วันอาทิตย์ที่ห้า เทศกาลมหาพรต
ยอห์น 8:1-11
พระเยซูเจ้าเสด็จไปยังภูเขามะกอกเทศ เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น พระองค์เสด็จไปในพระวิหารอีก ประชาชนเข้ามาห้อมล้อมพระองค์ พระองค์ประทับนั่ง แล้วทรงเริ่มสั่งสอน
บรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีนำหญิงคนหนึ่งเข้ามา หญิงคนนี้ถูกจับขณะล่วงประเวณี เขาให้นางยืนตรงกลาง แล้วทูลถามพระองค์ว่า “อาจารย์ หญิงคนนี้ถูกจับขณะล่วงประเวณี ในธรรมบัญญัติ โมเสสสั่งเราให้ทุ่มหินหญิงประเภทนี้จนตาย ส่วนท่านจะว่าอย่างไร” เขาถามพระองค์เช่นนี้ เพื่อทดลองพระองค์ หวังจะหาเหตุปรักปรำพระองค์ แต่พระเยซูเจ้าทรงก้มลงเอานิ้วพระหัตถ์ขีดเขียนที่พื้นดิน เมื่อคนเหล่านั้นยังทูลถามย้ำอยู่อีก พระองค์ทรงเงย
พระพักตร์ขึ้น ตรัสว่า “ท่านผู้ใดไม่มีบาป จงเอาหินทุ่มนางเป็นคนแรกเถิด” แล้วทรงก้มลงขีดเขียนบนพื้นดินต่อไป เมื่อคนเหล่านั้นได้ฟังดังนี้ก็ค่อย ๆ ทยอยออกไปทีละคน เริ่มจากคนอาวุโส จนเหลือแต่พระเยซูเจ้าตามลำพังกับหญิงคนนั้น ซึ่งยังคงยืนอยู่ที่เดิม พระเยซูเจ้าทรงเงยพระพักตร์ขึ้น ตรัสกับนางว่า “นางเอ๋ย พวกนั้นไปไหนหมด ไม่มีใครลงโทษท่านเลยหรือ” หญิงคนนั้นทูลตอบว่า “ไม่มีใครเลย พระเจ้าข้า” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เราก็ไม่ลงโทษท่านด้วย ไปเถิด และตั้งแต่นี้ไป อย่าทำบาปอีก”
บทรำพึงที่ 1
เยียวยาความรู้สึกในอดีต
หัวข้อของวันอาทิตย์สัปดาห์ก่อนเป็นเรื่องของบาปและการให้อภัย และยังเป็นหัวข้อของสัปดาห์นี้ด้วย แม้ว่าเรื่องนี้อยู่ในพระวรสารของนักบุญยอห์น แต่ก็เข้ากันได้ดียิ่งกับหัวข้อในพระวรสารของนักบุญลูกาสำหรับปีนี้
บทอ่านอื่น ๆ ของมิสซาวันนี้กระตุ้นให้มนุษย์ลืมอดีต
อิสยาห์กระตุ้นให้ประชาชนลืมความยากลำบากในดินแดนเนรเทศที่บาบิโลน และให้วางใจในอนาคตที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้พวกเขา “อย่างระลึกถึงอดีต อย่าคิดถึงเรื่องราวครั้งก่อน
ดูเถิด เรากำลังกระทำสิ่งใหม่...”
