แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

ส่วนที่ 1 : คำชี้แจงเพิ่มเติมเกี่ยวกับเนื้อหาของพระสมณสาร

หัวข้อที่ 1 : แนวความคิดที่สำคัญ
เราอยากจะให้ผู้อ่านได้ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับความคิดพื้นฐานที่สำคัญๆ ที่ข้อเขียนทั้งหมดกล่าวถึงโดยส่วนรวม

1.1 แนวความคิดเกี่ยวกับ “บุคคล”

หลักคำสอนเดิม
    ถ้าเราสรุปผลและทำการวิเคราะห์องค์ประกอบทางหลักธรรมที่เกี่ยวกับความรัก  การสมรสและครอบครัว  เราก็อาจจะพูดได้ว่า  ไม่มีอะไรใหม่เลย   อันที่จริง  หลักคำสอนตามแบบเดิมของพระศาสนจักรก็ดูจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง  และหลายครั้งหลายหนยังตั้งใจที่จะยืนยันว่า  คำสอนเก่ายังคงมีค่าอยู่เสมอ  เช่น  ข้อความที่ว่า  พระเจ้าเป็นผู้สร้างคู่สมรส  พระเจ้าทรงเปี่ยมไปด้วยความรักสำหรับประชากรของพระองค์  พระคริสตเจ้าทรงสละพระชนม์ชีพเพื่อพระศาสนจักรเจ้าสาวของพระองค์     ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวและสภาพที่ยกเลิกไม่ได้ของศีลสมรส    การปฏิเสธการคุมกำเนิดแบบวิทยาศาสตร์และการทำแท้ง  หน้าที่ของพ่อแม่ในการอบรมลูก  ฯลฯ  (เช่น ข้อ 2, 3, 29, 30)

หลักคำสอนในรูปแบบใหม่
    อย่างไรก็ดี  ภาษาที่ใช้จะรู้สึกว่าใหม่  เพราะเป็นภาษาที่เข้าได้กับความคิดในสมัยปัจจุบันและเชื่อมโยงโดยตลอดถึงประสบการณ์ในชีวิตจริงของมนุษย์ที่เวียนว่ายอยู่ในปัญหาต่างๆ ของสมัยนี้  (ข้อ 1, 4, 31)  สังเกตได้ว่า  พระสมณสารนี้มิใช่เป็นเอกสารที่เขียนขึ้นลอยๆ โดยไม่ได้บ่งถึงผู้ใดหรือเวลาใด  แต่เป็นเสียงอันอบอุ่น  เป็นความศรัทธาที่แรงกล้า  เป็นความมานะพยายามที่ไม่เสื่อมคลายของ  “บิดา”  และ  “ผู้อภิบาล”  คนหนึ่ง  ผู้ตระหนักในความรับผิดชอบของตน  ผู้เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์จากชีวิตมนุษย์ที่มีความหลากหลายและยึดมั่นในหน้าที่  อนึ่ง  ยังทรงเป็นผู้ที่มีความเห็นสอดคล้องกับเนื้อหาที่ได้ทรงเคยกล่าวมาแล้ว เพราะในสมณสารฉบับนี้ยังมีแนวคิดพื้นฐานที่พระองค์ทรงเคยกล่าวในพระสมณสารว่าด้วย  “พระผู้ไถ่มนุษย์”     และในบทแถลงของพระองค์ต่อองค์การยูเนสโก  (UNESCO)  ที่กรุงปารีส  เมื่อเดือนมิถุนายน  1980

อะไรคือความเป็นคน
    เราได้สังเกตการใช้คำ  “บุคคล”  “คน”  “ความเป็นคน”  ว่าปรากฏอยู่บ่อยครั้งและมีอยู่ในแทบทุกย่อหน้า  ในที่นี้กรุณาอย่ามองเพียงแค่รูปแบบภายนอกที่เป็นการพูดถึงแต่ละคนซึ่งอยู่ในที่เดียวกัน  (เช่น ในประโยคที่ว่า “มีคน  30  คน  ในที่ประชุมนี้”) เมื่อพระสันตะปาปา  ยอห์น  ปอล  ที่  2  ใช้คำนี้ทรงหมายถึง  ภาวะภายในของความเป็นชายหรือหญิงในทุกๆ แง่  เช่น  เมื่อทรงพูดว่า  “ความรักฉันสามีภรรยาเป็นการอุทิศตัวที่บุคคล  2 บุคคลมอบให้แก่กันและกัน”  นั้น  (ข้อ  20)  คงจะเป็นการไม่เพียงพอถ้าจะคิดถึงแต่เพียงความสัมพันธ์ภายนอกของชายและหญิง  หรือแค่ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจหรือทางความคิดที่ทั้งสองให้แก่กัน  หรือคิดถึงแค่ความสัมพันธ์ทางกายเพื่อการเจริญพันธุ์มีลูกมีหลานสืบไปหรือการร่วมมือกันเพื่อปฏิบัติหน้าที่ด้วยกัน  ฯลฯ  แต่ต้องคิดไปไกลกว่าลักษณะภายนอกจนเข้าไปถึงใจกลางที่มองไม่เห็นของความเป็นบุคคลซึ่งทุกคนตั้งใจจะหมายถึง  เวลาใช้คำว่า  “ฉัน”  แม้จะไม่รู้ตัวอย่างชัดเจนก็ตาม

ความเป็นบุคคลอยู่ที่ความสัมพันธ์กับผู้อื่น
    แนวโน้มที่อยู่ลึกในใจของมนุษย์ก็คือ  การแสดง  “ความเป็นบุคคล”  ให้เป็นศูนย์กลางที่เป็นจุดรวมของทุกสิ่งทุกอย่าง  เช่น  เมื่อเราพูดถึงผลประโยชน์ส่วนตัว  ความคิดส่วนตัว  สมบัติส่วนตัว  เราอยู่ไม่ไกลความหมายของ  “ความเห็นแก่ตัว”  หรือ  “การมองเห็นแต่ตัวเอง”  นัก  แต่เพื่อให้สามารถเข้าใจข้อความในพระสมณสาร  และยิ่งกว่านั้นเพื่อเข้าใจตำแหน่งของตนในแวดวงมนุษย์และในจักรวาล  จึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องจัดคำว่า  “บุคคล”  ไว้ในอีกระดับหนึ่ง  นั่นคือระดับของ  “ความสัมพันธ์”  ของ  “การสมาคมติดต่อ”  “ฉัน”   มีชีวิตอยู่  มิใช่เพียงในรูปกายแต่ในความสัมพันธ์ที่ฉันมีกับสรรพสิ่งในจักรวาลและกับคนอื่นๆ  ร่างกายของฉัน  ซึ่งอาศัยอยู่ใน  “เวลาและสถานที่”  มีส่วนร่วมในความสัมพันธ์นี้ด้วยเพราะร่างกายเป็นตัวแทนของความเป็นคนที่ผู้อื่นสังเกตเห็นได้  กายนั้นสามารถพูดได้  กระทำได้  มองได้  เดินไปหาคนอื่นหรือเดินจากไปได้  กายแม้จะเป็นเครื่องมือที่จำเป็นมากในการสมาคมติดต่อแต่ก็มิได้เป็นทุกอย่างในความเป็นบุคคลทั้งหมด  สติปัญญา  ความทรงจำ  เจตนา  ต่างก็เป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งของ  “บุคคล”  ด้วย  ดังนั้นความเป็นบุคคลของฉันก็คือ  ตัวฉันในรูปของร่างกาย  ความนึกคิด  เจตนา  อุทิศตัวให้แก่ผู้อื่น  และในเวลาเดียวกันก็รับการติดต่อสมาคมที่คนอื่นพยายามยื่นให้แก่ฉัน  เราจะเห็นได้ว่า  ยิ่งฉันมีความสัมพันธ์กับคนอื่นมากแค่ไหน  ฉันก็ยิ่งมีชีวิตมากขึ้นแค่นั้น  และยิ่งเก็บตัวมากแค่ไหน  ก็ยิ่งมีความเป็นบุคคลและมีความเป็นมนุษย์น้อยลงแค่นั้น

