2. บทบาทของพระสงฆ์ในการสอนคำสอน
ประการที่สองที่จะกล่าวถึง สิ่งนี้เป็นหัวข้อที่น่าสนใจและเป็นสิ่งเร่งด่วนในปัจจุบัน เป็นความเจ็บปวดสำหรับข้าพเจ้าที่จะกล่าวว่า ถ้าเราพิจารณามโนธรรมอย่างจริงจัง จำเป็นต้องพิจารณาธรรมนูญด้านพระธรรมกล่าวถึงพระศาสนจักร ข้อ 28
“พระสงฆ์ได้รับการบวชเพื่อประกาศพระวรสาร เป็นชุมพาบาล เลี้ยงดูสัตบุรุษ และเพื่อประกอบคารวกิจต่อพระเจ้า”
หน้าที่นี้มาจากศีลศักดิ์สิทธิ์แห่งการบวชที่พระสงฆ์ได้รับ หนังสือคู่มือแนะแนวทั่วไปสำหรับการสอนคำสอน ได้เน้นย้ำแง่มุมนี้อย่างแข็งขันมากกว่าคู่มือสำหรับศาสนบริการและชีวิตสงฆ์ “บทบาทหน้าที่เฉพาะของคณะสงฆ์ ในงานด้านการสอนคำสอนเกิดจากศีลบวชที่พวกท่านได้รับ” โดยอาศัยศีลบวชนั้นเองที่บรรดาพระสงฆ์ได้รับการประทับตราลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งโดยทางการเจิมของพระจิตเจ้า ดังนั้นจึงเป็นภาพลักษณ์ถึงองค์พระคริสตเจ้าผู้ทรงเป็นสงฆ์ โดยวิธีการดังกล่าวบรรดาพระสงฆ์จึงสามารถดำเนินการในนามของพระคริสตเจ้าผู้ทรงเป็นศรีษะได้ โดยอาศัยการเป็นภาพลักษณ์ถึงองค์พระคริสตเจ้านี้เอง ที่ศาสนบริการของพระสงฆ์คือบริการที่จะช่วยจัดตั้งกลุ่มคริสตชน ช่วยประสานงาน และช่วยเสริมพลังให้กับพระพรพิเศษและบริการอื่นๆ ในเรื่องการสอนคำสอน ศีลบวชแต่งตั้งบรรดาพระสงฆ์ให้เป็นเสมือน “ผู้ให้การอบรมด้านความเชื่อ” ดังนั้นบรรดาพระสงฆ์จึงมีหน้าที่ดูแลสัตบุรุษให้ได้รับการอบรมอย่างถูกต้องเหมาะสม และช่วยให้บรรลุถึงความเป็นผู้ใหญ่ของการเป็น คริสตชนอย่างแท้จริง” (GDC 224)
งานบางอย่างสำหรับพระสงฆ์ในการสอนคำสอน
ในโครงร่างงานบางประการของพระสงฆ์ในการสอนคำสอนควรคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้
1. ความรับผิดชอบเป็นพิเศษของพระสงฆ์ในงานที่ได้รับการแบ่งปัน
พระสงฆ์มิใช่รับผิดชอบแต่เพียงกิจกรรมการสอนคำสอนเท่านั้น พระสงฆ์ทำงานเป็นหนึ่งเดียวกับพระสังฆราชของสังฆมณฑล และมีครูคำสอนจำนวนมากทั้งจากนักบวชและฆราวาสช่วยสอน (CHL 34) ในสัมพันธภาพกับครูคำสอน พระสงฆ์ควรหลีกเลี่ยงการกระทำที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา หรือสภาพการณ์ที่ยึดตนเป็นหลัก ซึ่งจะทำให้พระสงฆ์เกิดการผูกขาดในการสอนคำสอน นาทีนี้เป็นแบบนี้ อีกนาทีหนึ่งเปลี่ยนไปอีกแบบหนึ่ง ด้วยเหตุนี้จึงเป็นปัจจัยให้ละทิ้งความรับผิดชอบของตน การส่งเสริมเอกภาพในระหว่างครูคำสอน และผู้ที่ช่วยเหลือในศาสนบริการงานอภิบาลในเขตวัด เป็นงานพิเศษของพระสงฆ์ จากจิตสำนึกใหม่ของความเป็นหนึ่งเดียวของพระศาสนจักร ซึ่งพระสงฆ์คือผู้สนับสนุนและผู้รับผิดชอบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ พระสงฆ์จึงมีหน้าที่ในการประสานกันอย่างดีในการสอนคำสอน และบทบาทอื่นๆ ของท่าน