นักบุญเปาโลเพ่งสายตาไปที่พระคริสตเยซู จนทุกสิ่ง
ทุกอย่างในอดีตของเขาเลือนรางกลายเป็นสิ่งไม่สำคัญ “ข้าพเจ้าทำเพียงอย่างเดียว คือลืมสิ่งที่อยู่เบื้องหลัง มุ่งสู่เบื้องหน้าอย่างสุดกำลัง”
แต่การลืมอดีตนั้นทำได้ง่ายนักหรือ โดยเฉพาะสำหรับคนที่เคยถูกทำร้ายจิตใจ ร่างกาย หรือเคยเป็นเหยื่อของความ
อยุติธรรมในอดีต เราไม่สามารถสั่งความทรงจำของเราว่าเมื่อใดควรปิดสวิทซ์ ถ้าเราจำสิ่งใดได้ สิ่งนั้นจะฝังอยู่ในใจ เรา เราไม่อาจเลือกได้ว่าจะจำ หรือจะลืมอะไร แต่เราเลือกได้ว่าจะจำอย่างไร เราเลือกได้ว่าจะจำในเชิงลบหรือเชิงบวก การจำในเชิงลบคือการครุ่นคิดถึงแต่ความอยุติธรรมและความเจ็บปวด ปลุกความโกรธ ความแค้น ความคิดและความปรารถนาซึ่งทำร้ายจิตใจเรา คนที่ทุกข์ทรมานมากที่สุดจากความรู้สึกเหล่านี้ก็คือคนที่ไม่ยอมปล่อยให้ความทรงจำเหล่านี้เลือนหายไป การจำในเชิงบวกคือการใช้พลังที่มีอำนาจมากกว่า และเหนือกว่าความ
อยุติธรรมหรือการประทุษร้ายที่เกิดขึ้นกับตัวเรา พลังที่มีอำนาจเหนือความอยุติธรรม และความคิดด้านลบทั้งปวง คือ ความรัก
เรื่องของพระเยซูเจ้า และหญิงคนนี้เป็นเหตุให้เกิดปฏิกิริยา
ทั้งด้านลบและด้านบวก จุดยืนของบรรดาธรรมาจารย์ และชาวฟาริสี ต่อหญิงผู้นี้มีแต่พลังด้านลบ แต่ผู้ร่วมกระทำผิดประเวณีครั้งนี้อยู่ที่ไหน ทำไมไม่มีใครเอ่ยถึงเขา ทุกคนกล่าวหาหญิงคนนี้ บัดนี้ ทุกคนอ้างธรรมบัญญัติเพื่อจับผิดพระเยซูเจ้า เขาบังคับใช้ตามธรรมบัญญัติต่อผู้ฝ่าฝืน มากกว่าต่อผู้ที่ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ ความชอบธรรมที่ปราศจากความเมตตา อาจกลายเป็นการกระทำที่โหดเหี้ยมได้
พระเยซูเจ้าทรงแสดงความชอบธรรมด้วยการช่วยเหลือและเยียวยารักษาผู้อื่น พระองค์ทรงพลิกสถานการณ์ทำให้
ผู้กล่าวหากลายเป็นผู้ถูกกล่าวหาด้วยคำตอบว่า “ท่านผู้ใดไม่มีบาป จงเอาหินทุ่มนางเป็นคนแรกเถิด”
เราอยู่ในยุคที่บาป การละเมิดสิทธิ และความอยุติธรรมที่ซ่อนอยู่ในอดีต กำลังถูกเปิดโปง การรีดพิษออกมาเป็นสิ่งจำเป็น และทำให้คนจำนวนมากรู้สึกดีขึ้นได้ แต่ผู้เป็นเหยื่อจำเป็นต้องก้าวออกจากอดีต และก้าวไปในทิศทางที่ถูกต้อง การอยู่กับความเจ็บปวดในอดีตก็เหมือนกับการแกะและทิ่มแทงบาดแผล ทำให้แผลนั้นไม่มีวันสมานตัวได้ ทางเลือกของเราไม่ใช่การลืมอดีต แต่เลือกว่าจะจัดการอย่างไรกับอดีต เราจะจมอยู่กับปฏิกิริยาด้านลบนั้น หรือเราจะก้าวไปสู่การเยียวยาและชีวิตใหม่
