แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

วันอาทิตย์ที่ 16 เทศกาลธรรมดา
ปรีชาญาณ 12:13, 16-19; โรม 8:26-27; มัทธิว 13:24-43

บทรำพึงที่ 1
รอจนถึงฤดูเก็บเกี่ยว
พระเจ้าเท่านั้นที่มีสิทธิพิพากษาชีวิตของบุคคลหนึ่ง

    ครูคนหนึ่งเปิดพระคัมภีร์ และพลิกไปที่หน้าบทเทศน์บนภูเขา และอ่านให้นักเรียนในชั้นฟังว่า “ท่านทั้งหลายเป็นเกลือดองแผ่นดิน ... ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างส่องโลก” (มธ 5:13-14)

    ครูปิดพระคัมภีร์ และถามนักเรียนว่า “คงจะดีไม่ใช่หรือถ้าเราสามารถกำจัดวัชพืชออกไปจากพระศาสนจักร คงจะดีไม่ใช่หรือถ้าเราสามารถกำจัดคริสตชนที่ไม่เต็มใจเป็นคริสตชนออกไปจากพระศาสนจักร ลองคิดซิว่าพระศาสนจักรจะทำให้โลกเปลี่ยนไปได้อย่างไร ถ้าในพระศาสนจักรมีแต่คนที่พร้อมจะเป็นคริสตชนที่ดี ... คริสตชนที่ตั้งใจจริงเพียงหนึ่งล้านคนย่อมเป็นพยานยืนยันพระเยซูเจ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ มากกว่าคริสตชนที่ไม่ยอมผูกมัดตนเอง 25 ล้านคนไม่ใช่หรือ”

    นักเรียนเริ่มเห็นด้วยกับความคิดเห็นของเขาทันที และเริ่มพยักหน้าแสดงว่าเห็นด้วย แต่เด็กหญิงคนหนึ่งที่นั่งอยู่หลังห้องยกมือขึ้น และพูดว่า “หนูเห็นด้วยกับที่ครูพูด แต่ใครจะเป็นผู้ตัดสินว่าใครจะถูกกำจัดไป และใครจะอยู่ต่อไป”

    นักเรียนหลายคนยกมือขึ้น เด็กชายคนหนึ่งพูดว่า “ผมคิดว่าใครก็ตัดสินเช่นนั้นได้ ผมบอกชื่อได้หลายคนได้ในเวลานี้เลย”

    เหตุการณ์นี้ทำให้เราต้องถามว่า จะดีหรือไม่ถ้าเราจะกำจัดคนไร้ประโยชน์ออกไปจากพระศาสนจักรเป็นครั้งคราวการทำเช่นนี้จะเป็นประโยชน์แก่ทุกคน แม้แต่คริสตชนที่ไม่เต็มใจหรือไม่ การทำเช่นนี้จะทำให้คริสตชนตื่นตัวและกระตือรือร้นมากขึ้นหรือไม่ และจะช่วยให้พระศาสนจักรเป็นเกลือดองแผ่นดิน และแสงสว่างส่องโลกได้อย่างที่พระเยซูเจ้าเรียกร้องให้เราเป็นหรือไม่

    อุปมาเรื่องข้าวละมาน และข้าวสาลีที่เราได้ยินวันนี้อาจช่วยให้เราตอบคำถามเหล่านี้ได้ ขอให้เราพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนกันเถิด

    ข้าวละมานที่พระเยซูเจ้าตรัสถึงนี้เป็นปัญหาใหญ่สำหรับชาวนาในดินแดนปาเลสไตน์ นักประพันธ์ยุคโบราณเรียกข้าวชนิดนี้ว่า “ข้าวสาลีของคนโง่” เมื่อมันเริ่มงอกขึ้นมา มันมีลักษณะคล้ายต้นข้าวสาลีมาก

