แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

วันอาทิตย์สมโภชพระตรีเอกภาพ

ยอห์น 16:12-15
    พระเยซูเจ้าตรัสแก่ศิษย์ของพระองค์ว่า “เรายังมีอีกหลายเรื่องที่จะบอกท่าน แต่บัดนี้ท่านยังรับไว้ไม่ได้ เมื่อพระจิตแห่งความจริงเสด็จมา พระองค์จะทรงนำท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล พระองค์จะไม่ตรัสโดยพระองค์เอง แต่จะตรัสทุกสิ่งที่ทรงได้ฟังมา และจะทรงแจ้งให้ท่านรู้เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น พระองค์จะทรงให้เราได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ เพราะพระองค์จะทรงแจ้งให้ท่านรู้คำสอนที่ทรงได้รับจากเรา ทุกสิ่งที่พระบิดาทรงมีนั้นก็เป็นของเราด้วย ดังนั้น เราจึงบอกว่า พระจิตเจ้าจะทรงแจ้งให้ท่านรู้คำสอนที่ทรงรับจากเรา”

บทรำพึงที่ 1

ข้อรำพึงที่หนึ่ง
การภาวนาของคริสตชน

    พระวรสารประจำวันนี้เป็นส่วนหนึ่งของคำปราศรัยของพระเยซูเจ้าระหว่างอาหารค่ำมื้อสุดท้าย เมื่อพระองค์ตรัสว่าพระองค์กำลังจะเสด็จกลับไปหาพระบิดา การจากไปของพระองค์เป็นการจากกันทางกายภาพ และจะไม่ทรงทอดทิ้งให้บรรดาศิษย์เป็นกำพร้า แต่จะเป็นจุดเริ่มต้นของการประทับอยู่ของพระเจ้าในรูปแบบใหม่ พระจิตเจ้าจะเสด็จลงมาในความคิด และจิตใจของบรรดาศิษย์ ในลักษณะที่อาจเรียกได้อย่างเหมาะสมที่สุดว่า เป็นการเนรมิตสร้างครั้งใหม่

    วันอาทิตย์สมโภชพระตรีเอกภาพเป็นโอกาสให้พิจารณาขบวนการสำคัญของการภาวนาของคริสตชน โดยเฉพาะพิธีกรรม เราไม่สามารถเข้าใจความหมายของพิธีกรรม ถ้าเราไม่เข้าใจขบวนการ หรือความเคลื่อนไหว ของชีวิตพระเจ้าภายในตัวเรา พระเยซูเจ้าทรงบรรยายพันธกิจของพระองค์ว่าเป็นการเดินทางลงมายังโลกของเรา จากนั้นก็เดินทางกลับไปหาพระบิดา “เรามาจากพระบิดา เข้ามาในโลกนี้ บัดนี้เรากำลังจะละโลกนี้กลับไปเฝ้าพระบิดาอีก” (ยน 16:28) ไม่มีทางอื่นใดนำเราไปหาพระบิดาได้นอกจากอาศัยการเดินทางกลับของพระบุตร เราได้รับเอกสิทธิ์ให้เข้าร่วมในการเดินทางกลับไปนี้ด้วยอำนาจของพระจิตเจ้าที่พระเจ้าประทานแก่เรา “เมื่อพระจิตแห่งความจริงเสด็จมา พระองค์จะทรงนำท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล” (ยน 16:13) แก่นของการภาวนาของคริสตชนคือการมีส่วนร่วมของเราในการเสด็จกลับอย่างรุ่งเรืองไปหาพระบิดา ผ่านทางพระบุตร ด้วยอำนาจของพระจิตเจ้า

    พิธีกรรมบูชาขอบพระคุณเป็นการระลึกถึงพระเยซูคริสตเจ้า ผู้ทรงเป็นพระวาจาของพระเจ้า พระองค์ทรงได้สัมผัสกับความต่ำต้อยที่สุดของชีวิตมนุษย์จนถึงกับสิ้นพระชนม์อย่างน่าอดสู พระองค์ได้รับการยกขึ้นพ้นจากความอัปยศทั้งหมดนี้ และกลับไปหาพระบิดา ระหว่างพิธีบูชามิสซา ความคิดของเรารับฟังพระวาจาของพระเจ้าในบทอ่านต่าง ๆ หลังจากได้ใคร่ครวญพระวาจาแล้ว เราจึงรวบรวมความต้องการของชุมชน และนำเสนอในรูปของคำวิงวอนของสัตบุรุษ ขนมปังและเหล้าองุ่นถูกเตรียมไว้เป็นของถวาย และเป็นสัญลักษณ์ของการถวายชีวิตของเราและสิ่งสร้างทั้งปวงคืนให้พระบิดา หลังจากนั้น เราจึงสวดบทภาวนาก่อนรับศีลมหาสนิททั้งด้วยคำพูดและกิริยาอันสง่า เราระลึกถึงการเดินทางของพระวาจาลงมายังโลกของเรา และการเสด็จกลับไปหาพระบิดา ตามความหมายของพระคัมภีร์ การระลึกถึงกิจการใดของพระเจ้าก็คือการทำให้กิจการนั้นเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งในปัจจุบัน พิธีกรรมดำเนินมาถึงจุดสุดยอดของความสนิทสัมพันธ์ด้วยการรับศีลมหาสนิท