พระวรสารตอนนี้แสดงให้เห็นว่าพระเจ้าทรงสงสารคนบาปอย่างไร พระเยซูเจ้าทรงยินดีคืนชีวิต มากกว่าจะทำลายชีวิต พระองค์ทรงให้อภัยคนบาปคนนี้ ทรงคลุมความเปลือยเปล่าของนางด้วยศักดิ์ศรี และนำนางกลับคืนสู่อุดมคติที่จะไม่ทำบาปอีกต่อไป
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำอัศจรรย์ต่าง ๆ เพื่อเรา และเรายินดียิ่งนัก
บทรำพึงที่ 2
มือของพวกเขา
“มือคือภูมิทัศน์ของหัวใจ” (คาโรล วอยตีลา) เราสามารถวาดภาพในจินตนาการได้ว่ามือของคนเหล่านี้กำลังเปิดเผยทัศนคติในใจของเขา เราเห็นมือที่กวักเรียกประชาชนออกมาจากทุกประตูบ้าน และทุกมุมมืด ให้มาสนับสนุนพวกเขา มือ
อันโหดร้ายลากตัวหญิงคนนี้มาอย่างไม่ปรานี และผลักนางไป
ยืนตรงกลาง มือที่สั่นเทาของหญิงนี้ที่พยายามปิดหน้าด้วยความอับอายและรักษาศักดิ์ศรีที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด “อาจารย์...รับบี” มือของพวกเขาที่แสดงท่าเหมือนกับทนายที่กำลังอุทธรณ์ต่อศาล แม้ว่าคำอุทธรณ์ของเขาไม่อาจปิดบังความหน้าซื่อใจคดของเขาได้ก็ตาม จากนั้น นิ้วที่ปรักปรำก็พุ่งไปทางผู้ถูกกล่าวหาราวกับลูกศร...“หญิงคนนี้”...ราวกับว่านางไม่มีชื่อ ไม่มีสิทธิจะเป็นบุคคล จากนั้น นิ้วที่ปรักปรำก็ชูขึ้นเบื้องบน และสั่นไปมาเพื่อแสดงความโกรธของผู้ชอบธรรม...“หญิงผู้ล่วงประเวณี” บัดนี้ นิ้วมือที่ชูขึ้นกลับกำแน่นเป็นกำปั้น “นางควรถูกทุ่มหินให้ตาย” มือนี้กลายเป็นกรงเล็บที่ควานหาก้อนหินบนพื้นดิน มือที่กำก้อนหินแห่งความโกรธเงื้อขึ้น รอคอยคำสั่ง "ท่านจะว่าอย่างไร”
พระหัตถ์ของพระเยซูเจ้าผ่อนคลาย ไม่ชี้ไปที่ใคร ไม่กำแน่นจนเส้นเลือดโป่งเพราะความโกรธ พระองค์ประทับอยู่ที่โคนเสาในที่ร่ม และทรงขีดเขียนบนพื้นดินเหมือนเด็กกำลังเล่น
พระองค์ทรงเขียนบาปของพวกเขา หรือกำลังพยายามดึงความสนใจไปจากความอับอายของหญิงนั้น หรือทรงเพียง
ขีดเขียนอะไรเล่น ๆ
พระหัตถ์ที่ผ่อนคลายนั้นทำให้นางเกิดความหวังขึ้นมาอย่างไม่คาดฝัน พระหัตถ์นั้นไม่ตัดสินโทษประหาร พระหัตถ์แห่งความสงสารขีดเขียนบนฝุ่นดินแห่งการเนรมิตสร้าง ทรงคืนชีวิตให้แก่คนตาย “ไปเถิด และตั้งแต่นี้ไป อย่าทำบาปอีก”
กษัตริย์ดาวิดตรัสด้วยปรีชาญาณว่า “ขอให้เราตกอยู่ใน