    นี่เป็นเหตุผลข้อหนึ่งที่ทำให้เจ้าของนาบอกคนงานของเขาให้รอจนถึงฤดูเก็บเกี่ยว เขาอาจถอนต้นข้าวสาลี เพราะคิดว่าเป็นข้าวละมานก็ได้

    นี่คือคำตอบว่าเราควรกำจัดคริสตชนที่ไม่เต็มใจเป็นคริสตชนออกไปจากพระศาสนจักรหรือไม่ ... เราอาจเข้าใจผิดว่าคริสตชนที่จริงใจเป็นคริสตชนที่ไม่เต็มใจ เหมือนกับที่คนงานเข้าใจว่าต้นข้าวสาลีเป็นต้นข้าวละมานก็ได้

    ที่น่าเสียใจมากกว่านั้นก็คือ เราอาจประณามใครบางคนที่ดูเหมือนว่าเป็นคริสตชนไม่จริงใจ ทั้งที่เขามีศักยภาพที่จะกลายเป็นคริสตชนที่ตั้งใจจริงก็ได้

    ประเด็นสำคัญอยู่ที่เราไม่มีหน้าที่พิพากษาใคร การพิพากษาควรกระทำเมื่อบุคคลหนึ่งตายไปแล้ว มิใช่ระหว่างที่เขายังมีชีวิตอยู่ และผู้มีสิทธิพิพากษาก็คือพระเจ้าเท่านั้น

    นี่คือประเด็นสำคัญ นักบุญเปาโลย้ำประเด็นนี้ในจดหมายฉบับที่หนึ่งถึงชาวโครินธ์ ว่า “จงอย่าตัดสินเรื่องใด ๆ ก่อนจะถึงเวลา จงคอยจนกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมา พระองค์จะทรงฉายแสงให้ความลับที่ซ่อนอยู่ในความมืดแจ่มแจ้ง และจะทรงเปิดเผยความในใจของทุกคนให้ปรากฏ” (1 คร 4:5)

    การพิพากษาผู้อื่นก่อนถึงเวลาอันควร เป็นการกระทำที่มีความเสี่ยง ดังจะเห็นได้จากเรื่องต่อไปนี้

    เมื่อหลายปีก่อน นิตยสารเล่มหนึ่งตีพิมพ์เรื่องที่น่าประทับใจเกี่ยวกับมิชชันนารีเกษียณคนหนึ่ง และภรรยาของเขา สองสามีภรรยาใช้ชีวิตบั้นปลายในฟาร์มเล็ก ๆ นอกเมือง ทั้งสองคนทำงานหนักเพื่อปลูกผักและเลี้ยงไก่ เขากินผักที่ปลูกไม่หมด เขาจึงขายส่วนที่เหลือให้แก่ชาวเมือง

    เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง ชาวเมืองเริ่มนินทาว่ามิชชันนารีและภรรยาของเขาเป็นคนตระหนี่ คนหนึ่งพูดว่า “เขาชั่งน้ำหนักผักทุกต้น และนับไข่ทุกฟองซ้ำสองครั้ง ... เขาไม่ยอมแถมมันฝรั่งแม้แต่หัวเดียว หรือไข่แม้แต่ฟองเดียว ผมสงสัยจริง ๆ ว่าเขาเป็นมิชชันนารีประเภทไหน”

    ต่อมาภรรยาของมิชชันนารีเสียชีวิต เมื่อนั้นความจริงจึงเผยออกมา เงินทุกเซนต์ที่สองสามีภรรยาหาได้จากการขายผัก และไข่ไก่ เขานำไปช่วยเหลือหญิงหม้ายชราสองคนที่อยู่ได้ด้วยความช่วยเหลือจากเขาทั้งสอง

    เรื่องนี้ทำให้เราเข้าใจประเด็นที่นักบุญเปาโล ยกมากล่าวในจดหมายของเขาที่เขียนถึงชาวโครินธ์ และเป็นประเด็นเดียวกันที่พระเยซูเจ้าทรงต้องการสั่งสอนในอุปมาของพระองค์