    แขนของเราไม่มีวันยาวพอจะเอื้อมไปจนถึงสวรรค์ และเราไม่มีคุณค่าพอจะเสนอหน้าไปอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า แต่พระบุตรทรงเอื้อมลงมาหาเราด้วยความเมตตา และพระจิตผู้ทรงเป็นความรัก ที่รวมทุกคนให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ก็ทรงยกเราขึ้น ดังนั้น ด้วยความเข้าใจในคำสั่งสอนของพระบุตร และในอำนาจของพระจิตเจ้า เราจึงกล้าเอ่ยคำที่ขาดไม่ได้ในบทภาวนาของคริสตชนว่า “พระบิดา” “พระจิตเจ้าทรงเป็นพยานยืนยันร่วมกับจิตของเราว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า ... ซึ่งทำให้เราร้องออกมาว่า ‘อับบา พ่อจ๋า’ “ (รม 8:15)

    คริสตชนภาวนาต่อพระสิริรุ่งโรจน์ของพระบิดา เป็นขบวนการที่เรากระทำในพระนามของพระเยซูคริสตเจ้า และอาศัยอำนาจของพระจิตเจ้าที่ประทานแก่เรา ความคิดและจิตใจของเราจึงถูกยกขึ้น และเข้าร่วมในขบวนการนี้ได้ เราเห็นความบริสุทธิ์ของขบวนการภาวนานี้ได้ในพิธีกรรมที่ระลึกถึงพระเยซูคริสตเจ้า พระสิริรุ่งโรจน์จงมีแด่พระบิดา อาศัยพระบุตร และด้วยอำนาจของพระจิตเจ้า

ข้อรำพึงที่สอง
มหาสมุทรแห่งชีวิตของพระเจ้า

    ข้าพเจ้าชอบคิดว่าพระตรีเอกภาพมีภาพลักษณ์เหมือนมหาสมุทร ความกว้างใหญ่ของมหาสมุทรทำให้คิดถึงความไร้ขอบเขต ความเคลื่อนไหวตลอดเวลาของมหาสมุทรทำให้คิดถึงนิรันดรภาพ ความลึกของมหาสมุทรเป็นความลึกลับที่น่ากลัว แต่การผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วนและปล่อยตัวลอยไปตามกระแสคลื่น คือความใกล้ชิดสนิทสนม ทะเลท่ามกลางพายุแสดงให้เห็นอำนาจที่น่ากลัว แต่เมื่อท่านมองมหาสมุทรที่สงบนิ่งยามอาทิตย์อัสดง ท่านจะสัมผัสกับห้วงเวลาที่เงียบที่สุดในชีวิต อัศจรรย์ของปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงในทะเลแสดงออกถึงขบวนการภายในของพระเจ้า ผู้มีสามพระบุคคลในพระเจ้าองค์เดียวกัน

    ท้องมหาสมุทรที่ลึก และเร้นลับ เหมือนกับพระบิดา ผู้ทรงเป็นหลักการแรกของสิ่งมีชีวิตทั้งมวล กระแสน้ำพัดออกมาจากอ้อมอกที่มีชีวิตนี้ – เหมือนกับพระบุตรทรงเนื่องมาจากพระบิดา - กระแสน้ำพัดมาถึงชายฝั่งทะเลของเรา เหมือนกับพระบุตรทรงถูกส่งลงมายังโลกให้อยู่ในสภาพเหมือนเรา ร่องรอยที่เกิดจากการทำงานและการเล่นบนหาดทรายของโลกเราถูกลบออกไปหมดทุกครั้งที่น้ำขึ้น งานของพระเยซูเจ้าคือคลื่นแห่งความเมตตาและการให้อภัย ที่ชำระชายหาดแห่งชีวิตให้บริสุทธิ์ เมื่อพันธกิจสำเร็จลงแล้ว กระแสน้ำก็ลดลงและไหลย้อนกลับสู่มหาสมุทร เหมือนกับพระบุตรเสด็จกลับไปหาพระบิดาตลอดไปเป็นนิรันดร์