พระหัตถ์ของพระเจ้า เพราะความเมตตาของพระองค์ยิ่งใหญ่ และไม่ตกอยู่ในมือมนุษย์” (2 ซมอ 24:14) ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าขอถวายจิตของข้าพเจ้าไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์
บทรำพึงที่ 3
พระเยซูเจ้าเสด็จไปยังภูเขามะกอกเทศ เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น พระองค์เสด็จไปในพระวิหารอีก
พระเยซูเจ้ามักใช้เวลากลางคืนในสวนเกทเสมนี โดยเฉพาะระหว่างสัปดาห์สุดท้ายในชีวิตของพระองค์ เพื่อแสวงหาความสงบ และอธิษฐานภาวนา
ประชาชนเข้ามาห้อมล้อมพระองค์ พระองค์ประทับนั่ง แล้วทรงเริ่มสั่งสอน บรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสี นำหญิงคนหนึ่งเข้ามา หญิงคนนี้ถูกจับขณะล่วงประเวณี
พระเยซูเจ้าประทับนั่งในลานพระวิหาร ขณะนั้นเป็นเวลาเช้าตรู่ คนจำนวนมากเข้ามาห้อมล้อมพระองค์ เกิดเสียงอึกทึกขึ้น ชาวฟาริสีกลุ่มหนึ่งลากตัวหญิงคนหนึ่งเข้ามา นางพยายามหนี...ฝูงชนหลีกทางให้และยืนล้อมวงอยู่ “นางถูกจับได้ในบ้านของชายคนหนึ่ง นางไม่ซื่อสัตย์ต่อสามีของนาง นางสมควรตาย ธรรมบัญญัติกำหนดไว้ชัดเจน” (ฉธบ 22:22-24, ลนต 20:10)
ทำไมเขาจึงนำตัวมาแต่ฝ่ายหญิง ในการล่วงประเวณีต้องมีชายร่วมอยู่ด้วย และธรรมบัญญัติกำหนดให้ลงโทษฝ่ายชายด้วยวิธีเดียวกันด้วย แต่เรารู้ว่าผู้นิพนธ์พระวรสาร และโดยเฉพาะ
ลูกา ซึ่งน่าจะเป็นผู้เขียนคำบอกเล่านี้มากกว่ายอห์น ได้ย้ำทัศนคติใหม่ของพระเยซูเจ้าต่อสตรี ซึ่งต่างจากทัศนคติของคนทั่วไปในยุคนั้น กล่าวคือ ในขณะที่สตรีถูกเหยียดหยาม และเป็นบุคคลตามชายขอบของสังคม พระเยซูเจ้าทรงกอบกู้ฐานะ และทรงเน้นเรื่องศักดิ์ศรีของสตรีเสมอ
เขาให้นางยืนตรงกลาง แล้วทูลถามพระองค์ว่า “อาจารย์ หญิงคนนี้ถูกจับขณะล่วงประเวณี ในธรรมบัญญัติโมเสส สั่งเราให้ทุ่มหินหญิงประเภทนี้จนตาย”
การล่วงประเวณีเป็นการประพฤติผิดขั้นร้ายแรงซึ่งทุก
อารยธรรมประณาม สังคมไม่สามารถหลอกตนเองได้นานโดยไม่ทำลายสังคมนั้น ๆ ว่าความประพฤติเช่นนี้ไม่ใช่ปัญหา เราต้องทนดูความชั่ว และความอยุติธรรมที่คู่สมรสฝ่ายหนึ่งต้องทนรับไว้อย่างนั้นหรือ ครอบครัว และโดยเฉพาะบรรดาบุตร จะพัฒนาตนเองและเติบโตขึ้นโดยไม่มีบาดแผลในใจได้หรือ เมื่อเขาดำรงชีวิตท่ามกลางความหย่อนยานทางศีลธรรม และการประพฤติผิดทางเพศ