บุคคล - ผู้อื่น - องค์ผู้ทรงแตกต่างจากมนุษย์อย่างที่สุด
    มนุษย์จึงมิใช่เป็นเพียงอัตตบุคคลที่อยู่ในหมู่บุคคลอื่นๆ  มิใช่เป็นเพียงเมล็ดข้าวเม็ดหนึ่งในกองข้าวทั้งกอง  แต่เป็นบุคคลผู้ทรงพลัง  เปี่ยมด้วยเกียรติและความรับผิดชอบที่ไม่เหมือนใคร  มีความสำนึกในการอุทิศตัวให้แก่ผู้อื่น  และยังเป็นอิสระที่จะรับการอุทิศตัวจากผู้อื่นหรืออาจจะอยู่เฉยๆ อย่างไม่ยินดียินร้ายก็ได้  ผู้อื่นในที่นี้ก็หมายถึง  “บุคคลอื่นๆ”  ที่เป็นชายหรือหญิง  แต่ยิ่งไปกว่านั้นยังรวมถึง  “องค์ผู้ทรงแตกต่างจากมนุษย์อย่างที่สุด”  ด้วย  คือ  องค์พระเจ้านั่นเอง  พระองค์ทรงเป็นบ่อเกิดที่เป็นผู้สร้างของ  “บุคคล”  แต่ละคน  ทรงอุทิศพระองค์เพื่อ  “บุคคล”  และทรงเรียกให้  “บุคคล” อุทิศตัวให้พระองค์เช่นกัน  และด้วยการแลกเปลี่ยนเช่นนี้เองที่ก่อให้เกิดความรอดของ  “บุคคล”  หรือเกิดความสำเร็จอย่างสมบูรณ์และอย่างสูงสุด
พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์มาด้วยความรักและทรงสร้างเพื่อความรัก
    โดยการยึดถือความคิดนี้เป็นหลัก พระสันตะปาปา ยอห์น ปอล ที่ 2 ทรงเรียกร้องอย่างแข็งขันให้เราปรับปรุงความนึกคิดที่มีต่อความรักและการแต่งงาน พระเจ้ามิใช่องค์ผู้บัญญัติกฎเกณฑ์เพื่อใช้บังคับสิ่งสร้างซึ่งก็ต้องการความเป็นอิสระ แต่ทรงเป็นผู้ที่ “ได้ทรงเรียกมนุษย์มาให้เกิดมีชีวิตด้วยความรัก และยังคงเรียกให้เขาเข้าถึงความรักด้วย” (ข้อ 11) หมายถึง ให้มีความสัมพันธ์ติดต่อกับพระองค์ และกับ “ผู้อื่น” พระศาสนจักรมิใช่คณะลูกขุนที่ประกอบด้วยชายโสดผู้มีใจหิน ผู้ไม่เข้าใจอะไรเลยเกี่ยวกับความรักและการแต่งงาน และออกกฎข้อบังคับที่แสนหนักและเคร่งครัดแก่มวลมนุษย์ แต่พระศาสนจักรเป็นเสมือนเจ้าสาวที่อุทิศตัวแก่เจ้าบ่าวผู้ศักดิ์สิทธิ์ และได้รับการไถ่กู้ให้เข้าถึงความสมบูรณ์โดยอาศัยพระคุณจากพระโลหิตของเจ้าบ่าว พระศาสนจักรเป็น “มารดา” ผู้นำบุคคลแต่ละคนที่เป็นองค์ประกอบของพระศาสนจักรให้ไปสู่ความสมบูรณ์โดยชี้แนะแนวทางในการรับเอาพระคุณจาก “องค์ผู้ทรงแตกต่างจากมนุษย์อย่างที่สุด” และในการน้อมรับ “บุคคลอื่นๆ” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่เป็นสามีหรือภรรยาของตน “มารดา” ผู้นี้ให้การสนับสนุนความปรารถนาของแต่ละบุคคลในการอุทิศตนเองอย่างเป็นอิสระแก่บุคคลอื่นและแก่ “องค์ผู้ทรงแตกต่างจากมนุษย์อย่างที่สุด” เพื่อให้สอดคล้องกับธรรมชาติอันแท้จริงของเขา และบรรลุถึงความดีอันจริงแท้ที่สุด

ข้อเรียกร้องของการเป็น “บุคคล”   
เมื่อใคร่ครวญตามแสงสว่างนี้ จะพบว่า ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและสภาพที่ยกเลิกไม่ได้ของการแต่งงานซึ่งรวมถึงการที่จะไม่เห็นด้วยกับการหย่าร้าง    กับการทดลองใช้ชีวิตร่วมกันก่อนแต่งงาน กับการคุมกำเนิดแบบวิทยาศาสตร์กับการทำแท้ง  และยังรวมไปถึงการเคารพสิทธิสตรี  เด็ก  คนแก่  และคนพิการนั้น  จึงมิใช่เป็นกฎจากภายนอกที่จะต้องรักษา  แต่ในทางตรงกันข้ามเป็นข้อเรียกร้องที่มาจากภายในของการเป็น  “บุคคล”  เพื่อเปิดทางให้มีการพัฒนาอย่างเต็มที่จนกระทั่งบรรลุถึงความศักดิ์สิทธิ์อันแท้จริง

ความเป็นบุคคลในกระแสประวัติศาสตร์
    พระสันตะปาปา  ยอห์น  ปอล  ที่  2  ได้ให้ความสำคัญเป็นพิเศษแก่ส่วนประกอบของความเป็นบุคคลอย่างหนึ่งซึ่งขาดมิได้  นั่นคือ  ประวัติศาสตร์  อันหมายถึงทั้งสภาพที่เป็นมรดกตกทอดมาจากอดีต  สภาพปัจจุบัน  และศักยภาพในอนาคตของบุคคลนั้น  พระสันตะปาปาทรงเตือนว่า  ตัวบุคคลไม่ว่าจะเป็นของเราหรือของคนอื่นก็ดี  จะมีการพัฒนาบุคลิกของตนทีละเล็กทีละน้อยโดยอาศัยประสบการณ์และการตัดสินใจของตนในเรื่องต่างๆ  อีกทั้งบุคคลต้องการใช้เวลานานในการพัฒนาตัวรวมถึงการที่บุคคลสามารถเจริญก้าวหน้าไปสู่ความสมบูรณ์ที่ไม่มีขอบเขต  ไม่ว่าสภาพปัจจุบันของบุคคลนี้จะเป็นอย่างไรก็ตาม