    นักวิทยาศาสตร์บอกเราว่าน้ำขึ้นน้ำลงเกิดจากแรงดึงดูดของดวงจันทร์ ขณะที่ลอยวนเวียนอยู่เหนือแหล่งน้ำในโลก แต่ข้าพเจ้าอยากคิดมากกว่าว่า น้ำที่ไหลเข้าฝั่ง และออกจากฝั่ง เกิดขึ้นภายใต้อำนาจของพระจิตเจ้า ผู้ทรงลอยวนเวียนอยู่เหนือน้ำ และเป็นลมหายใจของพระเจ้า

    ลมอันอบอุ่นที่พัดเหนือมหาสมุทรทำให้น้ำระเหยกลายเป็นไอ ไอน้ำลอยตัวสูงขึ้น และถูกช้อนไว้ในมือของสายลม และพัดพาไปยังแผ่นดิน และบนแผ่นดินนั้นมันจะตกลงมาเป็นฝน แต่น้ำทั้งหลายก็กระหายจะกลับไปหาแหล่งกำเนิดของมัน ทะเลสาบและแม่น้ำของเรา กาน้ำและถ้วยน้ำของเรา ถังเก็บน้ำและอ่างน้ำของเรา กักเก็บน้ำไว้ได้เพียงชั่วคราวไม่ให้ไหลกลับไปยังบ้านของมัน เพื่อให้เราใช้ประโยชน์จากน้ำได้นับล้านอย่าง แต่การเดินทางกลับก็ยังดำเนินต่อไป ดังที่ผู้มีปรีชาญาณสองคนได้บันทึกไว้ว่า “ทุกสิ่งที่มาจากดิน ย่อมกลับไปสู่ดิน สิ่งที่มาจากน้ำย่อมกลับไปสู่ทะเล” (บสร 40:11) “แม่น้ำทุกสายไหลไปสู่ทะเล แต่ทะเลก็ไม่เคยเต็ม และแม่น้ำก็ยังไหลไปสู่จุดหมายของมัน” (ปญจ 1:7) เช่นเดียวกับพระเยซูเจ้าเสด็จกลับไปหาพระบิดา ... เช่นเดียวกับน้ำที่ไหลกลับไปหามหาสมุทร ... สิ่งสร้างทุกสิ่งต้องกลับไปหาพระผู้สร้าง สิ่งสร้างทุกสิ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระผู้สร้าง กล่าวคือ เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการที่อยู่เหนืออำนาจควบคุมของมัน ไปสู่ความเป็นจริงอย่างหนึ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า ถ้าท่านมองดูดอกไม้ดอกหนึ่ง และท่านเห็นแต่ดอกไม้นั้น ท่านกำลังมีชีวิตเพียงบางส่วน แต่ถ้าท่านมองดอกไม้ดอกหนึ่ง และในดอกไม้นั้นท่านเห็นความงามของพระผู้สร้าง เมื่อนั้น ท่านกลายเป็นบุคคลที่ติดพันอยู่ในกระบวนการไหลกลับไปสู่ความบริบูรณ์ของการมีชีวิต เนื่องจากมนุษย์ได้รับอนุญาตให้มีอำเภอใจ การกลับไปหาพระผู้สร้างของเราจึงเป็นการตอบสนองด้วยความรักอย่างเต็มใจ ด้วยเหตุนี้ บัญญัติใหม่สำหรับมนุษยชาติที่ถูกเนรมิตสร้างขึ้นใหม่นี้ จึงเป็นบัญญัติเรื่องความรัก

    การเพ่งพินิจเริ่มขึ้นเมื่อเราเริ่มตระหนักว่าเราไม่ได้เป็นเพียงผู้สังเกตการณ์มหาสมุทรอย่างห่างเหิน ... แต่น้ำที่ให้ชีวิตกำลังไหลเวียนอยู่ในตัวเรา และผ่านตัวเรา พระเยซูเจ้าตรัสถึงการเสด็จมาของสามพระบุคคล เพื่อมาพำนักในตัวเราว่า “...เราจะมาหาเขา และพำนักอยู่กับเขา” (ยน 14:23) พระหรรษทานศักดิ์สิทธิกร หมายความว่าพระเจ้าประทับอยู่ในวิญญาณนั้น ตั้งแต่พระเยซูคริสตเจ้าทรงปฏิบัติพันธกิจของพระองค์สำเร็จ และพระจิตเจ้าเสด็จมา มนุษยชาติได้ถูกเนรมิตสร้างขึ้นใหม่ให้มีชีวิตในระดับใหม่ พันธกิจของพระเยซูเจ้าคือน้ำขึ้นที่ชำระชายหาดของเราจนสะอาดเกลี้ยงเกลา และพระจิตเจ้าผู้เสด็จมาในวันเปนเตกอสเต ก็คือความรักของพระเจ้า ซึ่งดึงดูดเรากลับไปสู่อ้อมอุระของพระบิดา