ด้วยวิธีนี้บทบาทของวัดในฐานะเป็นสถานที่หลักในการสอนคำสอนเป็นพิเศษ (เทียบ CT 67)
2. เป็นงานที่จะต้องกระทำก่อนในศาสนบริการการอภิบาลของพระสงฆ์
คริสตชนส่วนมากยังคงมีความคิดว่า กิจกรรมด้านคำสอนเป็นของช่วงวัยเด็ก หรือเพื่อเตรียมตัวรับศีลศักดิ์สิทธิ์
ด้วยเหตุผลนี้ จึงจำเป็นต้องเน้นย้ำคุณค่าอันสำคัญอันดับแรกของกิจกรรมด้านคำสอนในชีวิตและพันธกิจของพระสงฆ์ เพราะเหตุว่า การให้การศึกษาด้านความเชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโดยทางการสอนคำสอนที่มีระบบ ช่วยให้เกิดบุคลิกภาพของผู้รับศีลล้างบาป และชีวิตของพระศาสนจักรและทำให้พันธกิจการช่วยวิญญาณให้รอดก้าวหน้าขึ้น พระสงฆ์ควรมั่นใจว่าชุมชนได้รับความรู้ที่สำคัญๆ ของการสอนคำสอนในขั้นตอนต่างๆ ของชีวิต เพื่อที่จะช่วยพวกเขาให้เอาชนะวิสัยทัศน์ที่แคบในเรื่องการสอนคำสอนตามที่ได้พบเห็นในบรรดาคริสตชนจำนวนมาก
วิธีที่พระสงฆ์ตอบสนองต่อความรับผิดชอบเรื่องคำสอน ขึ้นอยู่กับการอุทิศตนของท่าน ความกระตือรือร้นในการอุทิศตน ซึ่งจะเป็นภาพปรากฏที่สำคัญที่พระสงฆ์ผูกพันต่องานที่เป็นหลักนี้ ในทางกลับกัน สิ่งเหล่านี้ขึ้นอยู่กับวิสัยทัศน์ที่ท่านมีต่อการสอนคำสอน และต่อบทบาทในศาสนบริการงานอภิบาล การที่พระสงฆ์มีความเข้าใจว่าเรื่องการสอนคำสอนไม่ค่อยสำคัญ จะทำให้เขาเห็นบทบาทของตนเหมือนกับองค์กรอื่น หรือเหมือนกับสิ่งอื่นๆ ที่ต้องกระทำ
3. การสอนคำสอนผู้ใหญ่และเยาวชน
ความรับผิดชอบของพระสงฆ์นอกจากการให้การอบรมสั่งสอนด้านความเชื่อแก่ผู้รับศีลล้างบาปแล้ว ยังรวมไปถึงกิจกรรมอื่นๆ ที่ส่งเสริมหรือสนับสนุนการสอนคำสอนที่เป็นระบบอย่างเพียงพอ และเหมาะสมกับแต่ละช่วงวัยของชีวิต กิจกรรมอื่นๆ ที่เหมาะสมก็ควรได้รับการอ้างอิง โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ในครอบครัว การฝึกอบรมด้านศาสนาให้กับครูสำหรับโรงเรียนคาทอลิก และอบรมแบบคริสตชนในขบวนการด้านการศึกษาและกลุ่มกิจกรรมคาทอลิกต่างๆ ในกิจกรรมต่างๆ เหล่านี้หน้าที่โดยแท้จริงของพระสงฆ์ คือ ต้องทำให้มั่นใจได้และรับรองว่ากิจกรรมเหล่านี้เหมาะสมกับสถานที่นั้นๆ และบรรลุผลมีคุณภาพเป็นที่ยอมรับ แต่อย่างไรก็ตาม มันไม่ใช่งานของพระสงฆ์ที่จะรวมกิจกรรมต่างๆ เหล่านี้ให้เข้ามาเป็นของตน (คนเดียว)