ความเอาใจใส่ต่อบุคคล
    ให้เราสังเกตความเอาใจใส่อันเปี่ยมล้นด้วยความเมตตาของพระสันตะปาปาที่มีต่อบุคคลและต่อปัญหาต่างๆ ของบุคคล  เช่น  ความยากลำบากในเรื่องต่างๆ ของคู่สมรส  เสรีภาพของปัจเจกบุคคลซึ่งสื่อมวลชนและผู้มีอำนาจทางเศรษฐกิจพยายามจะรุกราน  ความว้าเหว่ของผู้สูงอายุ คู่สมรสที่ถูกอีกฝ่ายหนึ่งทอดทิ้ง  พ่อหม้ายแม่ม่าย  ผู้อพยพ  และบุคคลต่างๆ ที่ต้องอยู่เป็นโสดโดยไม่มีทางเลือก  พระสันตะปาปาทรงมีพระวาจาที่เปี่ยมไปด้วยความเข้าใจ  ดังเช่น  ต่อผู้ที่แต่งงานใหม่หลังการหย่าร้างด้วยความตั้งใจที่จะให้การอบรมที่ดีแก่บุตร    นอกจากนั้นยังทรงกระตุ้นให้ผู้อภิบาลมิให้ปิดขังตัวเองอยู่ในกรอบของกฎเกณฑ์หรือแฟชั่นของการทำตามกฎเกณฑ์  แต่ขอให้จับตามองแต่สิ่งที่อยู่ลึกที่สุดใจใจของแต่ละคน  ในถานการณ์แต่ละอย่าง
1.2 ความหมายของความรัก
    เราอยากจะเน้นถึงความหมายของความรักของสมัชชาพระสังฆราชและของพระสันตะปาปา  ยอห์น  ปอล  ที่  2  ตามที่เราเข้าใจ แม้จะเป็นเพียงสั้นๆ ก็ตาม

การอุทิศตนเอง
    ความรักคือการอุทิศตนเอง  พระสันตะปาปาทรงใช้คำ  “ความรัก - การอุทิศตนเอง”  บ่อยครั้ง  ดังนั้นความหมายในเชิงอื่นๆ  เช่น  ความเพลิดเพลินทางกาย  ความคิดเพ้อฝัน  ความมั่นคง  การกระตุ้นความรู้สึก  ความใคร่  การเป็นเจ้าของ  ซึ่งเป็นความหมายที่ผิดเพี้ยนไปและไม่เพียงพอที่จะกล่าวถึงคำว่า  “ความรัก”  จึงไม่นับรวมในที่นี้  มีหลายครั้งที่พระสันตะปาปา  ทรงเพิ่มคำ “อย่างสิ้นเชิง”  เช่นการอุทิศตนเองอย่างสิ้นเชิง  (ข้อ  11)  โดยเน้นว่า  การอุทิศตนเองที่ฝืนไว้แม้แต่นิดเดียว  ความเห็นแก่ตัวที่เจือปนอยู่จะทำให้การพัฒนาของความรักนั้นเป็นไปไม่ได้  เหมือนกับเมล็ดทรายที่ทำให้เฟืองของเครื่องจักรหยุดทำงานได้

พระคุณพิเศษของพระผู้เป็นเจ้า
    ความรักคือ  พระคุณพิเศษที่พระเจ้าประทานให้แก่มนุษย์ เป็นการร่วมชีวิตอย่างแท้จริงกับพระองค์  ความรักของมนุษย์ก็เป็นภาพลักษณ์ของชีวิตพระเจ้าแม้จะเป็นฉายาที่ยังไม่สมบูรณ์ก็ตาม  แต่ก็มีความหมายของความจริงที่ศักดิ์สิทธิ์และลึกล้ำที่เราไม่อาจจะเข้าใจได้โดยตรง  ความรักจึงเป็นสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์และสร้างความศักดิ์สิทธิ์ในหัวใจของชายและหญิง

สัญลักษณ์
    ความรักระหว่างชายและหญิงเป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าเสมอ  เมื่อเป็นความรักอันซื่อสัตย์ก็เป็นสัญลักษณ์ของความซื่อสัตย์อย่างสม่ำเสมอและที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์  เมื่อเป็นความรักที่ปนความพิรุธ  การหลงผิดก็เป็นสัญลักษณ์ของความไม่แน่นอนของมนุษย์ที่มีต่อพระเจ้า  แต่ไม่อาจหยุดความซื่อสัตย์ของพระเจ้าลงได้แม้แต่ชั่วขณะหนึ่ง
สัญลักษณ์เชิงประกาศก
    ความรักเป็นสัญลักษณ์เชิงประกาศก  หมายความว่า
1.    เป็นความจริงที่มองเห็นได้และเต็มไปด้วยความหมายสำหรับบุคคล  2  คน ที่อุทิศตัวให้แก่กัน เพื่อประโยชน์ของกันและกัน
2.    การอุทิศตนเองนี้ ประกาศถึงการอุทิศตัวอีกอย่างหนึ่งที่ประเสริฐอันเป็นแบบฉบับสำหรับมนุษย์ แม้ในทางประวัติศาสตร์เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตมาแล้ว  อันได้แก่  ยัญบูชาของพระคริสตเจ้า พระเจ้าผู้ทรงรับเอากายมนุษย์สำหรับเจ้าสาวของพระองค์ซึ่งเป็นพระศาสนจักร
3.    สัญลักษณ์นี้จะแสดงความหมายทั้งหมดออกมาในเหตุการณ์อันศักดิ์สิทธิ์ที่สัญลักษณ์นี้ประกาศแสดงเท่านั้น  ในการเสียสละพระชนม์ชีพบนไม้กางเขน  พระเจ้าทรงอุทิศพระองค์แก่มนุษยชาติอย่างสมบูรณ์ที่สุดและลึกซึ้งที่สุดจนมนุษยชาติที่ได้รับการไถ่กู้นั้น  กลายเป็นพระกายของพระคริสต์  ความรักที่เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างชายและหญิงในความเป็นจริงอันใหม่ของคู่สมรส  จนกระทั่งเป็นเนื้อเดียวกัน  (หมายความว่า  เป็นบุคคลเดียวกัน)  นั้น ประกาศแสดงถึงการยกมนุษยชาติให้สูงขึ้นไปอยู่ในระดับเดียวกับพระเจ้า

พระจิตเจ้า
    ความรักคือสิ่งที่พระเจ้าประทานแก่มนุษย์  สัญลักษณ์เชิงประกาศกนี้  มิใช่เป็น “สิ่งหนึ่ง”  หรือ  “ความรู้สึกหนึ่ง”   แต่ความรักเป็น  “พระบุคคล”  พระสันตะปาปาทรงใช้สำนวนที่ว่า  “พระจิตเจ้าทรงหลั่งรินแก่คู่สมรสระหว่างพิธีสมรส”  (ข้อ 13, 19, 63)  อันเป็นสำนวนที่งดงามและทรงใช้หลายครั้งด้วยกัน  สำนวนนี้เป็นการเน้นอย่างหนึ่งว่า  ความรักของคู่สมรสมิได้เป็นอย่างอื่น  นอกจากพระจิตเจ้าอันเป็นสายใยแห่งความรักและการอุทิศพระองค์ระหว่างพระบิดาและพระบุตรซึ่งสถิตอยู่ในใจของคู่สมรส   และด้วยเหตุนี้เองก็ทำให้สามีภรรยาสามารถได้เข้าถึงแก่นแห่งชีวิตของพระเจ้าได้  นอกจากนั้น  เหมือนดังที่ศีลกำลังแต่งตั้งผู้รับศีลล้างบาปให้เป็นประจักษ์พยานของพระวรสาร  ในทำนองเดียวกัน  ศีลสมรสก็ได้แต่งตั้งสามีภรรยาให้เป็น  “ธรรมทูตแห่งความรักและชีวิต”  (ข้อ 54) ด้วยฤทธานุภาพของพระจิตเจ้าองค์เดียวกัน