    ความเคลื่อนไหวของพระเจ้าที่เรามองเห็นได้จากสิ่งสร้าง เหมือนน้ำทะเลไหลขึ้นมาท่วมชายหาด และไหลกลับไปหาแหล่งกำเนิดของมัน บัดนี้ กำลังเกิดขึ้นภายในวิญญาณที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้ว

    ผู้เพ่งพินิจสังเกตถ้อยคำที่ถูกสร้างขึ้น และได้ยินพระวาจาของพระผู้สร้างก้องกังวานอยู่ภายในวิญญาณ ... เหมือนกับ “ที่ลึกกำลังร้องเรียกที่ลึก ในเสียงคำรามของสายน้ำ” (สดด 41)

    ผู้เพ่งพินิจไม่จำเป็นต้นค้นหาคำพูดเมื่อเขาภาวนาต่อหน้าศีลศักดิ์สิทธิ์ เขารู้ว่าแผ่นปังนั้นหมายความว่าพระเจ้าทรงเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะอาหารในหัวใจของเรา (กล่าวคือ ทรงเป็นผู้แบ่งปันแผ่นปังนี้ให้แก่เรา) เมื่อผู้เพ่งพินิจอ่านพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ เขาจะได้ยินพระเจ้าตรัสกับเขาจากภายในตัวเขา

    “ในวันนั้น ท่านจะรู้ว่าเราอยู่ในพระบิดาของเรา ท่านอยู่ในเรา และเราอยู่ในท่าน” (ยน 14:20)

 
บทรำพึงที่ 2

    พระคัมภีร์ไม่ได้ระบุคำว่า “พระตรีเอกภาพ” ที่เป็นนามธรรม และไม่ได้ระบุด้วยว่ามี “สามพระบุคคลในพระเจ้าหนึ่งเดียว” เหมือนกับที่ภาษากรีกจะระบุ ... ธรรมล้ำลึกอันเป็นแก่นของธรรมล้ำลึกของพระเจ้านี้ ไม่ได้ถูกเผยแสดงผ่าน “สูตรสำเร็จ” แต่ผ่านทาง “เหตุการณ์” พระคัมภีร์พันธสัญญาเดิมเรียกพระเจ้าว่า “พระบิดา” มาก่อนแล้ว (ฉธบ 32:6, สดด 67:6, อสย 63:16, ยรม 2:4, 19) และ “บุตร” ของพระองค์คือ “ชนชาติอิสราเอล” (อพย 4:32, ฮชย 11:1) หรือกษัตริย์ ในฐานะบุคคลหนึ่ง (2 ซมอ 7:14, สดด 110:3) หรือผู้ชอบธรรม (ปชญ 2:18, 5:5, 18:13) ... แต่พันธสัญญาเดิมไม่ได้เผยแสดงอย่างชัดเจนเรื่องพระตรีเอกภาพในพระเจ้า แต่ผู้นิพนธ์พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ใช้คำศัพท์เดียวกันนี้เองเพื่อเปิดเผยความจริงใหม่ ๆ ทั้งปวงใน “เหตุการณ์เกี่ยวกับพระเยซูเจ้า” กล่าวคือ พระองค์ทรงเผยความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์ และพระบิดา และพระองค์ทรงประกาศว่าจะประทานพระจิตเจ้าแก่เรา ...

    คริสตชนไตร่ตรองอยู่นานเพื่อแปลข้อความจริงเหล่านี้ จนกระทั่งตัดสินใจได้ว่านี่คือการแสดงความเชื่อข้อแรก โดยใช้แนวความคิดต่าง ๆ ตามหลักปรัชญากรีก ตั้งแต่สภาสังคายนาที่นิเซีย เมื่อ ค.ศ. 325 จนถึงสภาสังคายนาที่คาลซีดอน เมื่อ ค.ศ. 451...

