แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

วันอาทิตย์ที่สาม เทศกาลเตรียมรับเสด็จ


ลูกา 3:10-18
    เมื่อประชาชนถามยอห์นว่า “เราจะต้องทำอะไร” เขาก็ตอบว่า “ใครมีเสื้อสองตัว จงแบ่งตัวหนึ่งให้กับคนที่ไม่มี คนที่มีอาหาร ก็จงทำเช่นเดียวกัน” คนเก็บภาษีมาหายอห์นเพื่อรับพิธีล้างด้วย และถามเขาว่า “ท่านอาจารย์ พวกเราจะต้องทำสิ่งใด” ยอห์นตอบว่า “ท่านอย่าเรียกเก็บภาษีเกินพิกัด” พวกทหารถามเขาด้วยว่า “แล้วพวกเราเล่า เราจะต้องทำสิ่งใด” เขาตอบว่า “อย่าขู่กรรโชก อย่ากล่าวหาเป็นความเท็จเพื่อเอาเงิน จงพอใจกับค่าจ้างของตน”
    ขณะนั้น ประชาชนกำลังรอคอย ทุกคนต่างคิดในใจว่า ยอห์นเป็นพระคริสต์หรือ ยอห์นจึงประกาศต่อหน้าทุกคนว่า “ข้าพเจ้าใช้น้ำทำพิธีล้างให้ท่านทั้งหลาย แต่ผู้ที่ทรงอำนาจยิ่งกว่าข้าพเจ้าจะมา และข้าพเจ้าไม่สมควรแม้แต่จะแก้สายรัดรองเท้าของเขา เขาจะทำพิธีล้างให้ท่านเดชะพระจิตเจ้าและด้วยไฟ เขากำลังถือพลั่วอยู่แล้ว จะชำระลานนวดข้าวให้สะอาด จะรวบรวมข้าวใส่ยุ้ง ส่วนฟางนั้นจะเผาทิ้งในไฟที่ไม่รู้ดับ” ยอห์นยังใช้ถ้อยคำอื่นอีกมากตักเตือน และประกาศข่าวดีแก่ประชาชน

บทรำพึงที่ 1
ผู้ฟังที่ไม่น่าจะฟัง
    เทศกาลเตรียมรับเสด็จเป็นเรื่องของพระเจ้าผู้เสด็จมา
พระเจ้าทรงเป็นชีวิต และอำนาจในการเนรมิตสร้างของพระองค์ต้องค้ำจุนเรา มิฉะนั้นเราจะต้องตาย พระเจ้าทรงเป็นแสงสว่าง และแสงสว่างต้องส่องสว่าง พระเจ้าทรงเป็นความรัก และเป็นธรรมชาติของความรักที่จะยื่นมือออกไปหาผู้อื่น เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ใครจะห้ามพระเจ้าไม่ให้เสด็จมาได้ นี่คือธรรมล้ำลึกเกี่ยวกับเสรีภาพของเรา เพราะเราทำเช่นนั้นได้
    คนทั่วไปเข้าใจผิด เมื่อเขาเชื่อกันว่าเราต้องทำตัวให้สมกับที่จะได้รับความรักของพระเจ้า ด้วยการพยายามเป็นคนที่สมบูรณ์ครบครัน เราเข้าใจผิดว่าวันหนึ่งบ้านของเราที่เต็มไปด้วยการทะเลาะเบาะแว้งและความหงุดหงิด จะกลายเป็นบ้านที่สงบสุข และเมื่อนั้น บ้านของเราจะเป็นบ้านที่พร้อมจะต้อนรับพระเจ้า เหมือนกับเด็กน้อยคนหนึ่งที่คิดว่าตัวเขายังไม่พร้อมจะไปโรงเรียนจนกว่าเขาจะสามารถอ่าน และเขียนได้เหมือนกับ
พี่ ๆ ของเขา
    เรามักลืมไปว่าเมื่อพระเจ้าเสด็จมาหาเราในองค์พระเยซูเจ้า พระองค์พอพระทัยจะประสูติในถ้ำและใช้รางหญ้าเลี้ยงสัตว์เป็นอู่นอน พระนางมารีย์ทรงทราบว่าสิ่งเดียวที่พระนางเสนอให้
พระเจ้าได้คือครรภ์พรหมจรรย์แห่งความเปล่าของพระนาง