1.3  การแพร่ธรรมของฆราวาส

การเปลี่ยนแปลงในด้านความหมายของคำ
    แนวความคิดหลักอันที่สามซึ่งปรากฏอยู่ทั่วไปในพระสมณสารนี้ก็คือ  บทบาทของฆราวาสในภารกิจต่างๆ ของพระศาสนจักร  ดังนั้น  เราจึงควรมาสังเกตถึงการเปลี่ยนแปลงในด้านความหมายของคำๆ นี้ในเทววิทยาที่เกี่ยวกับฆราวาส  พระสันตะปาปา  ปีโอ  ที่  10  ได้ทรงพูดถึงบรรดาฆราวาสว่าเป็นฝูงแกะที่อ่อนน้อมต่อการนำของคนเลี้ยงแกะ  พระสันตะปาปาปีโอ ที่  11  ได้ก่อตั้งกิจการคาทอลิกและทรงกระตุ้นให้ฆราวาสมีส่วนร่วมในภารกิจแพร่ธรรมของศาสนจักร  แต่ในฐานะที่ได้เป็นผู้ได้รับมอบหมายจากพระสังฆราช  พระสันตะปาปาปีโอ  ที่  12  สังคายนาวาติกันครั้งที่  2  และพระสันตะปาปาเปาโล ที่  6  ก็ได้ขยายความภารกิจเฉพาะของฆราวาสในโลกว่าบทบาทนี้มิใช่เพียงหน้าที่ผู้รับผิดชอบทางศาสนากำหนดให้เท่านั้น  แต่เป็นผลโดยตรงมาจากศีลล้างบาป  ในพระสมณสารนี้ความคิดของพระสันตะปาปาเปาโล  ที่  6  และของสังคายนาวาติกันที่  2  ไม่เพียงแต่ปรากฏซ้ำเท่านั้น  แต่ได้รับการขยายความอย่างกว้างขวางอีกด้วย  ยิ่งไปกว่านั้น  สิ่งที่เราเห็นว่าเป็นลักษณะที่เด่นชัดของพระสมณสารก็คือ  การเน้นถึงลักษณะภารกิจของครอบครัวคริสตชนว่าเป็น  “ศาสนบริการ”  โดยตรง  ซึ่งครอบครัวได้รับมอบหมายมาทางศีลสมรส

ภารกิจของฆราวาสในโลก
    พระสันตะปาปา  ยอห์น  ปอล  ที่  2  ทรงพอพระทัยที่จะนำความคิดจากสังคายนาวาติกันครั้งที่ 2 มากล่าวซ้ำตามข้อความที่ว่า  ชีวิตของสังคมโลก ก็คือ ชีวิตของครอบครัวนั่นเอง ครอบครัวนี้เองที่เป็นองค์ประกอบทางกายภาพของสังคม  และที่ให้การประกันว่าสังคมจะมีสมาชิกสืบทอดต่อไปเรื่อยๆ
    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  ครอบครัวนั้นเป็นหัวใจของสังคม  กล่าวคือ  ถ้าครอบครัวดี  คนดี  สังคมก็จะดีด้วย  (ข้อ  5)  มีการบรรยายความคิดอันยอดเยี่ยมของพระสันตะปาปาเปาโล  ที่  6 เกี่ยวกับงานเผยแผ่พระวรสารที่ครอบครัวได้รับการถ่ายทอดให้แก่ผู้อื่น  โดยการรับฟังพระวรสารและดำเนินชีวิตตามพระวรสารในความจริงแท้ของความรักและในความสัมพันธ์ของครอบครัว  พระสันตะปาปา ยอห์น  ปอล  ที่  2  ก็ทรงเน้นถึงงานแพร่ธรรมของครอบครัว    ซึ่งมิได้เพียงกล่าวถึงบทบาทนี้ว่าสำคัญเป็นอันดับแรกเท่านั้น  แต่เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติและตามวิธีการที่หาอะไรทดแทนมิได้เลย  งานแพร่ธรรมนี้ต้องดำเนินไปตามสภาพความเป็นไปต่างๆ ของครอบครัว (ข้อ  50)  อันได้แก่งานในด้านการรับใช้ความรักและชีวิตรวมถึงการสนับสนุนความสัมพันธ์ในสังคม  งานในด้านการอบรมบุตร  งานในด้านความสัมพันธ์กับพระเจ้า  เรามิควรละเว้นที่จะอ่านข้อความสองข้อที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นใจและความเรียบง่ายของเนื้อหาที่เกี่ยวกับการสวดภาวนาในครอบครัว  อันได้แก่ ข้อ  59  ย่อหน้าสุดท้าย  และข้อ  60  ย่อหน้าที่สอง  ซึ่งมีการอ้างถึงคำกล่าวของพระสันตะปาปาเปาโล  ที่  6

ชีวิตครอบครัวคริสตชนเป็นศาสนบริการ 
    สิ่งที่เป็นหัวข้อสำคัญในสมัชชาพระสังฆราช  ปี  1980  และในสมณสารนี้ก็คือ  ความคิดที่มีการเน้นหลายครั้งว่า  ภารกิจของครอบครัวเป็น  “ศาสนบริการ”  อย่างหนึ่ง  อาจพูดอีกนัยหนึ่งได้ว่าชีวิตแห่งความรักของคู่สมรสและบทบาททุกประการของครอบครัวนั้น เป็นภารกิจที่อยู่ในความรับผิดชอบของคู่สมรสและครอบครัว  ซึ่งเป็น  “ศาสนบริการ”  ที่อยู่ในความรับผิดชอบของคู่สมรสและครอบครัวเท่านั้น  เป็นงานที่ประกอบด้วยลักษณะต่างๆ  (ลักษณะของประกาศก สงฆ์ และกษัตริย์)  และประกอบด้วยประสิทธิผลแห่งการไถ่กู้ของภารกิจแพร่ธรรม  ซึ่งพระคริสตเจ้ามอบให้อยู่ในความรับผิดชอบของพระศาสนจักร  อันได้แก่ภารกิจการพิทักษ์รักษา การประกาศและการเผยแผ่ความรัก  (ข้อที่ 17)  ภารกิจในการแสดงความซื่อสัตย์  (ข้อ  20)  ภารกิจแห่งความสัมพันธ์  (ข้อ  21)  ภารกิจการอุทิศตัวรับใช้ชีวิต  “การเผยแผ่ภาพลักษณ์ของพระเจ้าจากคนหนึ่งให้แก่อีกคนหนึ่ง”  (ข้อ 28)  ภารกิจการอบรมดูแลบุตร  (ข้อ 36, 38, 53)  ภารกิจที่  “เป็นเครื่องเตือนใจพระศาสนจักรให้ระลึกถึงเหตุกาณ์ซึ่งเกิดขึ้นที่ไม้กางเขนอยู่เสมอ”  (ข้อ  13)  “ศาสนบริการ”  นี้  มีความเป็นจริงมากจนกระทั่งพระสันตะปาปา ยอห์น ปอล ที่  2  ได้ยกคำพูดของนักบุญโทมัส  อไควนัส  ซึ่งมักจะถูกลืมบ่อยๆ ในเรื่องการเปรียบเทียบศาสนบริการของคู่สมรสกับศาสนบริการของสงฆ์ที่ว่า  “งานเผยแผ่และอนุรักษ์ชีวิตจิตวิญญาณนั้น  บางคนก็ทำสำเร็จโดยศาสนบริการทางวิญญาณ  ซึ่งเป็นงานเฉพาะของผู้ที่รับศีลบวชเป็นสงฆ์  บางคนก็ทำโดยทางศาสนบริการทางร่างกายและวิญญาณพร้อมกันไป  ซึ่งเป็นผลของศีลสมรส” (Summa Contra Gentiles ภาค 4 บทที่  58 : อ้างอิงในข้อ 32)

