพระศาสนจักร โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาผู้ที่เป็นเจ้ากระทรวงทั้งหลายขององค์การปกครองส่วนกลาง (ระบบการปกครองของพระศาสนจักร) บทบาทหน้าที่ต่างๆ ของบรรดาพระคาร์ดินัลมีสรุปไว้ในประมวลกฎหมายพระศาสนจักรมาตราที่ 349 “พระคาร์ดินัลในพระศาสนจักรโรมันคาทอลิกประกอบขึ้นเป็นคณะพิเศษ มีหน้าที่จัดให้มีการเลือกตั้งพระสันตะปาปา ตามกฎเกณฑ์ของกฎหมายพิเศษ ท่านยังมีหน้าที่ช่วยเหลือพระสันตะปาปาแบบเป็นคณะ เมื่อได้รับเรียกมาประชุมเพื่อพิจารณาปัญหาที่มีความสำคัญมากหรือแบบแต่ละองค์ กล่าวคือ โดยการช่วยเหลือพระสันตะปาปาในหน้าที่ต่างๆ ที่ท่านกระทำ เป็นต้น ในการเอาใจใส่ดูแลพระศาสนจักรสากล”