    “จงอย่าตัดสินเรื่องใด ๆ ก่อนจะถึงเวลา จงคอยจนกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมา พระองค์จะทรงฉายแสงให้ความลับที่ซ่อนอยู่ในความมืดแจ่มแจ้ง และจะทรงเปิดเผยความในใจของทุกคนให้ปรากฏ” (1 คร 4:5)

    ดังนั้น เราจึงต้องพอใจจะอยู่ในโลก และในพระศาสนจักร ที่นักบุญและคนบาปใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน พระศาสนจักรที่เต็มไปด้วยนักบุญอาจเป็นพระศาสนจักรที่น่าพึงพอใจ แต่นั่นคงไม่ใช่พระศาสนจักรของพระคริสตเจ้า ดังที่ เฮนรี วอร์ด บีชเชอร์ กล่าวไว้ว่า “พระศาสนจักรไม่ใช่ห้องแสดงภาพ ที่ใช้แสดงตัวคริสตชนดีเด่น แต่เป็นโรงเรียนฝึกสอนคริสตชนที่ยังมีข้อบกพร่อง”

    หรือดังที่ชาร์ลส์ เคลย์ตัน มอริสัน กล่าวว่า “พระศาสนจักรของคริสตศาสนา คือ สมาคมของคนบาป เป็นสมาคมหนึ่งเดียวในโลกที่คัดเลือกสมาชิกโดยพิจารณาจากคุณสมบัติข้อเดียว คือ เขาต้องไม่เหมาะสมจะเป็นสมาชิก”

    เราจะสรุปบทรำพึงนี้ด้วยบทภาวนาต่อไปนี้

    ข้าแต่พระเจ้า โปรดทรงช่วยเราให้ตระหนักว่า พระศาสนจักรไม่ใช่ตู้โชว์นักบุญ แต่เป็นที่หลบภัยของคนบาป
    โปรดทรงป้องกันไม่ให้เราพิพากษาผู้ใด โดยเฉพาะสมาชิกในครอบครัวของเรา และสมาชิกในเขตวัดของเรา
    โปรดทรงช่วยเราให้เข้าใจ และปฏิบัติตามพระวาจาของพระเยซูเจ้า ผู้ตรัสว่า
    “อย่าตัดสินเขา และพระเจ้าจะไม่ทรงตัดสินท่าน
    อย่ากล่าวโทษเขา แล้วพระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษท่าน
    จงให้อภัยเขา แล้วพระเจ้าจะทรงให้อภัยท่าน
    จงให้ แล้วพระเจ้าจะประทานแก่ท่าน...
    ท่านใช้ทะนานใดตวงให้เขา พระเจ้าก็จะทรงใช้ทะนานนั้นดวงตอบแทนให้ท่านด้วย” (ลก 6:37-38)

บทรำพึงที่ 2
มัทธิว 13:24-43

พระเยซูเจ้าทรงเล่าเป็นอุปมาอีกเรื่องหนึ่งให้พวกเขาฟังว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับชายคนหนึ่งที่หว่านข้าวพันธุ์ดีในนาของตน ขณะที่ทุกคนนอนหลับ ศัตรูก็มาหว่านข้าวละมานทับลงบนข้าวสาลี แล้วจากไป...”

    มนุษย์ทุกคนที่รู้จักคิด ย่อมตระหนักว่าความชั่วเป็นปัญหาที่หนักที่สุดในบรรดาปัญหาทั้งปวง มีใครบ้างที่ไม่เคยเผชิญกับความชั่วเลย ... ไม่ว่าจะเป็นความชั่วในเนื้อหนังของตนเองในกรณีของคนป่วย ... หรือความชั่วในหัวใจในกรณีของคนที่มีบาดแผลทางอารมณ์ หรือความรู้สึกผิดในจิตสำนึกเพราะได้ทำบาป ... ความชั่วภายในบ้าน หรือสถานที่ทำงาน ในกรณีของบุคคลที่มีความสัมพันธ์ร้าวฉานกับผู้อื่น ... ความชั่วในโลกในกรณีของความอยุติธรรม และการกดขี่ ... ความตายก็เป็นความชั่วอย่างหนึ่งที่ไม่มีใครหนีพ้น...