พระศาสนจักรระดับครอบครัว
    การที่มีการกล่าวถึง  “พระศาสนจักรระดับครอบครัว”  หลายต่อหลายครั้ง  ก็เป็นการแสดงให้เห็นความสำคัญอยู่ในตัวแล้ว  แต่คำนี้ยังมีความสำคัญเด่นชัดเป็นพิเศษ  ถ้าเราได้มาคิดถึงประวัติความเป็นมาของคำนี้  ในสังคายนาวาติกันครั้งที่  2  ได้เริ่มพูดในนัยนี้เป็นครั้งแรก (“ในครอบครัวอันเป็นหน่วยที่คล้ายกับพระศาสนจักร”, Lumen  Gentium)  แต่คำนี้กลับถูกลบล้างไปในเวลาต่อมาว่า  เป็นคำที่ไม่เหมาะสม  ที่สุด  สมัชชาพระสังฆราช  ปี  1980  และพระสันตะปาปา ยอห์น ปอล  ที่  2  ได้ให้ความสำคัญแก่คำนี้ใหม่  และไม่ได้ใช้เพื่อเป็นการเปรียบเทียบอีกต่อไป  แต่ใช้เป็นคำไวพจน์  “ครอบครัวคริสตชน”  เลยทีเดียว  ดังนั้นจึงเป็นการรับรองอย่างเป็นทางการว่า  งานแพร่ธรรมของครอบครัวซึ่งเป็นงานของฆราวาสโดยเฉพาะนั้น  ก็เป็นงานของพระศาสนจักรโดยตรง

การรับใช้ครอบครัว
    ก่อนที่จะจบหัวข้อนี้  ขอให้เราสังเกตคำว่า  “งานของพระศาสนจักร” ซึ่งเป็นคำที่พระสันตะปาปา  ยอห์น  ปอล  ที่  2  ได้ให้แก่งานของบรรดานายแพทย์  นักการศึกษา  นักกฎหมาย  หรือคู่สมรสที่อุทิศตนเพื่อความผาสุกของครอบครัว  และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง  ให้แก่ความพยายามของทุกๆ คนที่มีความตั้งใจที่จะแนะนำคู่สมรสให้ใช้วิธีคุมกำเนิดแบบสังเกตจังหวะตามธรรมชาติ  (ข้อ 35, 43, 47, 71, 75)
    จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่จะพบการใช้สำนวน  3  สำนวน  ขนานกันไป  เพื่อเน้นความสำคัญของศาสนบริการนี้  อันได้แก่ “อนาคตของการเผยแผ่พระวรสารขึ้นอยู่กับพระศาสนจักรระดับครอบครัวเป็นส่วนใหญ่” (ข้อ  52)  “อนาคตของสังคมโลก และของพระศาสนจักรขึ้นอยู่กับครอบครัว” (ข้อ  75)  และ “อนาคตของมนุษยชาติขึ้นอยู่กับครอบครัว”  (ข้อ 86)

หัวข้อที่  2 : ปัญหาต่างๆ ในปัจจุบัน
    ครอบครัวนั้นเป็นแก่นของชีวิตในโลกนี้  ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาอยู่เองที่ครอบครัวจะได้รับผลกระทบในด้านดีหรือด้านเลวจากกระแสต่างๆ ที่ส่งผลกระเทือนอยู่ในโลก  ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง  ปัญหาเหล่านี้จำนวนมากได้รับการกล่าวถึงในพระสมณสารนี้  พระสันตะปาปาก็แสดงความเห็นหรือแนวความคิดที่เรามิอาจมองข้ามไปได้เลยหลายครั้งหลายหนด้วยกัน  ในที่นี้จะขอยกมากล่าวถึงสัก  4 - 5  ข้อ

2.1  วิทยาศาสตร์
    วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นเครื่องแสดงถึงภูมิปัญญาและเกียรติของมนุษย์  และจะต้องมีหน้าที่รับใช้มนุษย์และตัวบุคคลไม่ใช่กลายเป็นรูปบูชาหรือนายของมนุษย์อีกทีหนึ่ง  วิทยาศาสตร์นี้บางครั้งมีบทบาทมากเกินไป  เช่น  ในกรณีที่ความก้าวหน้าทางวิชาการเปิดโอกาสให้สามารถฆ่าทารกแฝดคนใดคนหนึ่งได้  ถ้าผู้เป็นแม่ไม่ประสงค์จะมีลูก  2  คน  ในเวลาเดียวกัน  หรือในกรณีที่มีการตรวจครรภ์ก่อนคลอดเพื่อทำแท้งถ้าปรากฏว่ามีทารกที่ผิดปกติ  ในเรื่องอื่นๆ  ยังมีตัวอย่างของการที่วิทยาศาสตร์ก้าวก่ายความเป็นบุคคลอีกมาก  ฉะนั้นควร  “จะต้องใช้วิทยาศาสตร์ควบคู่ไปกับปัญญา”  (ข้อ 8)

2.2 ขบวนการเรียกร้องสิทธิสตรี
    ขบวนการนี้ต่อสู้เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมที่ชัดเจนและถูกต้องเพื่อสตรีจะได้มีเกียรติเสมอภาคเท่าเทียมชาย  และเพื่อที่จะเปิดทางให้สตรีมีบทบาทความรับผิดชอบต่อสังคมมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน  แต่ตามจริงแล้ว  ภาวะที่แสดงถึงความเป็นสตรีอย่างแท้จริงเรียกร้องว่า
•    ความเป็นหญิงควรได้รับการยอมรับ  และสามารถแสดงออกได้ด้วยบทบาทที่เหมาะสม  แต่จะต้องไม่ทำให้ถูกปฏิเสธหรือทำลายโดยพยายามทำตนให้เหมือนเป็นชาย
•    บทบาทของภรรยาและโดยเฉพาะในฐานะที่เป็นแม่ของลูกไม่ควรเป็นบทบาทแห่งความอัปยศอดสูสำหรับหญิง  แต่ควรได้รับการยกย่องว่า  เป็นหน้าที่ทางสังคมที่แท้จริง  ซึ่งอยู่เหนือกว่าทุกๆ สิ่งที่สตรีจะสามารถอุทิศให้สังคมโดยการทำงานนอกบ้าน