เรายังมีอีกหลายเรื่องที่จะบอกท่าน แต่บัดนี้ ท่านยังรับไว้ไม่ได้

    บ่อยครั้ง นี่คือประสบการณ์ของเรามนุษย์ ... แม้แต่กับคนที่เรารัก เราก็ไม่สามารถสื่อสารทุกสิ่งทุกอย่างที่เรารู้ และเราต้องการแบ่งปันกับเขาได้สำเร็จเสมอไป เช่นเดียวกับพระเยซูเจ้า ในคืนก่อนที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์ พระองค์ก็ไม่สามารถตรัสทุกสิ่งทุกอย่างได้ ... ข้อความนี้ไม่ได้หมายถึงความยากลำบากในการแสดงออกตามปกติเท่านั้น และสิ่งที่พระองค์ทรงต้องการบอกในที่นี้เป็นธรรมล้ำลึกของความเชื่อที่เราต้องทำความเข้าใจทีละน้อย ... แม้แต่เพื่อนสนิทที่สุดของพระเยซูเจ้าที่อยู่กับพระองค์เป็นเวลานานก็ยังไม่ตระหนักว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น และพระองค์เป็นใคร พวกเขามีความคิดสำเร็จรูปเกี่ยวกับพระเจ้าและพระเมสสิยาห์ที่พระองค์สัญญาจะส่งมา ... พวกเขาต้องปล่อยวางความคิดเดิม เปลี่ยนความคิดและเติบโตขึ้นในความเชื่อ ... ไม้กางเขนของพระองค์ และการกลับคืนชีพของพระองค์เท่านั้น ที่สามารถรื้อโครงสร้างความมั่นใจของเขาเสียใหม่ เหมือนกับถูกกระตุ้นด้วยกระแสไฟฟ้าอย่างรุนแรง และผลักดันให้เขาก้าวไปข้างหน้า

    ความเชื่อเป็นกระบวนการที่มีพลวัต เป็นชีวิตที่พัฒนาขึ้นเสมอ ... มีความจริงใหม่ ๆ เกี่ยวกับพระเจ้าให้เราค้นพบอยู่เสมอ เหมือนกับการพัฒนาความสัมพันธ์รักกับใครคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นคู่หมั้น คู่สมรส เพื่อน หรือเพื่อนร่วมงาน ... ในคืนก่อนที่พระเยซูเจ้าจะสิ้นพระชนม์ บรรดาอัครสาวกแทบจะไม่เข้าใจอะไรเลยเกี่ยวกับพระองค์ การผจญภัยอันเจ็บปวดของพวกเขาควรเตือนเราไม่ให้คิดว่าความเชื่อของเราเป็นบางสิ่งที่คงที่ ซึ่งเราได้มาครั้งหนึ่งแล้วจะอยู่กับเราตลอดไป “ฉันมีความเชื่อ ฉันต้องไม่สูญเสียความเชื่อ”…

    เช่นเดียวกับอัครสาวกทั้งหลาย ข้าพเจ้าเองกำลังอยู่ที่จุดเริ่มต้นของการผจญภัยแห่งการค้นพบเท่านั้น พระเจ้าข้า มีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ข้าพเจ้ายังรับไว้ไม่ได้ในเวลานี้ แต่พระจิตของพระองค์ต้องการเผยแสดงแก่ข้าพเจ้าไม่ช้าก็เร็ว ... ขอเพียงให้ข้าพเจ้าคอยฟังเท่านั้น ... โปรดให้จิตของข้าพเจ้าเฝ้ารอพระจิตของพระองค์ ... ขอให้ข้าพเจ้าอย่าได้ “พึงพอใจ” ราวกับว่าข้าพเจ้ารู้ทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว และภาคภูมิใจกับประสบการณ์ความเชื่อเล็ก ๆ น้อย ๆ จนน่าเวทนา ที่ข้าพเจ้าเคยพบพานในชีวิต...

    แน่นอน ข้าพเจ้าระลึกถึงคนทั้งหลายที่ร่วมชีวิตกับข้าพเจ้า คนเหล่านี้ก็อยู่ในสภาพเดียวกัน เขากำลังเดินอยู่บน “ทางแห่งความเชื่อ” ... มีความจริง และทัศนคติอื่น ๆ ที่เขายังต้องค้นพบ ... และเขายังไม่สามารถรับไว้ได้ อย่างที่พระองค์ตรัสไว้ ข้าแต่พระเยซูเจ้า...

    พระเจ้าข้า โปรดประทานความอดทนของพระองค์ และการสั่งสอนอย่างไม่ย่อท้อของพระองค์แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด...