    ทำไมจึงมีความชั่วร้ายในโลก ... เราพร้อมหรือไม่ที่จะฟังหนึ่งในคำตอบที่อาจตอบเราได้ คือคำตอบจากพระเยซูเจ้า

    พระองค์ทรงใช้วิธีการง่าย ๆ แต่เลียนแบบได้ยาก เพื่อเปิดเผยสิ่งที่อยู่ในใจของเราเอง พระองค์ทรงทำให้เรามองโลกตามความเป็นจริง ... ไม่ใช่ความฝันที่ไม่อาจเป็นจริงได้ของคนที่มองแต่แง่ดี หรือการแจกแจงปัญหาอย่างเป็นระบบของคนที่มองแต่แง่ร้าย ... มนุษยชาติประกอบด้วยคนดี และคนชั่ว ... ประกอบด้วย “พระหรรษทาน” และ “บาป” ... แม้แต่ในหัวใจของเราเองก็มีทั้งสองสิ่งนี้ ... คือสิ่งที่ดี และสิ่งที่ไม่ดีนัก...

    แต่ท่านคงสังเกตว่ามีความแตกต่างอย่างยิ่งระหว่างความดี และความชั่ว พระวรสารบอกความแตกต่างของ “ผู้หว่าน” ทั้งสองนี้ตั้งแต่ต้น คนหนึ่งหว่านในเวลากลางวัน อีกคนหนึ่งหว่านในเวลากลางคืน เขาซ่อนตนเอง และใช้เวลาเมื่อ “ทุกคน” ไม่ระวังตัว ... เมื่อผู้หว่านคนแรกจากไป อีกคนหนึ่งก็แอบเข้ามาหว่านข้าวละมานทับลงไป...

    พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าโชคดีที่รู้เช่นนี้ ... พระองค์ทรงบอกว่าความชั่วในตัวข้าพเจ้า และผู้อื่น ไม่ได้อยู่ในตัวของเรา แต่มันแอบย่องเข้ามาอย่างเจ้าเล่ห์ โดยที่เราไม่รู้ตัว และในเวลาที่เราไม่ระวังตัว ... ขณะที่มนุษย์กำลังหลับ ศัตรูแอบเข้ามา ... หว่านเมล็ดข้าวพันธุ์เลว ... แล้วก็จากไป...

“เมื่อต้นข้าวงอกขึ้นจนออกรวง ข้าวละมานก็ปรากฏแซมอยู่ด้วย บรรดาผู้รับใช้จึงไปหานาย ถามว่า ‘นายครับ นายหว่านข้าวพันธุ์ดีในนามิใช่หรือ แล้วข้าวละมานมาจากที่ใดเล่า’ นายตอบว่า ‘ศัตรูมาหว่านไว้’ ผู้รับใช้จึงถามว่า ‘นายต้องการให้เราไปถอนมันไหม’ นายตอบว่า ‘อย่าเลย เกรงว่าเมื่อท่านถอนข้าวละมาน ท่านจะถอนข้าวสาลีติดมาด้วย’”

    คำตอบนี้คงทำให้เราแปลกใจ เพราะเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ในอุปมาเรื่องผู้หว่าน พระเยซูเจ้าทรงย้ำเตือนถึงอันตรายของวัชพืชซึ่งรัดข้าวสาลีจนตายในที่สุด ... ดังนั้น เราต้อง “ฟัง” ให้ลึกกว่าระดับคำพูด ให้ลึกจนถึงระดับ mashal หรือปริศนาธรรม หรือ “อุปมา” กล่าวคือ ถึงระดับความหมายที่ซ่อนอยู่...