3.2  การคุมกำเนิด
    พระสมณสารฉบับนี้ได้ให้รายละเอียดที่แน่นอนและลึกซึ้งเกี่ยวกับปัญหานี้  โดยเปรียบเทียบทัศนคติของผู้ที่ใช้วิธีคุมกำเนิดแบบวิทยาศาสตร์และทัศนคติของผู้ที่ใช้การสังเกตจังหวะตามธรรมชาติเป็นหลักใหญ่
    ถ้าพูดโดยสรุปแล้วผู้ที่ใช้การคุมกำเนิดแบบวิทยาศาสตร์นั้น
•    แบ่งแยกความหมาย 2 ประการ  ของคำว่า เพศสัมพันธ์อันหมายถึง ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และการเจริญพันธุ์ที่พระผู้สร้างได้เชื่อมความสัมพันธ์ของทั้งสองลักษณะนี้ไว้อย่างแน่นแฟ้น
•    ทำตัวเป็น  “ผู้บงการ”  แผนการของพระผู้เป็นเจ้า
•    ทำให้คุณค่าของเพศมนุษย์เสื่อมทรามลง  ทั้งในแง่ของตนเองและของคู่ของตนด้วย
•    บิดเบือนความจริงของความรักของคู่สมรส  ซึ่งควรต้องเป็นการอุทิศตนอย่างสิ้นเชิง
    แต่ก่อนหน้านี้  พระสันตะปาปาได้ขจัดแนวความคิดต่างๆ เป็นอันมากที่มหาชนกำลังให้ความสนใจกันอย่างกว้างขวาง  เช่น  ความกลัวในเรื่องการใช้กำลังรุนแรง  ความกลัวเรื่องการเพิ่มจำนวนประชากร  ความกลัวในสภาพข้าวยากหมากแพง  หรือแม้แต่เพียงความกลัวที่จะมีความสบายน้อยลง  ความกลัวในเรื่องการผิดปกติทางกรรมพันธุ์  เพื่อคัดค้านแนวความคิดเหล่านี้  พระสันตะปาปาทรงตั้งข้อสังเกตว่า  ความรักของพระเจ้ามีพลังเหนือกว่าความกลัวใดๆ  ในโลก  อันตรายของการที่จำนวนประชากรเพิ่มขึ้นก็เป็นเรื่องที่ขยายความกันเกินกว่าเหตุ  (และเราสันนิษฐานว่า  พระสันตะปาปาได้ทรงศึกษารายงานทางเศรษฐศาสตร์  และสถิติเป็นอย่างดีแล้ว)  นอกจากนี้ยังได้ทรงตั้งข้อสังเกตด้วยว่า  คุณค่าของขีวิตอยู่ที่มนุษย์สามารถคงความเป็นบุคคลเอาไว้ได้  ไม่ใช่อยู่ที่สภาพของความทุกข์หรือความสุขในความเป็นอยู่  ดูเหมือนว่าเป็นครั้งแรกในเอกสารของพระสันตะปาปาที่พระองค์ทรงประณามเรื่องอื้อฉาวที่ประเทศร่ำรวยและองค์การระหว่างประเทศให้เงินช่วยเหลือแก่ประเทศในโลกที่สามที่ออกกฎหมายอย่างมีผล  เพื่อสนับสนุนการคุมกำเนิดและการทำแท้ง  (ข้อ  30)  เรื่องอื้อฉาวที่ถูกนำมาตีแผ่ในสิ่งพิมพ์ต่างๆ ด้วย
    นอกจากนี้  เรายังได้สังเกตเห็นความก้าวหน้าทางความคิดของพระสันตะปาปาตามที่ได้ทรงแสดงในปาฐกถาแก่พระสงฆ์อิตาเลียนที่คาสเตล คอนโดลโฟ เมื่อวันที่ 17 กันยายน  1983  พระองค์ได้ทรงกล่าวไว้ว่า  พระเจ้าทรงเป็นผู้สร้างความเป็นบุคคลใหม่  ซึ่งบรรดาพ่อแม่ต่างก็เป็นผู้ร่วมมือกับพระผู้สร้าง แต่โดยการใช้วิธีการคุมกำเนิดแบบวิทยาศาสตร์ ชายและหญิงได้ปฏิเสธมิให้พระเจ้าเป็นพระเจ้า

2.4 ครอบครัวและสังคม
    ผู้อ่านคงจะได้อ่านพระสมณสารทุกตอนที่กล่าวถึงบทบาทที่ดีของครอบครัวที่มีต่อสังคม  และคงเข้าใจได้ไม่ยากนัก  บทบาทนี้ไม่เพียงแต่อยู่ในระดับท้องถิ่น  หรือระดับชาติเท่านั้น  แต่ในระดับโลกด้วย  (ข้อ 43, 44, 47, 48)
    อย่างไรก็ตาม  ในโลกที่มีแนวโน้มที่จะให้ความสำคัญแก่สังคมเป็นอย่างมากเช่นนี้  คนจะได้รับความคิดที่ว่า รัฐอยู่เหนือมนุษย์ และดังนั้นก็ยังอยู่เหนือครอบครัวด้วย  รัฐต้องครอบคลุมทุกอย่าง  เช่น  การศึกษา  การงาน  การประกันสังคม  การจัดที่อยู่อาศัย  ความยุติธรรม ฯลฯ พลเมืองธรรมดาๆ มักมีแนวโน้มที่จะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีอำนาจใดๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าระบบราชการที่เต็มไปด้วยกำลังอันมหาศาล และอำนาจทางเศรษฐกิจที่ใหญ่หลวง บ่อยครั้ง คนเหล่านี้ยังนึกไปอีกว่ารัฐผิดพลาดไม่ได้เลย  และทำอะไรก็เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนแต่เพียงอย่างเดียว  ฝ่ายรัฐเองก็มีแนวโน้มที่จะบังคับให้คนทำตามโครงการของรัฐด้วยอำนาจระบบราชการ  และด้วยการควบคุมสื่อมวลชนเพื่อสร้างประสิทธิผลและเพื่อให้เป็นไปตามอุดมการณ์  สิ่งที่ปรากฏอย่างเด่นชัดในประเทศเผด็จการ  จากประสบการณ์ส่วนตัวของพระสันตะปาปา  ภายใต้การยึดครองของทหารเยอรมันและรัสเซีย  และภายใต้การปกครองของระบบคอมมิวนิสต์นั้น  เป็นเครื่องยืนยันอย่างชัดเจนอยู่แล้วว่า  พระองค์ทรงทราบดีว่า  ได้กล่าวถึงอะไรอยู่  ในประเทศทุนนิยมหรือที่เรียกว่า “ประเทศโลกเสรี” นั้น แนวโน้มนี้ก็มิได้อ่อนลงเลย    แม้ว่าจะมิได้ปรากฏอยู่อย่างชัดเจนก็ตาม  เช่น  ระบบการจัดจำแนกงานที่ไม่ยุติธรรม  ระบบการจัดการศึกษาที่ไม่เหมาะสม  และการกำจัดเสรีภาพที่แท้จริงของพ่อแม่ในการกำหนดจำนวนบุตรที่ตนอยากจะมี  ฯลฯ  นี่แหละที่เรียกว่า “ประเทศโลกเสรี”
    ควรจะคิดถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ไปพร้อมๆ กัน  เพื่อจะสามารถเข้าถึงความหมายอันลึกซึ้งของพระสันตะปาปา  ยอห์น  ปอล  ที่  2  ที่ว่า  “ครอบครัวเป็นสังคมที่ควรได้รับบุริมสิทธิ์”  หมายถึง  สิทธิ์ที่มาก่อนสิทธิ์ของรัฐ  รัฐเพียงแต่ช่วยให้ครอบครัวได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนให้บรรลุผลเท่านั้น  แต่ไม่มีสิทธิ์ที่จะมาขัดขวางครอบครัวในหน้าที่ที่ครอบครัวสามารถทำได้เอง (ข้อ 45)  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกี่ยวกับเรื่องการศึกษาของบุตร  (ข้อ 36, 40)

2.5  งานอภิบาลครอบครัว
    ข้อสังเกตข้อหลัง ๆ นี้  คงจะเป็นที่สนใจของบรรดาพระสงฆ์