ถ้าเรากำลังวางแผนสำหรับเทศกาลพระคริสตสมภพ เราจะจัดเตรียมสิ่งต่าง ๆ ตามพระประสงค์ของพระเจ้า หรือเราจะเลือกสิ่งของที่คุณภาพดีที่สุด
    คำเทศน์สอนของยอห์นเป็นข่าวดีสำหรับคนจำนวนมาก ซึ่งสถาบันศาสนาในยุคนั้นเลิกคาดหวังให้กลับใจแล้ว พระวาจาของ
พระเจ้าที่ยอห์นประกาศ กระตุ้นจิตใจผู้ฟังให้สมัครใจแก้ไขวิถีชีวิตอย่างน่าประหลาดใจ หลายคนที่หันมาฟังยอห์น เป็นบุคคลที่ไม่น่าเชื่อว่าจะฟังเขา คนเหล่านี้ตื่นเต้นที่เริ่มมองเห็นพระเจ้า
ผู้ทรงเอื้อมมาหาเขาที่กำลังจมอยู่ในบาป เราไม่จำเป็นต้องเป็นคนดีพร้อมก่อนจะมาหาพระองค์ ดังนั้น คนเหล่านี้จึงสมัครใจมาหาพระองค์ ทั้งคนเก็บภาษี และทหาร คนเหล่านี้ไม่ใช่คนเคร่งครัดศรัทธาในยุคนั้นเลย พวกเขาเริ่มมีความรู้สึกคาดหวัง
    แต่คนที่ชื่นชมตนเองว่าเป็นคนเคร่งศาสนากลับไม่พร้อม
จะฟัง คนเหล่านี้ไม่รู้ตัวว่าเขาต้องการพระผู้ไถ่ เขาไม่มี หรือ
คิดเอาเองว่าไม่มี ความจำเป็นต้องเตรียมตัวรับเสด็จพระเจ้า
    เรามักเข้าใจผิดว่าเราจะพบพระเจ้าได้ในดินแดนแห่งความสมบูรณ์ครบครัน เราบอกพระองค์ว่า สักวันหนึ่งลูกคงพร้อมจะพบกับพระองค์ การเสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ของพระเยซูเจ้า เป็นวิธีการที่พระเจ้าทรงบอกเราว่าพระองค์ทรงต้องการพบเราตั้งแต่ที่นี่ และเวลานี้ ... ในถ้ำที่ลมหนาวพัดผ่าน และในรางหญ้ากลิ่นเหม็น ... ในบาดแผลในอดีตของเรา และในความกลัวอนาคตของเรา ... ในบาปและความล้มเหลวของเรา ในความเสียใจและอึดอัดใจของเรา พระเจ้าไม่ได้กำลังรอคอยให้เราเป็นคนดีพร้อม เราคิดว่าเราเป็นใครหรือจึงจะมีวันคู่ควรต้อนรับ
พระเจ้าได้
    สิ่งเดียวที่พระเจ้าทรงต้องการจากท่านระหว่างเทศกาลเตรียมรับเสด็จ คือ ให้ท่านยอมให้พระเจ้าทรงเป็นฝ่ายเสด็จมาหาท่าน ... พระเจ้าแห่งชีวิต พระเจ้าแห่งแสงสว่าง และพระเจ้าแห่งความรัก ... สิ่งที่พระเจ้าทรงแสวงหา คือ ถ้ำของเรา และ
รางหญ้าอันว่างเปล่าของเรา ท่ามกลางความยากไร้ และความ
ขัดสนในชีวิตของเรา
    ข้าแต่พระเจ้าแห่งชีวิต เชิญเสด็จมาสู่กิ่งก้านเหี่ยวแห้งในชีวิตที่ไม่ให้ผลของเรา ที่ซึ่งความพยายามของเราล้มเหลว ที่ซึ่งความกล้าหาญของเราถดถอย ที่ซึ่งน้ำเลี้ยงที่ให้พลังงานได้แห้งไปหมดแล้ว เรายากไร้ และเราต้องการพระผู้ไถ่ เชิญเสด็จมาเถิดพระเยซูเจ้า
    ข้าแต่พระเจ้าแห่งแสงสว่าง เชิญเสด็จมาสู่ก้นบึ้งอันมืดมนที่เราอาศัยอยู่ร่วมกับความกลัวอันคลุมเครือ และอารมณ์ที่ไม่ยอมเชื่อง เรายากไร้ และเราต้องการพระผู้ไถ่ เชิญเสด็จมาเถิด
พระเยซูเจ้า
