การสอนคำสอนยุคอัครสาวก
การสอนคำสอนยุคนี้เป็นแบบคำสอนประกาศข่าวดี (Kerygmatic) มุ่งสอนความจริงเกี่ยวกับองค์พระคริสตเจ้า พระคริสต์เองมิได้ทรงอธิบายหนังสือเล่มหนึ่งเล่มใดเหมือนอย่างที่บรรดาคัมภีราจารย์ในสมัยนั้นปฏิบัติกัน แต่พระองค์ทรงอธิบายชีวิตของพระองค์เอง ทรงแจ้งให้มนุษย์ทราบว่าพระองค์ทรงเป็นใคร มาจากไหน ทรงทำอะไร ฯลฯ การสอนคำสอนของพระองค์จึงเป็นการอธิบายชีวิตตัวอย่างของบุคคลหนึ่งซึ่งได้แก่พระองค์เอง คำสอนจึงมิใช่วิชาหนึ่งสำหรับสติปัญญาเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของชีวิต
คณะอัครสาวกก็ได้ทำตามพระอาจารย์ มุ่งประกาศข่าวดีเกี่ยวกับองค์พระคริสต์
นักบุญเปาโล นักแพร่ธรรมเอก ได้ยืนยันว่า ท่านไม่รู้จักอะไรอื่นหรือใครอื่นนอกจากองค์พระคริสต์ และเป็นพระคริสต์ที่ถูกตรึงตายบนกางเขน (เทียบ 1คร 3:11-15; 2คร 5:16-21)
ผู้แพร่ธรรมยุคแรกมีความห่วงใยมากที่จะไม่ให้มีการสอนนอกลู่นอกทาง เพราะขณะนั้นยังเป็นการสอนที่ถ่ายทอดกันด้วยปากเปล่า (Oral teaching) นักบุญเปาโลเองได้ไปที่กรุงเยรูซาเลม เพื่อปรึกษาและเทียบเคียงคำสอนของคณะอัครสาวกผู้เป็นประดุจ “เสาหลักของพระศาสนจักร" (เทียบ กท 2:9 ) ระยะนั้น มีการพูดกันติดปากว่า “คำสอนของคณะอัครสาวก” (Doctrine of the Apostles) (กจ 2:42)
เนื้อหาคำสอน เกี่ยวกับพระสัจธรรมขั้นพื้นฐานที่ผู้แพร่ธรรมในยุคนั้นสอนบรรดาผู้กลับใจมาถือพระศาสนาคริสตังซึ่งขณะนั้นเป็นศาสนาใหม่ แตกต่างจากศาสนายิว ดูเหมือนเราจะพบได้ในจดหมายถึงชาวฮีบรู (เทียบ ฮบ 6:2) กล่าวคือ
ก. สอนเรื่องคำสอนเกี่ยวกับศีลล้างบาป แยกแยะศีลนี้จากพิธีล้างของชาวยิว และพิธีล้างของท่านยอห์น บัปติสต์
ข. การปกมือที่เป็นเครื่องหมายภายนอกของพระหรรษทานและการประทานพระจิต
ค. การกลับเป็นขึ้นมาของบรรดาผู้ตาย และการพิพากษาสุดท้าย
ง. ความจริงเกี่ยวกับการไถ่บาป และพระคริสตเจ้า (เทียบ กจ 8:37)
ข้อความเชื่อขั้นเบื้องต้นข้ออื่นๆ เช่นเรื่องพระตรีเอกภาพเป็นต้น ยังไม่มีการสอนอย่างแจ่มแจ้งชัดเจนในยุคแรก แต่เป็นที่แน่ใจว่าบรรดาคริสตังได้รู้ความจริงเรื่องนี้แล้ว เพราะมีการโปรดศีลล้างบาป เดชะพระนามพระบิดาและพระบุตรและพระจิต (เทียบ มธ 28:19 ) เราทราบว่าได้มีการตัดสินคำสอนที่ผิดหลงเกี่ยวกับเรื่องพระตรีเอกภาพ และมีการนิยามข้อความเชื่อนี้อย่างชัดเจนในที่ประชุมพระสังคายนาแห่งเมือง นีเช (Nicea) ในปี ค.ศ. 125 และต่อมาที่เมืองคัลเชโดน (Chalcedon) ในปี ค.ศ. 451 เกี่ยวกับความจริงขององค์พระคริสต์ ยุคแรกนี้ได้มีบทภาวนาที่เป็นการสรุปหัวข้อความเชื่อคือ บท “ข้าพเจ้าเชื่อถึงพระเป็นเจ้า” ขึ้น ที่เราเรียกกันว่าบทสัญลักษณ์คณะอัครสาวก บทภาวนาดังกล่าวเริ่มแพร่หลายในปีราวปี ค.