ส่วนท่านจะว่าอย่างไร
ทุกคนรู้ดีว่าพระเยซูเจ้าทรงย้ำเสมอว่าการสมรสจะยกเลิกไม่ได้ เพื่อรักษาความรักให้อยู่รอดจากความไม่แน่นอน
(มธ 5:31-32) พระเยซูเจ้าทรงประณามการล่วงประเวณีอย่างชัดเจน โดยทรงยืนยันว่าแม้แต่การปล่อยให้ใจโอนอ่อนต่อความปรารถนาที่ชั่วร้ายก็เป็นบาปแล้ว “ผู้ใดมองหญิงด้วยความใคร่ ก็ได้ล่วงประเวณีกับนางในใจแล้ว” (มธ 5:28) ความดีของ
พระเยซูเจ้าไม่ใช่ทัศนคติที่ไม่ยุ่งเรื่องของผู้อื่น
เขาถามพระองค์เช่นนี้เพื่อทดลองพระองค์หวังจะหาเหตุปรักปรำพระองค์
ชาวฟาริสี และธรรมาจารย์ รู้ว่าพระเยซูเจ้าทรงรักผู้ที่พวกเขาถือว่าเป็นคนบาป และคนบาปเหล่านี้ก็รักพระองค์ เขาตำหนิพระองค์ที่คบหาสมาคมกับคนเหล่านี้ “เขากินดื่มกับคนบาป” การพิพากษาหญิงที่ถูกจับขณะล่วงประเวณีนี้เป็นเพียงฉาก
บังหน้าเพื่อจะกล่าวโทษพระเยซูเจ้า เป็นกับดักที่วางไว้ล่อหลอกพระองค์ ถ้าพระองค์พิพากษาให้ประหารหญิงคนนี้ พระองค์ย่อมทำลายภาพของความรักอันเปี่ยมเมตตาที่พระองค์ทรงแสดงต่อคนบาป และทำให้ประชาชนนิยมชมชอบพระองค์ ซึ่งเป็นความนิยมที่เกิดจากความรักอันอ่อนโยนและความดีของพระองค์นั่นเอง แต่ถ้าพระองค์ไม่ทรงเอาผิดคนบาปผู้นี้ พระองค์ก็จะ
ฝ่าฝืนธรรมบัญญัติ และสมควรถูกประหารเสียเอง เพราะทรง
ดูหมิ่นพระเจ้า ผู้ทรงประณามบาปข้อนี้
ดังนั้น การพิพากษาหญิงคนนี้จึงเป็นฉากบังหน้าการพิพากษาพระเยซูเจ้า
การพิพากษาบังหน้า
จำเลย หญิงคนหนึ่ง
โจทย์ บรรดาธรรมาจารย์ และชาวฟาริสี
อาชญากรรม การล่วงประเวณี ซึ่งควรได้รับโทษตามธรรมบัญญัติของโมเสส
การลงโทษ ประหารชีวิต
ความพิพากษาที่แท้จริง
จำเลย พระเยซูเจ้า
โจทย์ บรรดาธรรมาจารย์ และชาวฟาริสี
อาชญากรรม การดูหมิ่นพระเจ้า
การลงโทษ ประหารชีวิต
แต่พระเยซูเจ้าทรงก้มลงเอานิ้วพระหัตถ์ขีดเขียนที่พื้นดิน
ความเงียบนี้เป็นการประกาศล่วงหน้า ว่าพระองค์จะไม่ทรงตอบอะไรเลยเช่นกัน ระหว่างที่พระองค์จะทรงถูกพิพากษาคดีในสภาสูง
นี่เป็นปฏิกิริยาที่น่าประหลาดใจที่สุด อันที่จริงพระเยซูเจ้าไม่ทรงแสดงปฏิกิริยาอะไรเลย พระองค์ไม่ตอบ แต่ขีดเขียนพื้นดินเล่น ๆ เหมือนกับคนที่ไม่อยากสนใจเหตุการณ์รอบตัว
เรามองไม่เห็นเครื่องหมายของความรักอันละเอียดอ่อนของพระองค์ในทัศนคตินี้หรือ