    ข้าแต่พระเจ้าแห่งความรัก ผู้ทรงปรารถนาจะเข้ามาในหัวใจของเรา เชิญเสด็จเข้ามาในห้องหัวใจซึ่งยังไม่ได้รับการไถ่กู้ ที่ซึ่งเราปิดกั้นความรักของพระองค์ ที่ซึ่งเรารู้จักแต่ความริษยา ความใคร่ ความกระวนกระวาย ความจองหอง ความโกรธ และความขมขื่น เรายากไร้ และเราต้องการพระผู้ไถ่ เชิญเสด็จมาเถิด
พระเยซูเจ้า

 

บทรำพึงที่ 2
ใครบางคนกำลังมา
    “เราจะต้องทำอะไร” คนบาปทั้งหลายที่มาหายอห์น
ได้ค้นพบพลังใหม่ในชีวิตของเขา และความพร้อมที่จะทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อปรับปรุงตนเอง สารของยอห์นสัมผัสส่วนที่เป็น
ฤดูหนาวในชีวิตของเขา และเผยให้เห็นฤดูใบไม้ผลิ ...
“ใครบางคนกำลังมา” และน้ำเลี้ยงที่ให้พลังเริ่มฉีดพล่านใน
เส้นเลือดในตัวเขา
    การเฉลิมฉลองเทศกาลเตรียมรับเสด็จ และเทศกาล
พระคริสตสมภพ มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับการโคจรกลับมาของดวงอาทิตย์หลังจากที่ได้โคจรออกห่างจากโลกมากที่สุดในฤดูหนาว เมื่อมองจากโต๊ะทำงานออกไปนอกหน้าต่าง ข้าพเจ้ามองเห็นสวนผักอันมีค่าของเราที่กำลังหลับไหลอยู่กลางฤดูหนาว น้ำค้างแข็งทำให้พื้นดินแตกออกกลายเป็น
ดินเพาะปลูกชั้นดี ปุ๋ยที่หว่านไว้กำลังคืนความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ดิน ฤดูหนาวทำให้ดินอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การหว่านเมล็ดพันธุ์ในฤดูใบไม้ผลิมากขึ้น ข้าพเจ้าเรียนรู้ที่จะรักการนอนหลับของธรรมชาติระหว่างฤดูหนาว ซึ่งให้พลังงานแก่ฤดูใบไม้ผลิ การคิดถึงดอกหญ้าดอกแรกที่ผุดขึ้นมาจากต้นหญ้าทำให้รู้สึกรักการพักผ่อนของธรรมชาติในฤดูหนาว นั่นคือการได้เห็นแวบหนึ่งของอนาคตที่เราเรียกว่าความหวัง ใครบางคนกำลังจะมาถึง
ใครบางคนที่มีฤทธานุภาพมากกว่า ไฟเป็นธาตุที่มีอำนาจเปลี่ยนแปลงมากกว่าน้ำที่ยอห์นยืนแช่อยู่ ไฟทำให้ร่างกายอบอุ่น ส่องสว่างในเวลากลางคืน ละลาย และชำระสิ่งต่าง ๆ ให้สะอาดบริสุทธิ์ เราใช้ไฟเพื่อต้ม อบ และปรุงอาหาร เราใช้ไฟนำคนทั้งหลายมาชุมนุมกัน เปลวไฟกระตุ้นจินตนาการของเรา หรือ
ไฟอาจคุกคามทำลาย เผาขยะมูลฝอย และเปลือกนอกที่
ว่างเปล่าของชีวิตก็ได้  คำสั่งสอนของยอห์นเรื่องชีวิตเป็นส่วนผสมระหว่างความกลัวและความหวัง กลัวเพราะการลงทัณฑ์
อันน่าสะพรึงกลัวอาจเกิดขึ้นถ้าประชาชนไม่เปลี่ยนวิถีชีวิต แต่มีความหวังว่ามนุษย์ยังสามารถกลับใจได้ ความกลัวเพียงอย่างเดียวอาจทำให้มนุษย์ไม่อยากริเริ่มสิ่งใหม่