“จงปล่อยให้ข้าวสองชนิดงอกงามขึ้นด้วยกันจนถึงฤดูเก็บเกี่ยว”...

    นี่คือการตัดสินใจของ “เจ้าของนา” ... พระเจ้าทรงสงวนการพิพากษาไว้ให้เป็นหน้าที่ของพระองค์เองในที่สุด ... ระหว่างนี้ พระองค์ทรงขอเราไม่ให้ตัดสินผู้ใด ... พระเจ้าทรงมีความอดทนมากกว่าเรา พระองค์ทรงอดทนกับข้าวละมานระหว่างช่วงเวลาหนึ่ง นี่คือการเผยแสดงความเมตตาอันไร้ขอบเขตของพระองค์ต่อเรา ข้าพเจ้าเป็นคนหนึ่งที่ได้รับประโยชน์จากความอดทนของพระเจ้า เพราะในหัวใจของข้าพเจ้า รากของข้าวสาลีและข้าวละมานพันกันจนแยกไม่ออก...

    พระเจ้าข้า พระองค์ทรงเป็นเจ้าของนา พระองค์ทรงยอมเสี่ยงที่จะอดทน รอให้ต้นอ่อนของชีวิต และเมล็ดพันธุ์แห่งความตายเจริญงอกงามขึ้นมาด้วยกัน

    พระเจ้าข้า โปรดทรงช่วยเราให้เป็นอิสระจากความคิดแบ่งฝักแบ่งฝ่าย การด่วนตัดสินใจ และการตัดสินอย่างขาดความปรานี...

    พระเจ้าข้า โปรดทรงช่วยเราให้เป็นอิสระจากการไม่ยอมผ่อนปรน จากสงครามศาสนา จากอุดมการณ์ที่มีอคติ...

    พระเจ้าข้า พระองค์ไม่ทรงต้องการพระศาสนจักรที่มีแต่ “ผู้บริสุทธิ์” พระศาสนจักรของพระองค์เป็นที่ชุมนุมของคนบาป...

    คริสตชนก็ไม่ได้ดีไปกว่าคนอื่น ๆ พระเจ้าประทานโอกาสให้มนุษย์ทุกคน ให้คนบาปทุกคนบรรลุถึงวุฒิภาวะ และมีโอกาสกลับใจ...

    ข้าพเจ้ารู้หรือไม่ว่าควรใช้อุปมาเรื่องนี้สอนใจตนเองในสถานการณ์ชีวิตของตนเองอย่างไร...

“แล้วฉันจะบอกคนเก็บเกี่ยวว่าจงเก็บข้าวละมานก่อน มัดเป็นฟ่อนเผาไฟเสีย ส่วนข้าวสาลีนั้น จงเก็บเข้ายุ้งของฉัน”

    การเก็บเกี่ยวเป็นภาพลักษณ์ที่พบเห็นบ่อย ๆ ในพระคัมภีร์ (ยรม 51:33, ฮชย 6:11, ยอล 4:13) ในอิสราเอล ชาวนาเก็บเกี่ยวข้าวบาร์เลย์ ในเดือนเมษายน และเก็บเกี่ยวข้าวสาลีในเดือนพฤษภาคม เช่นเดียวกับในประเทศอื่น ๆ ฤดูเก็บเกี่ยวไม่ตรงกัน และเป็นโอกาสให้จัดการฉลอง  (นรธ 2, อสย 9:2, สดด 126:6) การเก็บเกี่ยวเป็นรางวัลและการเฉลิมฉลองสำหรับผู้เพาะปลูกที่ทำงานหนัก ในพระคัมภีร์ การเก็บเกี่ยวบ่อยครั้งเป็นสัญลักษณ์ของการพิพากษาในอวสานกาล (อสย 28:27, 17:5, อมส 9:13)...