พระองค์ไม่ทรงเงยพระพักตร์ขึ้นมองหญิงคนนี้ เพราะทรงรู้ว่านางกำลังอับอาย นอกจากนี้ยังเป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง ที่แสดงว่าพระองค์ทรงปฏิเสธที่จะเข้าข้างฝ่ายใดในการวิเคราะห์เหตุการณ์แบบมนุษย์ พระองค์ทรงสามารถสอบถามได้แน่นอน ทรงสามารถตั้งคำถามและหาตัวผู้รับผิดชอบ มีเหตุการณ์ใดที่จะบรรเทาโทษของนางได้หรือไม่ อดีตของนางช่วยอธิบายความผิดในปัจจุบันของนางได้หรือไม่ สามีของนางปฏิบัติต่อนางอย่างไร ไม่ควรหรือที่เราจะแยกแยะระหว่างการล่วงประเวณีที่ดำเนินอยู่เป็นเวลานานอย่างไร้ยางอายโดยที่ผู้อื่นรับรู้ ซึ่งทำร้ายจิตใจและสร้างความอับอายให้แก่คู่สมรสและบุตรของนาง และการ
ล่วงประเวณีที่กระทำอย่างลับ ๆ เป็นเวลาไม่นาน และเป็นความอ่อนแอที่น่าอาย ธรรมบัญญัติที่กำหนดให้ลงโทษคนบาป
ดังกล่าวถึงตายนั้นไม่อยุติธรรมไปหน่อยหรือ เราไม่ควรรณรงค์ให้ยกเลิกโทษประหารหรือ
การตั้งคำถามเหล่านี้เป็นเรื่องปกติสำหรับมนุษย์และสังคม แต่พระเยซูเจ้าทรงวางพระองค์ในระดับที่แตกต่างจากเรา และทรงจงใจทำเช่นนั้น พระองค์ทรงแสดงท่าทีว่าไม่สนใจเลย พระองค์ทรงขีดเขียนเล่น ๆ บนพื้นดิน นี่ไม่ใช่กริยาของบุคคลที่ชอบหนีความจริง และละทิ้งความรับผิดชอบของพระองค์หรือ
เปล่าเลย เราจะได้เห็นว่าแท้จริงแล้วพระเยซูเจ้าทรงมี
บางสิ่งบางอย่างที่พระองค์ต้องการตรัส
เมื่อคนเหล่านี้ยังทูลย้ำอยู่อีก พระองค์ทรงเงยพระพักตร์ขึ้น
พวกเขาเป็นฝ่ายตอกย้ำ พระเจ้าข้า พระองค์ทรงนิ่งเงียบอยู่นานเท่าไร...ข้าพเจ้าวาดภาพในจินตนาการว่าพระองค์ทรงมองพวกเขาทีละคน ข้าพเจ้าเพ่งพินิจพระเนตรของพระองค์ที่เคลื่อนจากใบหน้าคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง ขณะที่ทรงเงยพระพักตร์ขึ้น พระองค์ทรงมองหญิงคนนั้นก่อน แล้วจึงมองผู้กล่าวหา จากนั้นทรงมองฝูงชน
ตรัสว่า “ท่านผู้ใดไม่มีบาป จงเอาหินทุ่มนางเป็นคนแรกเถิด”
พระเจ้าข้า พระองค์ทรงส่งพวกเขากลับไปพิจารณา
มโนธรรมของเขา เช่นเดียวกับที่พระองค์ตรัสถึงชาวกาลิลี ที่เสียชีวิตเพราะคำสั่งของปิลาต หรือเพราะหอสิโลอัมถล่มลง
มาทับ
พระเยซูเจ้าทรงยกข้อถกเถียงนี้ขึ้นสู่ระดับที่สูงกว่า คือ ในระดับที่พระเจ้าทรงเห็น มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป และทุกคนจำเป็นต้องได้รับการอภัย (ลก 6:36-38)