    การได้เห็นแวบหนึ่งของอนาคตนั่นเองที่ทำให้ประชาชนมีกำลังใจจะถามว่า “เราจะต้องทำอะไร”
    ข้าแต่พระเจ้า ขอให้ข้าพเจ้ารู้จักพระองค์เสมอว่าทรงเป็น
ผู้ที่กำลังเสด็จมา ขอให้ข้าพเจ้ารู้ว่าความเดียวดายของข้าพเจ้าเป็นพื้นที่ว่างที่จะต้อนรับพระองค์ รู้ว่าความมืดของข้าพเจ้าเป็นการพยายามเพ่งมองความกว้างใหญ่ไพศาลของพระองค์ รู้ว่าความเย็นชาของข้าพเจ้าเป็นความต้องการความอบอุ่นของพระองค์ รู้ว่าความเฉื่อยชาของข้าพเจ้าเป็นการนอนหลับเพื่อเรียกคืนพลังงาน รู้ว่าฤดูหนาวของข้าพเจ้าเป็นฤดูกาลที่เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ ก่อนฤดูใบไม้ผลิอันน่าตื่นเต้นจะมาถึง
    พระเจ้าข้า โปรดทรงใช้ข้าพเจ้าให้เป็นผู้ที่กำลังไปหาผู้อื่น โปรดทรงทำให้ข้าพเจ้ามีความห่วงใยอาทรต่อผู้ที่ถูกทอดทิ้ง และเข้าใจความรู้สึกของผู้ที่กำลังเสียใจ โปรดทรงใช้ข้าพเจ้าให้เป็นข่าวดีสำหรับคนทั้งหลายที่รู้จักแต่ความเศร้าของบาป ให้ข้าพเจ้าเป็นประกายแห่งความยินดีสำหรับผู้ที่กำลังตกต่ำ และหดหู่ใจ
    เท้าของผู้ที่นำข่าวดีเป็นเท้าที่งดงามบนภูเขา พระเจ้าข้า โปรดประทานเท้าอันงดงามแก่ข้าพเจ้าเทอญ

 

บทรำพึงที่ 3
ประชาชนที่มารับพิธีล้างจากยอห์น ถามเขาว่า “เราจะต้องทำอะไร”
    เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา บทอ่านพระวรสารบอกเราว่า ยอห์น ผู้ทำพิธีล้าง “เทศน์สอนเรื่องพิธีล้าง ซึ่งแสดงการเป็นทุกข์กลับใจ เพื่อจะได้รับการอภัยบาป” ชาวปาเลสไตน์ ในยุคของพระเยซูเจ้าเป็นชาวไร่ชาวนาซื่อ ๆ พวกเขาต้องการทำให้พิธีล้างบังเกิดผลในชีวิตของเขา เขาจึงถามว่า “เราต้องเปลี่ยนแปลงอะไรในชีวิต เราจะต้องทำอะไร”
    พวกเราส่วนใหญ่ได้รับศีลล้างบาปเพื่อจะได้รับการอภัยบาปในขณะที่เรายังเป็นเด็ก และไม่รู้ประสีประสา แต่ตลอดชีวิตที่เราเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เราต้องรื้อฟื้น “เครื่องหมาย” ของศีลแห่งการกลับใจนี้ เราไม่สามารถรับศีลล้างบาปอีกครั้งหนึ่งได้ แต่เรามีธรรมประเพณีของพระศาสนจักรที่เรียกกันว่า “ศีลล้างบาปที่สอง” คือศีลอภัยบาป ซึ่งเราต้องเตรียมตัวก่อนไปรับ เพื่อเราจะสามารถต้อนรับพระเยซูเจ้าผู้กำลังเสด็จมาได้
    เช่นเดียวกับฝูงชนในปาเลสไตน์ เราไม่สามารถล้างบาปตนเองด้วยคำพูด หรือทำแต่พิธีการภายนอก แต่เราต้องถาม
พระเจ้าอย่างกล้าหาญเช่นกันว่า “พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าต้อง
ทำอะไรบ้าง จึงจะเป็นคริสตชนแท้ได้”