ตำแหน่งงานอภิบาลครอบครัว
    สมัชชาพระสังฆราชและพระสันตะปาปาเรียกร้องให้งานนี้ได้รับ  “ความสำคัญเป็นอันดับแรก”  ในบรรดางานทั้งหลายของพระศาสนจักร  ทั้งในระดับสากล  ระดับสังฆมณฑล  และระดับวัด  (ข้อ 65, 70, 73, 74)  ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการเตรียมตัวสมรส  (ข้อ  66, 67)  กับการอภิบาลช่วยเหลือคู่สมรส  (ข้อ 69 - 72)  และกับการฝึกอบรมผู้อภิบาล  (ข้อ  73 - 76)  ควรจะได้รับการศึกษาอย่างละเอียดและดำเนินการอย่างเร่งด่วนโดยไม่ปล่อยทิ้งไว้หรือมีข้ออ้างใดๆ
งานอภิบาลเกี่ยวกับกรณีพิเศษที่เป็นปัญหา
    ในที่นี้  เราใคร่จะขอนำตัวอย่าง  สักสองกรณี  คือ
    ก.  คริสตชนที่ละเว้นไม่ปฏิบัติศาสนา  ที่ประสงค์จะขอรับศีลสมรส (ข้อ 68) พระสันตะปาปาทรงให้ข้อสังเกตถึงอันตรายของการวิจารณ์ระดับของความเชื่อว่ามีมากน้อยเพียงใดอย่างไร  อันตรายนี้อาจเลยไปถึงความสงสัยในคุณค่าของการแต่งงานที่เกิดขึ้นไปแล้ว  ในเมื่อคู่สมรสมีความรักต่อกันและยึดถือคำมั่นสัญญาเฉพาะคู่ของตนที่ยกเลิกไม่ได้นั้นเอาไว้  เราก็อาจถือได้ว่า  ด้วยวิธีนี้เขาได้แสดง  “ความนอบน้อมต่อแผนการพระเจ้า”  และสะท้อนให้เห็นทัศนะที่มีความศรัทธาอย่างแท้จริง  แม้ว่าจะไม่สำนึกมากนักก็ตาม
    ข.  ผู้ที่แต่งงานใหม่หลังการหย่าร้าง (ข้อ 84) พระสันตะปาปาทรงให้ทัศนะเกี่ยวกับคู่หย่าร้างเหล่านี้ด้วยความเห็นอกเห็นใจและด้วยความหนักแน่นในเวลาเดียวกัน โดยยึดหลักซึ่งพระสันตะปาปาเปาโล  ที่  6  ทรงตั้งไว้ในบริบทอื่นที่ว่า  “การไม่ลดความสำคัญของคำสั่งสอนแห่งความรอดของพระคริสตเจ้า  ทำให้เกิดรูปแบบพิเศษของความรักต่อวิญญาณทั้งหลาย”  (ชีวิตมนุษย์ ข้อ 29) ดังนั้น  ผู้อภิบาลทั้งหลาย
•    ควรพยายามช่วยผู้ที่แต่งงานใหม่หลังการหย่าร้างให้มีส่วนร่วมในชีวิตและกิจกรรมของพระศาสนจักร
•    ไม่อนุญาตให้เขาเหล่านี้รับศีลอภัยบาปและศีลมหาสนิท
•    ไม่ประกอบพิธีศาสนาใดๆ  ในโอกาสที่ผู้หย่าร้างแล้วไปจดทะเบียนแต่งงานใหม่

กรณีพิเศษที่เป็นปัญหาเหล่านี้  มิได้เป็นเรื่องที่สมมุติขึ้น  และเราก็ยืนยันได้ว่า  กรณีเหล่านี้สร้างข้อข้องใจให้แก่คริสตชนหลายคน  พระสงฆ์ควรศึกษาและแสวงหาการปฏิบัติตามแนวทางที่ทรงแนะไว้ในพระสมณสารนี้  เราเข้าใจดีว่า  พระสงฆ์บางองค์ได้ปฏิบัติตามด้วยความเมตตาและเห็นอกเห็นใจ  แต่การปฏิบัติเช่นนี้จะสอดคล้องกับหลักธรรมแห่งศีลสมรสหรือไม่

หัวข้อที่  3  :  การอธิบายความหมายของคำพิเศษบางคำ

3.1 กฎเกณฑ์แห่งการก้าวหน้าอย่างเป็นขั้นเป็นตอน (law of gradualness)  (ข้อ 9 และข้อ 34)
    คำนี้เป็นคำใหม่  พระสังฆราชกลุ่มหนึ่งได้เสนอคำนี้ในระหว่างการประชุมสมัชชาพระสังฆราช  และพระสันตะปาปา  ยอห์น  ปอล  ที่  2  เอง  ก็ได้ทรงใช้คำนี้ในบทแถลงของพระองค์ในพิธีปิดการประชุมสมัชชา  ข้าพเจ้าใคร่ขอคำอธิบายคำนี้  เพราะบางครั้งคนที่ตีความหมายของคำนี้ต่างก็มีความเข้าใจที่แตกต่างกันไป
    คำนี้  หมายถึง  พัฒนาการในแง่ดีของชีวิตสมรส  เราทุกคนพอจะทราบแล้วว่า  คู่สมรสไม่มีโอกาสเตรียมตัวก่อนจะเข้าการสมรสได้เท่ากันทุกคู่ทั้งในด้านความรู้ทั่วไป  คำสอนที่ต่างคนต่างได้รับ  นิสัยใจคอของแต่ละคน  สภาพทางสังคมและเศรษฐกิจ  ประสบการณ์  และโอกาสที่จะได้พบผู้คน  เหตุผลนานัปการนี้ได้หล่อหลอมจิตสำนึกของแต่ละคู่ตามวิธีหรือขั้นตอนที่ไม่เหมือนกัน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องเกี่ยวกับความรักและชีวิตครอบครัว  บางคู่ก็โชคดีได้รับการศึกษาอบรมอย่างต่อเนื่องและอย่างเฉลียวฉลาด  ก่อนจะถึงเวลาที่จะสมทำให้เขามีทัศนะที่สูงส่งเกี่ยวกับเรื่องศักดิ์ศรีของคนหรือความสัมพันธ์ระหว่างคน เขามีจิตใจที่บรรลุถึงวุฒิภาวะและสามารถอุทิศตัวให้แก่คนอื่น ตลอดจนควบคุมจิตใจของตนได้พอสมควร  แต่บางคนเติบโตขึ้นมาโดยไม่เคยได้รับความอบอุ่นเลย  มีแต่ได้รับความยุ่งยากลำบากต่างๆ นานา  บางครั้งก็ต้องมีชีวิตท่ามกลางบรรยากาศที่มืดมน  ฉะนั้น  เขาจึงมองเรื่องการสมรสเป็นเพียงโอกาสที่จะตอบสนองความเห็นแก่ตัวเท่านั้น  ในระหว่างพวกแรกกับพวกที่สองที่กล่าวมาแล้วนี้  ยังมีคู่สมรสจำนวนมากซึ่งอยู่ในสภาพการณ์ที่ซับซ้อนด้วยเหตุว่าเรื่องความรักและการสมรสเป็นการมาพบกันของคนสองคนซึ่งแต่ละคนต่างก็มีข้อดีและข้อเสียที่ไม่เหมือนกัน  แม้ว่าสภาพความเป็นจริงของคู่สมรสต่างๆ  ในเวลาที่จะแต่งงานจะเป็นอย่างไรก็ตาม  คู่สมรสทุกคู่ต่างก็จะได้รับการเรียกร้องให้เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์อย่างเท่าเทียมกันหมด   การแสวงหาความศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับคู่สมรสทุกคู่เหมือนกับอากาศซึ่งจำเป็นต่อสิ่งมีชีวิต  หรือพูดอีกนัยหนึ่งได้ว่า  ไม่มี  “ขั้นตอนของกฎเกณฑ์”  (gradualness of the law)  เหมือนอย่างเช่นว่า  อาจมีอุดมคติเกี่ยวกับความรักและการสมรสอย่างหนึ่ง  สำหรับคู่สมรสที่พร้อมแล้วทุกอย่าง  และมีอุดมคติอีกอย่างหนึ่งในระดับที่ต่ำลงไปซึ่งน่าจะพอสำหรับคู่สมรสที่เคราะห์ร้ายในวัยเด็กหรือวัยหนุ่มสาว  แต่ความจริงแล้ว  คู่สมรสทุกคู่ได้รับการเรียกร้องให้กลายเป็น  “ภาพลักษณ์”  ของพระเจ้าองค์เดียวกัน ทุกคู่มีพระบิดาองค์เดียวกันผู้ทรงรักเขา ทุกคู่ได้รับความช่วยเหลือและการไถ่กู้จากไม้กางเขนของพระคริสตเยซูองค์เดียวกัน และทุกคู่ได้รับพลังแห่งความรักจากพระจิตเจ้าองค์เดียวกัน
    แต่ก็เป็นสิ่งที่แน่นอนเหมือนกันว่า  ไม่มีคู่สมรสคู่ใดเลยที่จะสามารถบรรลุอุดมคติของตนในทันทีที่สำเร็จพิธีสมรสในวัด   แต่ละคู่ยังจะต้องก้าวไปสู่อุดมคติที่พระเจ้าทรงเสนอให้และที่พระศาสนจักรจะช่วยให้บรรลุถึงให้ได้ตลอดชีวิตสมรสร่วมกัน  ในภาษาลาติน  คำว่า  gradus  นั้นแปลว่า  “การก้าวไปข้างหน้า”  ในระหว่างการก้าวไปข้างหน้านี้  คู่สมรสแต่ละคู่จะต้องผ่านขั้นตอนต่างๆ  ไม่ใช่เพื่อหาที่พักผ่อน  แต่เป็นการกำหนดว่าต้องก้าวไปข้างหน้าอีกต่อไป  โดยอาศัยเจตนาที่จริงจังมากขึ้นอีก  แต่ละคู่จะต้องเดินไปตามจังหวะก้าวและวิถีทางที่จริงจังมากขึ้นอีก  แต่ละคู่จะต้องเดินไปตามจังหวะก้าวและวิถีทางของตนเอง  จะต้องเผชิญกับอุปสรรคที่เป็นสถานการณ์เฉพาะของตนและได้รับชัยชนะที่เป็นเฉพาะของตนเช่นกัน  “กฎเกณฑ์แห่งการก้าวหน้าอย่างเป็นขั้นเป็นตอน”  นี้อาจสรุปได้ว่า  เป็นความจำเป็นที่คู่สมรสทุกคู่จะต้องก้าวไปข้างหน้าสู่ความรักที่สมบูรณ์แบบด้วยพละกำลังของตนและตามวิถีทางของตน  “โดยที่พระกระแสเรียกของพระเจ้าและพระหรรษทานแห่งการไถ่กู้มนุษย์จะเป็นพลังให้แก่เขาอยู่เสมอ”
   