ในสภาพแวดล้อมทางสังคมและพระศาสนจักรในปัจจุบัน ในทางตรงข้าม เป็นความจำเป็นสำหรับพระสงฆ์ที่จะต้องร่วมมือกับชุมชนในพันธกิจการให้การศึกษาอบรมและการสอนคำสอน เพื่อที่จะทำให้เกิดการส่งเสริมการสอนคำสอนที่เป็นระบบสำหรับผู้ใหญ่และเยาวชน
สิ่งนี้ยังเรียกร้องการเริ่มชีวิตคริสตชน หรือการเริ่มใหม่สำหรับผู้ที่ความเชื่อยังไม่เติบโตไปถึงจุดที่เป็นพื้นฐานที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับความต้องการทางธรรมทูตในปัจจุบัน การกำหนดการสอนคำสอนสำหรับเด็กและวัยรุ่นมีความสำคัญอย่างปฏิเสธไม่ได้ ควรเพิ่มการประกาศพระวรสารและเพิ่มส่วนที่เกี่ยวกับพระศาสนจักรในการเผยแผ่พระวรสาร เยาวชนและผู้ใหญ่ เป็นสิ่งท้าทายใหม่ในการรับผิดชอบเรื่องการสอนคำสอนของผู้อภิบาลของพระศาสนจักร พระสงฆ์ต้องมีจิตสำนึกและมั่นใจในเรื่องนี้ ดังนั้นจึงเป็นการจำเป็นเร่งด่วนในการให้การอบรมด้านคำสอนสำหรับพระสงฆ์และสามเณร
การอบรมด้านคำสอนแก่พระสงฆ์และผู้ที่เตรียมตัวรับศีลบวชเป็นพระสงฆ์ เป็นสิ่งเร่งด่วนที่ต้องกระทำก่อน เพื่อฟื้นฟูการเอาใจใส่งานอภิบาลของพระศาสนจักรในด้านการสอนคำสอน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อที่จะพบกับการท้าทายในการประกาศพระวรสารใหม่
เรียกร้องให้สนใจผู้ปรารถนาเป็นคริสตชน หรือผู้ที่ได้รับศีลล้างบาปแต่ความเชื่อไม่มีวุฒิภาวะ ซึ่งจำเป็นต้องสนใจงานธรรมทูตในสมัยปัจจุบัน
ในปัจจุบันนี้การอบรมพระสงฆ์ต้องเน้นที่ความต้องการในการถ่ายทอดข่าวดีของคริสตชนให้เป็นข่าวดี ซึ่งให้ความรู้และเปลี่ยนแปลงชีวิตแบบองค์รวมของมนุษย์และนำเขาไปสู่ชีวิตนิรันดร์ (GDC 1971, 111)
รวมทั้งความสามารถในการเสวนากับผู้อื่น ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้และสามารถอธิบายด้วยวิธีที่มั่นใจว่า สาระสำคัญของความเชื่อยังปรากฏอยู่ในการประกาศ และเหตุการณ์สำคัญๆ แห่งการช่วยให้รอดพ้นของคริสตชนยังคงอยู่ การให้การอบรมต้องช่วยให้ความเชื่อคริสตชนของแต่ละคนที่เป็นส่วนสำคัญอย่างแท้จริงมีความสัมพันธ์กับชีวิตมนุษย์ ทำให้เขาสามารถยึดถือได้และบอกเค้าโครงที่เป็นต้นตอแห่งความเชื่อที่เขาดำเนินชีวิต
ผลที่ตามมาคือ การอบรมเช่นนี้ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษต่อการศึกษาอย่างลึกซึ้งในคำสอนต่างๆ ที่พระศาสนจักรได้แสดงออกถึงความเชื่อแบบสมบูรณ์ และในลักษณะที่เป็นแบบแผน คือ หนังสือคำสอนพระศาสนจักรคาทอลิก และหนังสือคำสอนท้องถิ่น ในขณะเดียวกันต้องพิจารณาฟื้นฟูทางวัฒนธรรมและทางเทววิทยา เพื่อช่วยพระสงฆ์ในการสอนความเชื่อให้สอดคล้องกับสภาพท้องถิ่นและเป็นคำสอนแท้ ตอบสนองการท้าทายที่เร้าใจในยุคสมัยของเรา : ความขัดแย้งระหว่างความเชื่อและวัฒนธรรม