ยอห์น ตอบพวกเขาว่า “ใครมีเสื้อสองตัว จงแบ่งตัวหนึ่งให้กับคนที่ไม่มี คนที่มีอาหารก็จงทำเช่นเดียวกัน”
    คำสั่งสอนของยอห์น ผู้ทำพิธีล้าง เป็นคำสั่งสอนที่ชัดเจน กระชับ เข้าใจง่าย และมุ่งหมายให้นำไปได้ปฏิบัติทันทีในชีวิตจริง ไม่มีสิ่งใดเกินสติปัญญา หรือลึกลับ ในชีวิตปกติธรรมดาของเรา (เช่น ในการแต่งกาย การกินอาหาร) จะต้องมีการแสดงออกถึง “การเป็นทุกข์กลับใจ” การเปลี่ยนแปลงจิตใจของเราให้เห็นได้ชัด
    เพื่อจะทดสอบว่าการประกาศความเชื่อของท่านเป็นการประกาศที่จริงใจหรือไม่ ไม่จำเป็นต้องเปิดหนังสือเล่มใหญ่ๆ เพื่อตรวจสอบความจริงแท้ แต่จงไปดูที่ตู้เสื้อผ้าของท่าน ตู้เย็น ลิ้นชักของท่าน และบัญชีธนาคารของท่าน
    “จงแบ่งปัน จงให้ครึ่งหนึ่งที่มี” พระองค์กำลังร้องขออะไร พระเจ้าข้า
    ข้อความนี้สะท้อนให้เห็นตัวตนของลูกา ผู้ประกาศ “ข่าวดีแก่คนยากจน” เขายกตัวอย่างการกระทำของศักเคียส หัวหน้า
คนเก็บภาษีแห่งเมืองเยรีโค ว่า “ข้าพเจ้าจะยกทรัพย์สมบัติครึ่งหนึ่งให้แก่คนจน” (ลก 19:9) ลูกาคนเดียวกันนี้บอกเราว่า
พระเยซูเจ้าทรงบอกคนมั่งมีในยุคของเราให้ “แบ่งปัน” แทนที่จะสนใจแต่พิธีชำระร่างกายตามธรรมเนียม (ลก 11:41) และเขาบรรยายถึงชุมชนคริสตชนตัวอย่างว่า “เขามีทุกสิ่งเป็นของส่วนรวม” (กจ 2:44; 4:32, 35) เราทำเช่นนี้ได้หรือไม่
คนเก็บภาษีมาหายอห์น เพื่อรับพิธีล้างด้วย และถามเขาว่า “ท่านอาจารย์ พวกเราจะต้องทำสิ่งใด” ยอห์น ตอบว่า “ท่านอย่าเรียกเก็บภาษีเกินพิกัด” พวกทหารถามเขาด้วยว่า “แล้วพวกเราเล่า
เราจะต้องทำสิ่งใด” เขาตอบว่า “อย่าขู่กรรโชก อย่ากล่าวหาเป็นความเท็จเพื่อเอาเงิน จงพอใจกับค่าจ้างของตน”
    ในบรรดาประชาชน ลูกากล่าวถึงคนสองประเภทโดยเฉพาะ คือ คนเก็บภาษี และทหาร คนสองกลุ่มนี้เป็นคนที่ถูกเหยียดหยามมากที่สุดในยุคนั้น เป็นกลุ่มคนที่ “ไม่คู่ควร” จะต้อนรับ
พระเยซูเจ้า เป็นคนนอกคอก ข้อความนี้ก็เป็นเอกลักษณ์ของพระวรสารของลูกาอีกเช่นกัน พระวรสารของลูกาเสนอภาพ
พระเยซูเจ้า “กินอาหารในบ้านของคนบาป” (5:27-30) และทำให้คนเคร่งศาสนารู้สึกสะดุด ... พระเยซูเจ้า “พักที่บ้านคนบาป” (19:7) และทำให้คนดี ๆ ไม่พอใจ ... พระเยซูเจ้าตรัสว่าพระองค์ไม่ได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรม (5:32)
    ลูกาบอกเราว่า “แล้วมนุษย์ทุกคนจะเห็นความรอดพ้นจาก
พระเจ้า” (ลก 3:6) ถูกแล้ว แม้แต่คนเก็บภาษี และทหาร ... แม้แต่คนบาป ... แม้แต่ตัวข้าพเจ้าเอง
    ขอบพระทัย พระเจ้าข้า สำหรับความเมตตาของพระองค์