บทบาทของพระศาสนจักร  ซึ่งหมายถึง  คริสตชนทั้งหลาย  ก็คือ
1.    ต้องชี้แนะจุดหมายปลายทางหรือทิศทางอย่างชัดเจนให้แก่คู่สมรสทั้งหลาย
2.    ต้องเสนอแนะวิธีการต่างๆ ที่เหมาะสมกับสถานการณ์พิเศษของแต่ละคู่  แต่วิธีการต่างๆ นั้นก็มารวมกันที่  “มรรคา”  แห่งไม้กางเขนที่นำไปสู่ความรอด
3.    ต้องส่งเสริมกำลังใจแต่ละคนโดยมิหยุดหย่อน  โดยอาศัยจิตเมตตาและศีลศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ  เป็นต้น

    ขอยกตัวอย่างที่แสดงถึงท่าทีของคู่สมรสเกี่ยวกับการคุมกำเนิดสักตัวอย่างหนึ่ง  เช่นว่าคู่ใดที่เคยใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดเป็นประจำตลอดเวลา  หลายเดือนหรือหลายปีมาแล้วและเปลี่ยนมาใช้ยาคุมกำเนิดนานๆ ครั้ง  คู่นั้นก็เรียกได้ว่ามีความก้าวหน้าอย่างแน่นอนทั้งในด้านการควบคุมกิจกรรมทางเพศและในด้านคุณภาพของความรักที่มีต่อกัน  นี่เป็น  “ขั้นตอน”  หนึ่ง  แต่คู่นั้นจะอยู่กับที่นานเกินไปไม่ได้เพราะต้องก้าวไปข้างหน้าต่อไปเรื่อยๆ  จนกว่าจะสามารถใช้วิธีสังเกตจังหวะตามธรรมชาติได้  เมื่อเขาจะได้มาถึง  “ขั้นตอน”  นี้แล้ว  คู่สมรสดังกล่าวจะสังเกตเห็นว่ายังมีวิธีอีกมายมายที่ช่วยความรักของเขาให้ลึกซึ้งไปอีก  และช่วยเขาให้เจริญก้าวหน้าไปถึงความศักดิ์สิทธิ์โดยอาศัยความรักนี้เอง  เขาจะสามารถบรรลุเป้าหมายอันแท้จริงได้ก็ต่อเมื่อความรักฉันสามีภรรยาในโลกนี้ก็ได้ผ่านพ้นความตาย  และกลับไปสู่บ่อเกิดของตน  ซึ่งก็คือพระเจ้านั่นเอง
 
3.2 กฎเกณฑ์แห่งการทดแทน  (Principle of subsidiarity)  (ข้อ 45)
    กฎเกณฑ์แห่งการทดแทน  หมายถึง  การที่บุคคลหนึ่งหรือสถาบันหนึ่งซึ่งมีหน้าที่รับภาระของอีกบุคคลหนึ่ง  หรืออีกสถาบันหนึ่งซึ่งไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ที่เป็นของตนโดยตรงแต่ดั้งเดินได้  ตัวอย่างเช่น  ครอบครัวนั้นมีสิทธิและหน้าที่ในการอบรมเลี้ยงดูลูก  การเลือกแบบดำเนินชีวิต  การหางานทำ  ฯลฯ  ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็เป็นสิทธิและหน้าที่ของครอบครัวโดยเฉพาะ  และตามปกติแล้วคนอื่นก็ไม่น่าจะแทรกแซง  แต่ในกรณีที่ครอบครัวไม่สามารถจะปฏิบัติหน้าที่ของตนได้  เพราะขัดสน  ป่วย  หรือมีเหตุสุดวิสัยอื่นๆ  สังคมจึงจะมีหน้าที่ที่จะต้องรับภาระต่อ  แต่ถ้าเขาซึ่งอาจจะเป็นพ่อแม่  ครอบครัว  หรือประเทศต่างๆ ก็ดี  สามารถปฏิบัติหน้าที่ของเขาได้แล้ว  ผู้อื่นไม่มีสิทธิกำหนดแบบดำเนินชีวิตให้เขาไม่ว่าผู้อื่นจะเป็นโรงเรียน  รัฐ  หรือองค์การระหว่างประเทศก็ตาม