    ข้าพเจ้าจะค้นพบความหมายที่ซ่อนอยู่ในภาพลักษณ์อันงดงามนี้หรือไม่...

    พระเยซูเจ้าทรงบอกเราว่า สิ่งสร้างกำลังเดินหน้าไปสู่จุดหมาย พระองค์ทรงรู้ว่าข้าวสาลีจะไม่ตาย แม้ว่าเรามีเหตุผลที่จะกลัวก็ตาม...

    เราต้องยอมรับมุมมองของพระเยซูเจ้าไว้เป็นของเรา เราต้องร่วมมือด้วยความอดทนกับการทำงานอย่างเชื่องช้าของพระเจ้า และวางใจในพระองค์ ... เราต้องมีใจเมตตากรุณามากจึงจะทำเช่นนี้ได้ ... เราได้รับเรียกให้เคารพคนบาป และคนชั่ว คือเคารพส่วนที่ดีงามในตัวเขา เพราะรู้ว่าเขามีโอกาสเสมอที่จะกลับใจได้ในที่สุด ... ข้าพเจ้าต้องพยายามมองเห็นความดีในมนุษยชาติ ... ไม่ใช่เห็นแต่ข้าวละมานในทุ่งนา ... เพื่อจะทำเช่นนี้ได้ ข้าพเจ้าต้องเพิ่มพูนความเชื่อของตนเอง ... ข้าพเจ้าเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่

    อย่างไรก็ตาม เราได้ยินคำเตือนแล้วว่าเมื่อถึงอวสานกาล หรือฤดูเก็บเกี่ยวเท่านั้น เราจึงจะเห็นผลแท้ของงานที่เราพยายามทำในนาข้าวของพระบิดา...

    ท่านผู้เป็นบิดามารดา คู่สมรส ผู้นำ และธรรมทูตทั้งหลาย ... จงฟังเถิด!

พระองค์ตรัสเป็นอุปมาอีกเรื่องหนึ่งว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับเมล็ดมัสตาร์ด ซึ่งมีผู้นำไปหว่านในนา และเป็นเมล็ดเล็กกว่าเมล็ดทั้งหลาย แต่เมื่อเมล็ดงอกขึ้นเป็นต้นแล้ว กลับมีขนาดโตกว่าต้นผักอื่น ๆ และกลายเป็นต้นไม้ จนกระทั่งนกในอากาศมาทำรังอาศัยบนกิ่งได้”

    ขอให้เรานึกภาพตามอุปมาของพระเยซูเจ้า...

    “เมล็ด” เพียงหนึ่งเมล็ด ... ดูเหมือนน่าขันที่จะมีใครนำเมล็ดพืชเมล็ดเดียวไปหว่านในนา...

    “เมล็ดเล็กกว่าเมล็ดทั้งหลาย” ... เล็กจนแทบมองไม่เห็นเมื่ออยู่ในอุ้งมือของท่าน ... แต่นี่คือจุดเริ่มต้นของสิ่งมีชีวิตซึ่งจะงอกออกมาเป็นต้นอ่อน แล้วกลายเป็นพุ่มไม้ ถ้าท่านอดทนรอได้นานพอ และดูแลเอาใจใส่ต้นไม้นี้เป็นอย่างดี...

    “อาณาจักรสวรรค์” ก็เป็นเช่นนี้

    พระเจ้าข้า ทำไมหนอ โลกจึงดูเหมือนห่างไกลจากพระอาณาจักรของพระองค์นัก ทำไมจึงมีชายหญิงน้อยคนเช่นนี้ที่ปฏิบัติตามพระวรสารของพระองค์จนถึงจุดหมายปลายทาง...