ประกาศกโฮเชยาเปรียบเทียบชนชาติอิสราเอล ว่าเหมือนกับคู่สมรสที่พระเจ้าทรงรัก แต่นางคบชู้ ... การละทิ้ง
พระเจ้าทุกครั้งเหมือนการคบชู้ประเภทหนึ่ง ซึ่งทำให้พระเจ้า
ผู้ทรงรัก และห่วงใยเรา ต้องเสียพระทัย แต่พระเจ้ายังทรงรัก และไม่เคยเบื่อหน่ายที่จะให้อภัยคู่สมรสที่ทรยศต่อพระองค์ หรือมนุษยชาติที่ตกอยู่ในบาป นี่เป็นคำพูดที่แตกต่างอย่างยิ่งจาก
คำอภิปรายในศาลสถิตยุติธรรม ไม่ว่าคำอภิปรายเหล่านั้นจะมีประโยชน์สักเท่าไรก็ตาม
บาปของข้าพเจ้าทำให้พระเจ้าผู้ทรงรัก และห่วงใยข้าพเจ้า ต้องเสียพระทัย
พระเยซูเจ้าทรงบอกข้าพเจ้าเช่นนี้ นี่คือความจริงที่พระองค์เสด็จมาเพื่อเปิดเผยแก่เรา
แล้วทรงก้มลงขีดเขียนบนพื้นดินต่อไป
ครั้งนี้ พระองค์ทรงเงียบอยู่นานเท่าไร พระเจ้าข้า
ข้าแต่พระเจ้า ลึก ๆ ลงไปในพระทัย พระองค์ทรงเมตตาชาวฟาริสีเช่นเดียวกัน พระองค์ไม่ทรงทุ่มหินเขาเช่นกัน เมื่อทรงถูกตรึงอยู่บนไม้กางเขน พระองค์จะตรัสว่า “พระบิดาเจ้าข้า โปรดอภัยความผิดแก่เขาเถิด เพราะเขาไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร” (ลก 23:34) พระทัยของพระเจ้าเปี่ยมด้วยความเมตตากรุณาเช่นนี้เอง แทนที่จะกระชากหน้ากากของเขาต่อหน้าสาธารณชน พระองค์ทรงยอมให้เขาถอนตัวออกไปอย่างเงียบ ๆ “ทีละคน” โดยทรงใช้ความเงียบของพระองค์
ระหว่างความเงียบอันยาวนานนี้ หญิงคนนี้ก็มีเวลาไตร่ตรองความผิดของนางเช่นกัน มีความคิดมากมายอยู่ในสมองของนาง นางอาจไม่เคยตระหนักว่าความผิดของนางร้ายแรงถึงเพียงนี้ แต่ความรักอันเปี่ยมด้วยความเมตตาของพระเจ้าผู้ไม่ทรงลงโทษนาง เผยให้นางรู้ได้ทันทีว่าอะไรคือความรักแท้ บัดนี้ นางมองไปที่พระเยซูเจ้า อย่างน้อยพระองค์ก็เป็นคนดีคนหนึ่ง นางอาจร้องไห้ นางได้รับการอภัยแล้ว นางไม่ใช่หญิงคบชู้อีกต่อไป นางได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้ว
เหลือแต่พระเยซูเจ้าตามลำพังกับหญิงคนนั้น ซึ่งยังยืนอยู่ที่เดิม
นักบุญออกุสติน บรรยายภาพนี้ว่า “ความน่าสังเวชเผชิญหน้ากับความเมตตา”
นี่เป็นภาพน่าประทับใจ ที่ข้าพเจ้าต้องการเพ่งพินิจเป็นเวลานาน
ขอบพระคุณพระองค์ พระเยซูเจ้าข้า
พระเยซูเจ้าทรงเงยพระพักตร์ขึ้น ตรัสกับนางว่า “นางเอ๋ย พวกนั้นไปไหนหมด ไม่มีใครลงโทษท่านเลยหรือ” หญิงคนนั้นทูลตอบว่า “ไม่มีใครเลย พระเจ้าข้า” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เราก็ไม่ลงโทษท่านด้วย ไปเถิด และตั้งแต่นี้ไป อย่าทำบาปอีก”