    ยอห์น ผู้ทำพิธีล้าง ไม่ได้ขอให้คนเก็บภาษี และทหารเหล่านั้น ซึ่งเป็นลูกจ้าของกองทัพโรมันที่ยึดครองดินแดน ให้พวกเขาเปลี่ยนอาชีพ เพียงแต่ให้ทำงานของตนตามวิถีทางใหม่ คือ เคารพความยุติธรรม หลีกเลี่ยงการใช้อำนาจหน้าที่ในทางที่ผิด โดยต้องเคารพกฎหมายและสิทธิของแต่ละบุคคลเสมอ “คำแนะนำการประกอบอาชีพ” เหล่านี้มุ่งหมายจะแก้ไขบาปที่คนเก็บภาษี และทหารกระทำกันบ่อย ๆ ในยุคนั้น คือ ใช้อาชีพ
บังหน้าเพื่อสร้างความร่ำรวยให้ตนเอง และใช้ตำแหน่งหน้าที่ในทางที่ผิด
    ส่วนข้าพเจ้าเล่า บาปอะไรที่ทำกันบ่อย ๆ ในอาชีพ และ
ในสถานการณ์ของข้าพเจ้า
    อะไรคือบาปของพระสงฆ์ บาปของครู บาปของเสมียน บาปของพยาบาล หรือแพทย์ บาปของข้าราชการ บาปของเจ้าของอุตสาหกรรม บาปของคนงาน บาปของพ่อค้าแม่ค้า บาปของเด็ก ๆ บาปของบิดามารดา บาปของนักบวช ...
    สังคมของเราคงเกิดการฟื้นฟูครั้งใหญ่ ถ้าทุกคนที่
รับศีลล้างบาปแล้วจะเข้าสู่ “พิธีกรรมแห่งการเป็นทุกข์กลับใจ” อย่างจริงจัง ... ส่วนเราเล่า เราควรทำอะไร
    คำบอกเล่าของลูกาอาจหยุดลงเท่านี้ก็ได้ เขาอาจพูดถึงแต่ความจำเป็นต้องกลับใจเพียงในระดับสังคม และจริยธรรมของมนุษย์เท่านั้น แต่ฝูงชนกำลังรอคอยบางสิ่งบางอย่าง
ขณะนั้น ประชาชนกำลังรอคอย ทุกคนต่างคิดในใจว่า ยอห์นเป็น
พระคริสต์หรือ
    ณ จุดนี้ ลูกาเปลี่ยนคำศัพท์ที่ใช้ ฝูงชน (ochloi ใน
ภาษากรีก) กลายเป็นประชาชน (laos ในภาษากรีก) ฝูงชน
นิรนามกลายเป็นประชาชนชนที่มีศักดิ์ศรี เมื่อพวกเขาตั้งคำถามใหม่ พวกเขาไม่ได้รอคอยบางสิ่งบางอย่างอีกต่อไป แต่รอคอยใครบางคน ... ความคาดหวังของพวกเขาเป็นความปรารถนาที่ซ่อนอยู่ลึก ๆ ในใจ แต่เขาไม่รู้ตัว หรือไม่กล้าเอ่ยออกมา
    ในวันนี้ก็เหมือนกับในยุคสมัยนั้น มีหญิงชายจำนวนมากที่ไม่สนใจว่า “จะเรียกบุคคลที่หัวใจของพวกเขากำลังรอคอยอย่างไร” พระผู้ไถ่มีอยู่จริงหรือ มีพระเจ้าที่จะช่วยเราให้รอดพ้นหรือ เราสามารถพึ่งพาพระเมสสิยาห์ ผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมา และสามารถปลดปล่อยเราให้หลุดพ้นจากความทุกข์ยาก และการทดลองทั้งหมดของเราหรือ
ยอห์น จึงประกาศต่อหน้าทุกคนว่า “ข้าพเจ้าใช้น้ำทำพิธีล้างให้ท่านทั้งหลาย แต่ผู้ที่ทรงอำนาจยิ่งกว่าข้าพเจ้าจะมา และข้าพเจ้า
ไม่สมควรแม้แต่จะแก้สายรัดรองเท้าของเขา”
    เห็นได้ชัดว่า ยอห์นได้ยินคำถามที่ประชาชนไม่สามารถเอ่ยออกมา มิใช่ได้ยินด้วยหู แต่ด้วยพระหรรษทานที่พระเจ้าประทานแก่ประกาศก ยอห์น ผู้ทำพิธีล้าง อ่านใจประชาชนได้