เมื่อพระจิตแห่งความจริงเสด็จมา พระองค์จะทรงนำท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล

    ข้าพเจ้าหยุดเพื่อไตร่ตรองคำอันไพเราะนี้ คำว่า “นำท่านไป”…

    ข้าพเจ้านึกถึงภาพคนนำทางบนภูเขาหิมาลัย เขารู้จักทุกเส้นทาง ... เขารัก และพูดคุยกับภูเขาลูกนี้ และต้องการให้ผู้อื่นรักภูเขานี้เหมือนเขา ... เขาเดินนำหน้าขบวน และช่วยทุกคนให้เดินไปข้างหน้า ... แต่เราก็รู้ว่าคนนำทางจะไม่เดินแทนเรา เราต้องเดินด้วยตนเอง ถ้าเราหมดแรง และไม่ต้องการปีนเขาต่อไป คนนำทางไม่สามารถบังคับให้เราไปต่อได้ เขาอยู่ที่นั่นเพื่อ “นำ” เราไปเท่านั้น...

    ข้าแต่พระจิตของพระเจ้า ผู้ทรงเป็นแสงสว่างอันเย็นตา โปรดทรงนำทางข้าพเจ้า มิฉะนั้น ข้าพเจ้าอาจไม่ยอมปีนสูงขึ้นไป ... หนึ่งก้าว ... อีกหนึ่งก้าว ... และอีกหนึ่งก้าว...

    ระหว่างทาง โปรดให้ข้าพเจ้าพบคนนำทางที่มีความรักฉันพี่น้อง ผู้ได้รับการดลใจจากพระจิตของพระองค์

    นี่คือความจริง ความเชื่อ คือ “การขึ้นภูเขาสูง” เป็นการค้นพบธรรมล้ำลึกของพระเจ้า ... ไม่มีใครไปถึงยอดเขานี้ได้ตามลำพัง เราจำเป็นต้องให้ “ใครคนหนึ่ง” นำทาง เราจำเป็นต้องมีครู มีคนนำทางที่รู้ความลับทั้งหมด...

    เป็นเวลานานหลายศตวรรษ สภาสังคายนาพยายามทำความเข้าใจกับถ้อยคำเหล่านี้ของนักบุญยอห์น ... ในที่สุด พวกเขาก็รับรองว่าพระจิตทรงเป็น “ใครคนหนึ่ง” ... เป็นบุคคลหนึ่ง ... ผู้รู้เรื่องธรรมล้ำลึกของพระเจ้าในฐานะบุคคล “วงใน” ดังนั้นจึงสามารถนำทางมนุษย์ไปรู้จักกับธรรมล้ำลึกนี้ได้ ภาพวาดพระตรีเอกภาพฝีมือ รูเบลฟ แสดงภาพของพระจิตเจ้าว่าทรงเป็นพระบุคคลองค์ที่สาม ที่มีพระพักตร์เหมือนกับพระพักตร์ของพระบิดา และพระบุตร พระองค์ก้มพระเศียรเหนือทั้งสองพระองค์ด้วยท่าทีที่แสดงความรัก และทรงทำให้ความเคลื่อนไหวของ “วงกลมอันสมบูรณ์” นี้ครบบริบูรณ์ พระองค์ทรงมองลงมายังโลก ทรงมองมายังมนุษย์ที่กำลังภาวนาเบื้องหน้าภาพนี้ เพื่อเปิดช่องทางและถ่ายทอดพลวัตของพระเจ้าให้แก่ผู้ที่กำลังภาวนานั้น พลวัตนี้คือความรัก ...

    แต่จงระวัง ! เมื่อเราพูดถึงพระเจ้า “ความจริง” ไม่ได้เป็นเพียงทัศนคติทางสติปัญญา ไม่ได้เป็นเพียงความรู้เกี่ยวกับบุคคลหนึ่งที่เราต้องการจะรัก ... สิ่งแรกที่ต้องทำไม่ใช่การ “เรียนรู้” สังเกต ประเมินผล ส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ คือ “ศึกษาด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์” เหมือนกับเราศึกษาสิ่งของ แต่เป็นระดับที่แตกต่างจากนั้น กล่าวคือ การรู้จักใครบางคน หมายถึงการเข้าสู่ความสัมพันธ์กับเขาคนนั้น...

    การประกาศตนว่าเป็น “ผู้มีความเชื่อที่ไม่ปฏิบัติศาสนกิจ” เป็นประโยคที่รุนแรงมาก ... ถ้าพูดอย่างมีสติหลังจากได้ไตร่ตรองแล้ว ... เพราะความรักที่ไม่มีกิจการจะเป็นอย่างไร ... เราจะมีความสัมพันธ์กับใครคนหนึ่งได้อย่างไร ถ้าเขาไม่อยู่ในชีวิตของเรา...