    ท่านทั้งหลายผู้เป็นบิดามารดา คู่สมรส ผู้นำ ธรรมทูต ... จงดู “เมล็ดพันธุ์ที่มีชีวิต” ทั้งหมดที่มีอยู่ในโลกนี้เถิด ... สิ่งที่เรามองเห็นในวันนี้ไม่ใช่สิ่งสำคัญ เราควรฝันเห็นต้นไม้ใหญ่ซึ่งพระเยซูเจ้าทรงฝันไว้เถิด ... อย่าหยุดฝันเพียงเพราะเมล็ดมัสตาร์ดของท่านเล็กมาก ... แต่จงฝันว่าวันหนึ่งจะมีนกมาร้องเพลงในต้นไม้นี้เถิด...

    และจงรดน้ำพรวนดินให้แก่เมล็ดพันธุ์ของท่าน ... ไม่ว่ามันจะเล็กเท่าไรก็ตาม...

พระองค์ยังตรัสเป็นอุปมาอีกเรื่องหนึ่งว่า “อาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบได้กับเชื้อแป้งที่หญิงคนหนึ่งนำมาเคล้าผสมกับแป้งสามถัง จนแป้งทั้งหมดฟูขึ้น”

    ในกรณีนี้ เราเห็นความไม่สมส่วนระหว่างจุดเริ่มต้นและบั้นปลายเช่นกัน ระหว่างเหตุและผล คือ เชื้อแป้งเพียงหยิบมือเดียวผสมกับแป้ง 40 กก. ... อานุภาพอันซ่อนเร้นของชีวิต ... การเทศน์สอนของพระเยซูเจ้าเป็นกิจกรรมเล็ก ๆ ที่กินเวลาเพียงไม่กี่เดือนในมุมหนึ่งที่ไม่มีใครสนใจของแคว้นหนึ่งของอาณาจักรโรมัน ... แต่พระเยซูเจ้าทรงฝันไว้ไกลมาก พระองค์ทรงมองการณ์ไกล พระองค์ทรงมองไปถึงอวสานกาล เมื่อพระเจ้าจะทรงเป็น “ทุกสิ่งในทุกสิ่ง” เมื่อแป้งมนุษย์จะถูกทำให้ฟูขึ้นทั้งหมดด้วยเชื้อแป้งแห่งพระวรสาร

    แต่ข้าพเจ้าจะทำหน้าที่ส่วนของข้าพเจ้าในงานนี้ตามสถานภาพของข้าพเจ้าได้อย่างไร...

    ชายหรือหญิงคนหนึ่งที่ยอมให้ตนเองกลายเป็น “เชื้อแป้ง” ... และถูกกลบไว้ และผสมกับชาวโลก ... จะกลายเป็น “พลังชีวิต” ที่มองไม่เห็น ซึ่งจะขยายตัว และเปลี่ยนสภาพแวดล้อมทั้งหมดของชีวิตที่เขาเข้าไปร่วมเป็นส่วนหนึ่ง ... ความรักที่อยู่ในตัวบุคคลหนึ่ง ความเชื่อที่ขับเคลื่อนชีวิตหนึ่ง ความหวังที่กระตุ้นให้ลุกขึ้นจากความสิ้นหวัง ... เหล่านี้คือ “เชื้อแป้ง” ที่ทำให้แป้งทั้งหมดฟูขึ้นช้า ๆ โดยแทบไม่สังเกตเห็น...

    มนุษย์อื่น ๆ จำเป็นต้องอาศัยท่าน ... เขาต้องพึ่งความเชื่อ ความหวัง ความยินดี ความบริสุทธิ์ ความกล้าหาญ และสามัญสำนึกของท่าน ... ท่านเป็น “เชื้อแป้ง” หรือเปล่า

พระเยซูเจ้าตรัสเรื่องทั้งหมดนี้แก่ประชาชนเป็นอุปมา พระองค์ไม่ตรัสสิ่งใดกับเขาโดยไม่ใช้อุปมา ทั้งนี้เพื่อให้พระดำรัสที่ตรัสไว้ทางประกาศกเป็นความจริงว่า “เราจะเปิดปากกล่าวเป็นอุปมา เราจะกล่าวเรื่องที่ยังไม่เคยเปิดเผยตั้งแต่สร้างโลก”