    ข้าพเจ้าสามารถได้ยินความลับที่ซ่อนอยู่ในใจของเพื่อน เพื่อนบ้าน และเพื่อนร่วมงานของข้าพเจ้าได้หรือไม่ ปัญหาเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนช่วยข้าพเจ้าให้มองเห็นการประทับอยู่ของพระเจ้าหรือไม่
    ยอห์น ได้เชิญให้ประชาชนสำรวจตู้เสื้อผ้า หรือห้องเก็บอาหารของพวกเขาแล้ว บัดนี้ เขาเชิญประชาชนให้เปิดหัวใจ และพบกับผู้ที่จะเสด็จมาหาเขา “ฟังซิ อย่าส่งเสียงดัง ใครบางคนกำลังเดินมาตามถนนใกล้ตัวท่าน ใครบางคนกำลังมาพบท่าน
ฟังซิ ฟังเสียงฝีเท้าขององค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้เสด็จมาหาท่าน”
    ยอห์นไม่ได้มองเห็นแต่ตัวละครที่อยู่บนเวที คือ ฝูงชน
คนเก็บภาษี ... เขายังมองเห็นตัวละครเอกที่ยังซ่อนพระองค์อยู่ ... ส่วนเราเล่า เราเห็นพระองค์ด้วยหรือไม่
เขาจะทำพิธีล้างให้ท่าน เดชะพระจิต และด้วยไฟ
    นี่คือแก่นสารของคำบอกเล่าพระวรสาร คือ การเข้าแทรกแซงช่วยเหลืออันจำเป็นของพระเจ้า การกลับใจอาจ
ดูเหมือนเป็นก้าวธรรมดาที่ค่อนข้างง่าย และยอห์น ผู้ทำพิธีล้าง เพียงแต่ขอให้เราทำสิ่งที่เราทำได้ ขอเพียงให้ลองพยายามเท่านั้น
    ไม่ว่าจะดูเหมือนง่ายเพียงไร แต่สิ่งที่พระเจ้ากำลังร้องขอเป็นสิ่งที่แทบจะปฏิบัติไม่ได้ คือ ให้เป็นทุกข์กลับใจ ให้เปลี่ยน
วิถีชีวิตของเราอย่างสิ้นเชิง นี่เป็นสิ่งที่มนุษย์ทำด้วยกำลังตนเองตามลำพังไม่ได้ แต่ต้องพึ่งพา “การทำงานของพระเจ้า”
ศีลศักดิ์สิทธิ์แต่ละข้อเป็น “การทำงานของพระเจ้า” มากกว่าการทำงานของมนุษย์
    ยอห์น บรรยายการทำงานของพระเจ้าด้วยสามภาพลักษณ์ คือ การจุ่มตัว ลม ไฟ
    คำว่า ruah ในภาษาอาราเมอิค และภาษาฮีบรู หมายถึงทั้ง “ลม” และ “จิต” การเล่นคำเช่นนี้ต้องการช่วยให้เราเข้าใจว่า
พระจิตของพระเจ้าจะสั่นคลอนเราเหมือนลมพายุ เหมือนเรากำลังอยู่กลางพายุเฮอริเคน
    พระจิตของพระเจ้ายังเป็นเหมือนไฟที่เผามลทินทั้งปวง
อันที่จริง เมื่อลูกาบรรยายถึง “พิธีล้างในพระจิตเจ้า” ซึ่งทำให้บรรดาอัครสาวกเปลี่ยนไปในวันเปนเตกอสเต เขาเอ่ยถึง “ลมพัดแรงกล้า” และ “เปลวไฟลักษณะเหมือนลิ้น” (กจ 2:2, 3)
    ขอให้ลองนึกถึงภาพที่ท่านรับศีลอภัยบาป (“ศีลล้างบาปครั้งที่สอง”) เพื่อเตรียมตัวสำหรับเทศกาลพระคริสตสมภพ ขอให้ลองคิดว่าตัวท่านกำลังถูกเผาในมหาสมุทรไฟ ซึ่งกำลังฟื้นฟูท่านขึ้นมาใหม่
    การเผาด้วยพระจิตของพระเจ้า! เรามักเปลี่ยน “ลูกระเบิด” แห่งพระวรสาร ให้กลายเป็นเพียงขนมหวานเคลือบน้ำตาล ซึ่งแตกต่างกันเป็นอย่างยิ่ง!