    ข้าแต่พระจิตแห่งความจริง โปรดทรงนำทางเราไปสู่ความจริงทั้งมวลเทอญ

พระองค์จะไม่ตรัสโดยพระองค์เอง แต่จะตรัสทุกสิ่งที่ทรงได้ฟังมา และจะทรงแจ้งให้ท่านรู้เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น

    พระวาจานี้ทำให้เรานึกถึง “เสียงสะท้อน” มีความต่อเนื่องอันสมบูรณ์ระหว่างพระบิดา พระบุตร และพระจิตเจ้า นี่คือเสียงเดียวกันที่สะท้อนกลับมาให้ได้ยินหลายครั้ง เพียงแต่ในลักษณะที่ต่างกัน

    พระจิตเจ้าไม่ตรัสอะไรที่ต่างจากพระเยซูเจ้า และพระเยซูเจ้าทรงเป็นความจริงอันเด็ดขาดหนึ่งเดียวเกี่ยวกับพระเจ้า ... สิ่งใดก็ตามที่เคยกล่าวไว้เมื่อก่อน – และสิ่งใดที่อาจกล่าวในภายหลัง – เกี่ยวกับพระเยซูเจ้า ซึ่งไม่สอดคล้องกับภาพของพระเจ้าที่พระเยซูเจ้าทรงแสดงให้เราเห็น สิ่งนั้นเป็นความเท็จ – เป็น “พระเจ้าจอมปลอม” และด้วยความช่วยเหลือจากพระจิตเจ้า เราต้องแก้ไขความคิดผิด ๆ ของเราเกี่ยวกับพระเจ้า “พระเจ้าได้ประทานธรรมบัญญัติผ่านทางโมเสส แต่พระหรรษทาน และความจริงมาทางพระเยซูคริสตเจ้า” (ยน 1:17) ... “เราเป็นหนทาง ความจริง และชีวิต” (ยน 14:6)...

พระองค์จะทรงให้เราได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ เพราะพระองค์จะทรงแจ้งให้ท่านรู้คำสอนที่ทรงได้รับจากเรา

    เรารู้แล้วว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระบุตรที่สมบูรณ์พร้อม ผู้ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดาเสมอ พระเยซูเจ้า “ไม่ทำสิ่งใดตามใจตนเอง แต่ทำเฉพาะสิ่งที่ได้เห็นพระบิดาทรงกระทำเท่านั้น เพราะสิ่งใดที่พระบิดาทรงกระทำ พระบุตรก็ย่อมกระทำเช่นเดียวกัน เพราะพระบิดาทรงรักพระบุตร และทรงแสดงให้พระบุตรเห็นทุกสิ่งที่ทรงกระทำ” (ยน 5:19-20)

    นี่คือธรรมล้ำลึกที่แสดงความสนิทสนมของพระตรีเอกภาพ กล่าวคือ แต่ละพระบุคคลทรงโปร่งใสอย่างสมบูรณ์จนเรามองเห็นพระบุคคลอื่นผ่านแต่ละพระองค์ได้ ในข้อความนี้ พระเยซูเจ้าทรงเผยแก่เราว่าพระจิตเจ้าทรงเข้าร่วมในความโปร่งใสอันสมบูรณ์นี้ ความสัมพันธ์รักระหว่างทั้งสามพระบุคคลไม่มีความลับ ไม่มีที่ซ่อน ทุกพระองค์ไม่เก็บสิ่งใดไว้เป็นของตนเอง ทุกสิ่งทุกอย่างถูกแบ่งปัน ถ่ายทอด และมอบให้แก่กัน – และทุกสิ่งทุกอย่างก็ถูกรับไว้ด้วยความยินดี ... ภาษามนุษย์ไม่สามารถบรรยายคุณสมบัติที่ไม่อาจบรรยายได้ของความสัมพันธ์ที่ทำให้พระบิดา พระบุตร และพระจิต เป็นหนึ่งเดียวกัน

    นี่คือต้นกำเนิดของความสัมพันธ์ทุกประเภทของมนุษย์...