ศ. 170 เป็นต้นมา การเตรียมผู้รับศีลล้างบาป อาจมีผู้อยากทราบว่า พระศาสนจักรยุคอัครสาวกได้จัดเตรียมผู้ล้างบาปอย่างไร ในหนังสือกิจการอัครสาวกไดัมีการเล่าเรื่องการโปรดศีลล้างบาปหลายครั้ง หากอ่านอย่างผิวเผินเราจะรู้สึกว่าการโปรดศีลล้างบาปดูเหมือนทำกันอย่างง่ายๆ ใช้เวลาสอนคำสอนนิดเดียว เช่นในวันพระจิตเสด็จลงมา (วันเปนเตกอสเต) ที่มีการโปรดศีลล้างบาปประมาณ 3000 คน (กจ 2:41) เราจะกล้าคิดว่าไม่มีการเตรียมตัวมากไปกว่าการฟังเทศน์สั้นๆ นั้นเชียวหรือ พวกยิวที่รับศีลล้างบาปในวันนั้น ล้วนเป็นพวกที่ปฏิบัติธรรมบัญญัติกันอย่างเคร่งครัดมิใช่หรือ จุดที่เน้นการเล่าเรื่องดังกล่าวจึงอยู่ที่การเสด็จมาของพระจิตเจ้าเหนือคนเหล่านั้น เรื่องที่สังฆานุกร ฟิลิป โปรดศีลล้างบาปให้แก่ขุนนางชาวเอธิโอเปีย (กจ 8:26-50 ) และนักบุญเปโตรที่โปรดศีลล้างบาปแก่นายร้อยชาวโรมัน คอร์เนลีอัส (กจ 10:1-11) ก็เช่นกัน ขุนนางชาวเอธิโอเปียขณะนั้นกำลังอ่านพระคัมภีร์ คอร์เนลีอัส เองก็ได้รับคำชมเชยไว้ว่าท่านเป็น “บุรุษศรัทธาและเป็นผู้ยำเกรงพระเจ้า” ฉะนั้น เราจะว่าท่านเหล่านี้มิได้มีการเตรียมตัวมาก่อนนั้นมิได้ ตามปกติพระศาสนจักรเรียกร้องให้มีผู้ประกันความเชื่อของผู้จะรับศีลล้างบาป และผู้ที่มีหน้าที่ดังกล่าวเราเรียกกันติดปากว่า “พ่อ-แม่ทูนหัว” เราก็พบว่าผู้ล้างบาปที่พบเล่าในกิจการอัครสาวกก็มีพ่อทูนหัวด้วย “เราจะกล้าปฏิเสธไม่ยอมโปรดศีลล้างบาปให้กับคนที่ได้รับพระจิตเช่นเดียวกับเราหรือ” (กจ 10:47) ฉะนั้น นักบุญเปโตรซึ่งเป็นผู้กล่าวประโยคข้างบนนี้จึงกลายเป็นพ่อทูนหัวของ คอร์เนลีอัส ในลักษณะดังกล่าว ลำดับการเล่าเหตุการณ์การกลับใจของนักบุญเปาโล มีสิ่งหนึ่งที่สะกิดใจเราเกี่ยวกับการเตรียมล้างบาปของท่าน กล่าวคือ ท่านตาบอด และไม่ได้กินอะไรเลยเป็นเวลา 3 วัน การ อดอาหารนี้ได้กลายมาเป็นธรรมเนียมของผู้กลับใจและขอเรียนคำสอนเพื่อล้างบาป ภายหลังได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลมหาพรต ที่เป็นระยะเวลาเตรียมตัวพิเศษสำหรับผู้กลับใจเพื่อรับศีลล้างบาปในวันปัสกา ระยะเวลาของการขับไล่ปีศาจ “ปีศาจชนิดนี้จะขับไล่ได้ด้วยการจำศีลภาวนา” (เทียบ มธ 17:21 ) ระยะการเตรียมตัวรับศีลล้างบาปจึงเป็นช่วงของการชิงอำนาจระหว่างพระคริสตเจ้าองค์ความสว่าง กับเจ้าแห่งความมืด ถือเป็นเวลาที่ต้องมีการอบรมจิตใจอย่างเข้มข้น เป็นเวลาของการสะกดอกสะกดใจ เวลาของการจำศีลและของการภาวนา ในหนังสือ ดีคาเค (Didache) ซึ่งนับได้ว่าเป็นหนังสือคำสอนเล่มแรกๆ เล่มหนึ่งในบทที่ 7 มีบอกให้ผู้เตรียมตัวรับศีลล้างบาปต้องจำศีล 1-2 วันก่อนรับพิธี นอกนั้นมีการให้ชื่อใหม่แก่ผู้เกิดใหม่ด้วยน้ำและพระจิต จะเห็นได้ว่า พระศาสนจักรตั้งแต่แรกเริ่มแล้วได้มองเห็นความสำคัญของการเตรียมผู้รับศีลล้างบาป ได้จัดเตรียมพวกเขาอย่างเป็นขั้นตอน อย่างเอาใจใส่ พวกเขาจะต้องรู้จักข้อความเชื่อสำคัญๆ รับรู้ประวัติความรอดที่ตนเข้าไปมีส่วน เขาต้องมีส่วนในชีวิตใหม่นี้มิใช่ด้วยสติปัญญาอย่างเดียว แต่จากประสบการณ์ด้วยตนเอง “เราได้ยิน ได้เห็น………” นี่คือแก่นแท้ของคำว่า “กลับใจ” ของความหมายที่ว่าละทิ้งปีศาจและสมัครมาเป็นศิษย์ของพระคริสตเจ้า