เขากำลังถือพลั่วอยู่แล้ว จะชำระลานนวดข้าวให้สะอาด จะรวบรวมข้าวใส่ยุ้ง ส่วนฟางนั้นจะเผาทิ้งในไฟที่ไม่รู้ดับ
    ในอินเดีย ชาวนาใช้กระด้งสำหรับฝัดข้าว ถูกแล้ว
พระเยซูเจ้าเองเสด็จมาพร้อมกับกระด้งฝัดข้าวในพระหัตถ์ เหมือนผู้พิพากษาเมื่อถึงอวสานกาล เพื่อทำการคัดแยก และชำระล้างเป็นครั้งสุดท้าย
    เมื่อชาวนาฝัดข้าวสาลี เขายืนในที่แจ้งกลางลมแรง เขา
นำทั้งฝุ่น เมล็ดข้าว และเศษฟางใส่ในกระด้ง และโยนทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นไปในอากาศ ลมจะแยกเมล็ดข้าวที่หนักกว่า และตกลงมาในแนวดิ่ง แยกออกจากเศษฟาง และแกลบ ซึ่งลมจะ
พัดออกไป เขาจะเก็บข้าวไว้ในยุ้ง และเผาฟาง และแกลบจนเป็นขี้เถ้า
    เราจงอย่าหลอกตนเอง เราไม่สามารถหลอกพระเจ้าได้
วันหนึ่ง เราจะเห็นว่าอะไรมีคุณค่าแท้ และ “มีน้ำหนัก” ในชีวิตของเรา และอะไรที่ไม่มี
    หัวใจมนุษย์เป็นเมล็ดข้าว หรือเศษฟางที่ไร้ประโยชน์
    ขอให้ลม และไฟแห่งพระจิตเจ้าเปลี่ยนข้าพเจ้าให้ซื่อตรงตั้งแต่บัดนี้เถิด
    อาศัย “ศีลล้างบาปครั้งที่สอง” ซึ่งเป็นงานแห่งการคืนดีของ
พระเจ้า ข้าพเจ้าจะพยายามมองเห็นความจริงเกี่ยวกับตนเอง พยายามแยกแยะว่าในชีวิตของข้าพเจ้าอะไรคือความเห็นแก่ตัว และอะไรคือความรัก อะไรคือการกดขี่ และอะไรคือความยุติธรรม อะไรคือความรักที่เจือปนด้วยความเห็นแก่ตัว และอะไรคือความรักบริสุทธิ์ อะไรคือการรอคอยพระเจ้าอย่างแท้จริง และอะไรคือความเฉยเมยเพราะฝักใฝ่ในวัตถุอย่างน่าเศร้า
ยอห์น ยังใช้ถ้อยคำอื่นอีกมาตักเตือน และประกาศข่าวดีแก่ประชาชน
    การพิพากษานี้ไม่ใช่เหตุการณ์ที่โหดร้าย และน่ากลัว แต่เป็นข่าวดี
    เปล่าเลย พระเจ้าทรงบอกเราว่าความชั่วจะไม่ดำรงอยู่
ชั่วนิรันดร์ ... ความชั่วจะไม่ชนะ
    กระด้งฝัดข้าวอยู่ในมือของเราแล้ว    ขอบพระคุณพระเจ้า