    การเผยแสดงพระตรีเอกภาพ เป็นสุดยอดของความรู้ และไม่มีความรู้ใดสูงกว่านี้อีกแล้ว...
    พระตรีเอกภาพไม่ใช่ปริศนาอย่างหนึ่ง หรือซุปเปอร์สมการคณิตศาสตร์ หรือปัญญาชนชั้นหัวกะทิ ... แต่เป็นความจริงที่พระเจ้า “ทรงปิดบังเรื่องเหล่านี้จากผู้มีปรีชาและรอบรู้ แต่ทรงเปิดเผยแก่บรรดาผู้ต่ำต้อย” (มธ 11:25) ... เพราะเมื่อเราพูดถึงพระเจ้า เราก็พูดถึงมนุษย์ด้วย เพราะมนุษย์ “ถูกสร้างขึ้นตามภาพลักษณ์ของพระองค์ และให้คล้ายคลึงกับพระองค์” ... “ทารกเกิดใหม่ไม่รู้ว่าเขามีครอบครัว แต่ตั้งแต่สัปดาห์แรกในชีวิต เขาเริ่มรู้สึกได้ลาง ๆ แล้วว่าเขาได้เข้าไปอยู่ในความรักหนึ่ง ... เขารับรู้ได้ว่ารอบตัวเขามีความรักหนึ่งที่อ่อนโยน ที่ตอบสนองต่อน้ำตาและเสียงร้องงอแงของเขา แต่แรก เขารับรู้ว่าความรักนี้ “ไม่ชัดเจน” แต่มีอานุภาพและดีต่อเขา เพราะเขาเพียงต้องร้องไห้ ความช่วยเหลือก็มาทันที ... เมื่อเวลาผ่านไป เขาเข้าใจได้ทีละน้อยว่าสิ่งที่อยู่กับเขานี้มีอยู่หลายด้าน แต่ก็ยังไม่หยุดเป็น “หนึ่งเดียวกัน” มีเสียงที่แหลมสูง และเสียงทุ้มต่ำ ใบหน้าเกลี้ยงเกลา และใบหน้าที่มีหนวดเครา มีมือนุ่ม ๆ และมือที่แข็งแรง ... มีหลายคนที่ดำเนินชีวิตอยู่รอบตัวเขา และเพื่อเขา แต่เป็นความรักเดียวกัน ...” (Ray-Mermet)

    นี่เป็นวิถีทางที่มนุษย์ธรรมดาสามัญค้นพบธรรมล้ำลึกของครอบครัวพระเจ้า คือ โดย “การปฏิบัติ” ทุกวัน ด้วยการอยู่ “ภายในตนเอง”...

ทุกสิ่งที่พระบิดาทรงมีนั้นก็เป็นของเราด้วย ดังนั้น เราจึงบอกว่า พระจิตเจ้าจะทรงแจ้งให้ท่านรู้คำสอนที่ทรงรับจากเรา

    พระวาจานี้ชวนให้ประหลาดใจ ... ก่อนอื่นเราต้องยอมปล่อยให้ตนเองรู้สึกทึ่ง...

    ในคืนก่อนที่เขาจะถูกตัดสินประหารชีวิต โดยผู้มีอำนาจทางศาสนาและทางการเมืองของประเทศของเขา ช่างไม้ผู้ต่ำต้อยคนหนึ่งจากนาซาเร็ธ - มนุษย์ยากจนคนหนึ่งที่มีเลือดเนื้อ - กล้าพูดว่า “ทุกสิ่งที่เป็นของพระเจ้า ก็เป็นของเราด้วย”...

    ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกในพระวรสารที่พระเยซูเจ้าตรัสถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างพระเจ้า และพระองค์เอง ...

    พระเยซูเจ้าทรงเป็น “พระเจ้าผู้ที่มนุษย์มองเห็นได้” (แม้แต่ข้อความนี้ก็เป็นเพียงวิธีอธิบายอย่างหนึ่งเท่านั้น เพราะแท้ที่จริง พระเทวภาพ – แม้แต่พระเทวภาพในตัวพระเยซูเจ้า – เป็นสิ่งที่เกินความสามารถหยั่งรู้ของเรา) และพระจิตเจ้าก็คือพระเยซูเจ้าผู้แสดงพระองค์หลายครั้งหลายหนภายในหัวใจมนุษย์โดยไม่รู้จบ...

    พระจิตเจ้าทรงส่งคืนไปให้พระเยซูเจ้า ... และพระเยซูเจ้าทรงส่งคืนไปให้พระบิดา ผู้ที่เรามองไม่เห็น ...

    ข้าพเจ้าเพ่งพินิจเอกภาพนี้ และความหลากหลายนี้ – ความสนิทสัมพันธ์ของสามพระบุคคล ผู้แม้จะมี “หลายพระองค์” แต่ทรงเป็นพระองค์เดียว ... นี่คือต้นแบบของมนุษย์ ... และต้นแบบของทุกโครงการ สำหรับทุกครอบครัว และทุกสังคม...

    นี่คือ “จุดสูงสุด” ซึ่งยังมีบางส่วนที่เราไม่อาจเข้าถึงได้...
    เราจะยอมให้พระองค์นำทางเราไปจนถึงที่นั่นหรือไม่...

    เชิญเสด็จมา พระจิตเจ้าข้า