วิธีการสอน
เกี่ยวกับวิธีการสอนคำสอน เราพบว่ามีการเข้าหาผู้ฟังด้วยวิธีการแตกต่างกัน แม้ผู้แพร่ธรรมในยุคแรกจะพะวงมากในเรื่องความสัตย์ซื่อต่อพระธรรมคำสอนเที่ยงแท้ เราก็ยังเห็นว่าพวกท่านใช้การจูงใจผู้ฟังในลักษณะต่างๆ กันตามสภาพจิตใจของพวกเขา กับชาวยิว การสอนเน้นหนักทางประวัติความรอดที่พบในพันธสัญญาเดิม รวมทั้งคำทำนายต่างๆของบรรดาประกาศก เพื่อให้พวกเขารับรู้ว่าทุกอย่างที่กล่าวถึงในพันธสัญญาเดิมนั้นล้วนสำเร็จลุล่วงไปในองค์พระคริสต์ เป็นการยืนยันว่าพระเยซูคริสตเจ้านั่นแหละคือพระเมสสิยาห์ กับชาวต่างศาสนา อาทิ ชาวกรีก พวกผู้แพร่ธรรมใช้เหตุผลในเรื่องพระผู้สร้างชี้แจงให้เห็นว่าพระเจ้าเที่ยงแท้ต้องมีพระเจ้าเดียว เพื่อลบล้างการถือพระเท็จเทียม และเพื่อสอนหลักศีลธรรมขั้นพื้นฐาน (เพราะมีหลายลัทธิในขณะนั้นสอนสิ่งที่ผิดศีลธรรมหรือสอนสิ่งที่น่าบัดสี ) ให้เทียบการสอนของนักบุญเปาโลที่สอนชาวยิวในกิจการอัครสาวก บทที่ 13:17-43 และการสอนของท่านที่กรุงเอเธนส์ต่อหน้าชาวกรีก (กจ 17:22-32) เราพอจะสรุปย่อว่าด้วยการสอนคำสอนในยุคอัครสาวกได้ดังต่อไปนี้ บรรดาผู้แพร่ธรรมได้ตระหนักดีว่า
ก. การสอนคำสอนเป็นหน้าที่หลักสำคัญประการแรกและเป็นสิ่งจำเป็นในการแพร่ธรรม (เทียบ มก 1:35-39; ลก 4:42-43; กจ 6:3-4; รม 1:14-17; รม 9:16-17 ฯลฯ )
ข. คำสอนเป็นงานของพระจิตเจ้า พระพรเรื่องภาษาต่างๆ คำทำนาย และความเฉลียวฉลาด ที่พบเล่าในหนังสือกิจการอัครสาวกอย่างดาษดื่น ล้วนบอกให้ทราบถึงความจริงข้อนี้
ค. การสอนคำสอนใช้การอ้างอิงที่เหมาะสมกับกาลเทศะ สำหรับชาวยิวที่คุ้นเคยกับพระคัมภีร์ และกำลังรอคอยองค์พระเมสสิยาห์ คณะอัครสาวกชี้ให้เห็นว่าพระเยซูคริสต์องค์นี้แหละคือพระเมสสิยาห์ สำหรับชาวกรีกและคนต่างศาสนาที่ชอบการใช้ปรัชญา และเหตุผล พวกสาวกอ้างอิงเรื่องพระเจ้าสร้างโลก…….ฯลฯ (เทียบ กจ 13:17-43 และ 17:23-12 )
ง. จุดประสงค์ของการสอนมิใช่เพียงแค่เตรียมตัวล้างบาปเท่านั้น หรือมิใช่เพื่อเสริมสร้างปัญญาแต่อย่างเดียว แต่เพื่อให้ผู้ฟังรับทราบจิตตารมณ์และการเจริญชีพของพระคริสต์ เพื่อพวกเขาจะได้นำไปปฏิบัติตาม เป้าหมายของการสอนอยู่ที่การยืนยันของนักบุญเปาโลที่ว่า “ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่มิใช่ตัวข้าพเจ้าอีกต่อไป แต่พระคริสตเจ้าทรงดำรงชีวิตอยู่ในตัวข้าพเจ้า" (เทียบ กท 2:20 )