คนบาปอื่น ๆ ทุกคน – ทั้งบรรดาธรรมาจารย์ และชาว
ฟาริสี – ไม่เข้าใจพระเยซูเจ้า และไม่เข้าใจพระเจ้าเลย ถ้าพวกเขายังอยู่ที่นั่นกับพระเยซูเจ้า พวกเขาก็จะได้รับการอภัยบาปเช่นเดียวกับหญิงคนนี้ เพราะพระเยซูเจ้าทรงย้ำหลายครั้งว่า “เราไม่พิพากษาผู้ใด” (ยน 8:15) พระองค์ “มาเพื่อแสวงหา และเพื่อช่วยเหลือผู้ที่เสียไปให้รอดพ้น” (ลก 19:10) “พระเจ้าทรงส่ง
พระบุตรมาในโลกนี้ มิใช่เพื่อตัดสินลงโทษโลก แต่เพื่อโลกจะได้รับความรอดพ้น เดชะพระบุตรนั้น” (ยน 3:17)
ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าก็เช่นกันที่กำลังอธิษฐานภาวนาต่อพระองค์อยู่ในเวลานี้ ข้าพเจ้าจำเป็นต้องได้รับการอภัย จำเป็นต้องได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ ข้าพเจ้าอยู่กับพระองค์ เมื่อสิ้นสุดเทศกาลมหาพรตในสัปดาห์นี้ ข้าพเจ้าจะไปหาพระองค์และรับศีลศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นเครื่องหมายที่มองเห็นได้แห่งความรักเมตตาของพระองค์ ข้าพเจ้าต้องการได้ยินคำพูดเดียวกันนี้จากผู้แทนของพระองค์ เหมือนกับว่าได้ยินจากพระโอษฐ์ของพระองค์เองว่า “เราก็ไม่ลงโทษท่านด้วย ไปเถิด และตั้งแต่นี้ไป อย่าทำบาปอีก”
ข้าแต่พระเยซูเจ้า พระอาจารย์ และพี่ชายของข้าพเจ้า พระองค์ทรงพระทัยดี และทรงมีความสมดุลอย่างน่าพิศวง พระองค์ทรงเข้าใจ และแสดงพระทัยดีต่อคนบาปอย่างเราจน
ไร้ขอบเขต ขอบพระคุณพระองค์ พระเจ้าข้า แต่พระองค์ก็ยังไม่ประนีประนอมกับบาป และกับความชั่ว
“อย่าทำบาปอีก” พระองค์ไม่เคยกักขังเราให้จมอยู่กับอดีตของเรา เมื่อเราพบเห็นบุคคลใดที่เราคิดว่า “ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว ฉันพยายามทุกทางแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างจบแล้ว” พระองค์จะหยุดต่อหน้าเขาด้วยความไว้ใจ พระองค์จะรักด้วยความรักอันอ่อนโยนจนเขาต้านทานพระองค์ไม่ได้ พระองค์จะทรงมองดูเขาด้วยสายตาใหม่ จนพระองค์สามารถสร้างหัวใจดวงใหม่ขึ้นในตัวเขา หรือเธอผู้นั้น
พระองค์เป็นใครกัน พระองค์จึงทรงรักเรามากมายเช่นนี้ พระองค์ทรงเสียสละพระองค์เอง ทรงยิ่งใหญ่ และทรงใจอ่อนอย่างยิ่ง
พระองค์ทรงเป็นความรักที่ไม่มีใครเลียนแบบได้ พระองค์นั้นเองคือความรัก!