    ผู้มีความเชื่อจะมองเห็นความเป็นจริงที่ซ่อนเร้น เมื่อฟังพระเยซูเจ้า

หลังจากนั้น พระองค์ทรงแยกจากประชาชนเข้าไปในบ้าน บรรดาศิษย์จึงเข้ามาทูลว่า “โปรดอธิบายอุปมาเรื่องข้าวละมานในนาเถิด”

    มัทธิวชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่างคำสั่งสอนที่พระเยซูเจ้าประทานแก่ประชาชนทั่วไปกลางแจ้ง ... และคำสั่งสอนที่ลึกซึ้งกว่าที่พระองค์ประทานให้ “ในบ้าน” แก่ผู้ที่แสวงหามากกว่าผู้อื่น...

    ข้าพเจ้าเป็นหนึ่งในบรรดาชายและหญิงที่ “ปรารถนา” จะเรียนรู้มากขึ้นหรือเปล่า ... หรือข้าพเจ้าเป็นหนึ่งในกลุ่มบุคคลที่รู้เพียงเล็กน้อยก็พอใจแล้ว...

    พระเจ้าข้า โปรดทรงอธิบายแก่เราเถิด

พระองค์ตรัสว่า “ผู้หว่านเมล็ดพันธุ์ดีคือบุตรแห่งมนุษย์ ทุ่งนาคือโลก ... ข้าวละมานคือพลเมืองของมารร้าย ศัตรูที่หว่านคือปีศาจ ฤดูเก็บเกี่ยวคือเวลาอวสานแห่งโลก ผู้เก็บเกี่ยวคือทูตสวรรค์ ข้าวละมานถูกมัดเผาไฟฉันใด เวลาอวสานแห่งโลกก็จะเป็นฉันนั้น บุตรแห่งมนุษย์จะทรงใช้ทูตสวรรค์ของพระองค์มารวบรวมทุกสิ่ง และทุกคนที่ประกอบการอธรรม ให้ออกจากพระอาณาจักร”...

    ทุกสิ่งที่ทำให้ผู้อื่นหลงผิด ... ทุกคนที่ประกอบการอธรรม ... พระเจ้าข้า โปรดทรงให้อภัยเราเถิด...

“... แล้วเอาไปทิ้งในกองไฟ ที่นั่นจะมีแต่การร่ำไห้คร่ำครวญและขบฟันด้วยความขุ่นเคือง ส่วนผู้ชอบธรรมจะส่องแสงเหมือนดวงอาทิตย์ในพระอาณาจักรของพระบิดา ใครมีหู ก็จงฟังเถิด”

    ในคำสั่งสอนเรื่องนี้ พระเยซูเจ้าทรงใช้ภาพลักษณ์ที่พบเห็นได้ทั่วไปในยุคสมัยของพระองค์ เราไม่ควรตีความภาพลักษณ์เหล่านี้ตามตัวอักษรและในเชิงวัตถุ เพราะภาพลักษณ์เหล่านี้หมายถึงการทำลายล้างความชั่วทั้งหมดจนสิ้นซากเมื่อถึงอวสานกาล ... เราจงขอบพระคุณพระเจ้าที่พระองค์จะทรงทำเช่นนี้เถิด...

    เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นอย่างไร นั่นเป็นธรรมล้ำลึกข้อหนึ่ง ซึ่งยังไม่ถูกเปิดเผย...

    ส่วนความยินดีของผู้ชอบธรรมนั้นจะส่องแสงเหมือนดวงอาทิตย์ นี่ก็เป็นเพียงภาพลักษณ์อีกเช่นกัน ... เพื่อให้เราเพ่งพินิจ...