วันฉลองพระเยซูเจ้าทรงรับพิธีล้าง
อิสยาห์ 42:1-4, 6-7; กิจการอัครสาวก 10:34-38; มัทธิว 3:13-17
บทรำพึงที่ 1
เป็นคนใหม่โดยสิ้นเชิง
พิธีล้างของยอห์น เป็นพิธีล้างแสดงการสำนึกผิด ศีลล้างบาปของพระเยซูเจ้าเป็นการเกิดใหม่ การได้รับชีวิตใหม่
ก่อนที่แม่น้ำจอร์แดนจะไหลลงสู่ทะเลตายมีจุดหนึ่งของแม่น้ำที่น้ำตื้น ตั้งแต่โบราณกาล จุดนี้เป็นสถานที่ที่กองคาราวานจากตะวันออกใกล้ใช้เป็นจุดข้ามฟาก นี่คือจุดที่ประชาชนมารวมตัวกันและแลกเปลี่ยนข่าวสารของโลก ในตอนบ่ายวันหนึ่ง ท่านอาจพบเห็นทั้งชาวอาหรับที่โพกศีรษะด้วยผ้าขาว ชาวบาบิโลเนียที่สวมห่วงที่จมูก และชาวอัฟริกันผิวดำสนิท
ที่จุดน้ำตื้นนี้เองที่ยอห์นใช้เริ่มต้นการเทศน์สอนของเขา
ในตอนแรก ประชาชนพากันสงสัยว่ายอห์นใช่พระเมสสิยาห์หรือไม่ แต่ยอห์นบอกว่าเขาไม่ใช่พระเมสสิยาห์ เขาบอกว่าเขาทำพิธีล้างด้วยน้ำเท่านั้น แต่ผู้ที่จะมาภายหลังเขาจะทำพิธีล้างเดชะพระจิตเจ้า
อาจกล่าวได้ว่าพิธีล้างของยอห์นเป็นเพียงพิธีล้างแสดงการสำนึกผิด เป็นเพียงเครื่องหมายแสดงว่าประชาชนต้องการกลับใจเท่านั้น
แต่ศีลล้างบาปของพระเยซูเจ้าจะเป็นศีลล้างบาปแห่งการเกิดใหม่ เป็นศีลศักดิ์สิทธิ์ที่จะบันดาลชีวิตใหม่ให้แก่ประชาชน เปาโลกล่าวถึงชีวิตใหม่นี้ในจดหมายถึงชาวโคโลสี เขาเขียนว่า “เมื่อรับศีลล้างบาป ท่านทั้งหลายถูกฝังพร้อมกับพระคริสตเจ้า และกลับคืนชีพพร้อมกับพระองค์ ... ในอดีตท่านตายแล้ว ... แต่พระเจ้าโปรดให้ท่านมีชีวิตพร้อมกับพระคริสตเจ้า” (คส 2:12-13)
เรื่องต่อไปนี้อาจช่วยให้ท่านเข้าใจได้มากขึ้นว่าเราได้รับชีวิตใหม่อย่างไรในศีลล้างบาป
ธอร์ เฮเยอร์ดาล เป็นนักผจญภัยทางทะเลผู้ยิ่งใหญ่ เขาเขียนหนังสือที่โด่งดังมากชื่อ Kon Tiki น้อยคนจะรู้ว่าครั้งหนึ่งเขาเคยกลัวน้ำมาก แต่มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นที่ทำให้ความกลัวนี้หมดไป
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ธอร์ เข้ารับการฝึกในประเทศแคนาดากับกองกำลังเสรีชนชาวนอร์เวย์ วันหนึ่งเขากำลังพายเรือแคนูไปตามแม่น้ำที่อันตราย ที่ปลายแม่น้ำเป็นน้ำตก เรือแคนูพลิกคว่ำในทันทีทันใด ธอร์จมลงสู่แม่น้ำที่ไหลเชี่ยว ขณะที่น้ำพัดเขาไปหาน้ำตกโดยที่เขาไม่อาจทำอะไรได้ ความคิดแปลก ๆ ก็เกิดขึ้นในใจของเขา เขาคิดว่าในไม่ช้าเขาจะรู้ว่าบิดา หรือมารดาของเขากันแน่ที่เป็นฝ่ายถูกเกี่ยวกับชีวิตหลังความตาย บิดาของเขาเชื่อว่าชีวิตเช่นนั้นมีจริง มารดาของเขาไม่เชื่อ
แล้วก็มีเหตุการณ์แปลก ๆ อย่างหนึ่งเกิดขึ้น บทภาวนาข้าแต่พระบิดาแวบเข้ามาในสมองของเขา และเขาเริ่มต้นสวดตาม พลังอย่างหนึ่งฉีดพล่านไปทั่วร่างกายของเขา ธอร์เริ่มต่อสู้กับกระแสน้ำ พลังเร้นลับอย่างหนึ่งกำลังช่วยเขา และอีกสองสามนาทีต่อมาเขาก็ว่ายน้ำถึงฝั่ง
ธอร์ เฮเยอร์ดาล ผู้คลานขึ้นจากแม่น้ำ เป็นคนใหม่ที่แตกต่างโดยสิ้นเชิงจากธอร์ เฮเยอร์ดาล ที่จมลงไปในแม่น้ำ อาจกล่าวได้ว่าน้ำในแม่น้ำสายนี้ได้ล้างบาปของเขา และมอบชีวิตใหม่แก่เขา
ประการแรก เฮเยอร์ดาล คนเก่ากลัวน้ำมาก แต่เฮเยอร์ดาล คนใหม่ไม่กลัว
ประการที่สอง เฮเยอร์ดาล คนเก่าไม่มั่นใจเกี่ยวกับพระเจ้า และชีวิตหลังความตาย แต่เฮเยอร์ดาล คนใหม่ไม่สงสัยเลย
ประสบการณ์ของเฮเยอร์ดาล ในแม่น้ำนั้น เป็นคำอธิบายได้อย่างดีเยี่ยมว่าเกิดอะไรขึ้นกับเราในน้ำแห่งศีลล้างบาป บุคคลที่เราเป็นภายหลังรับศีลล้างบาป แตกต่างโดยสิ้นเชิงจากบุคคลที่เราเคยเป็นก่อนรับศีลล้างบาป ก่อนรับศีลล้างบาป เราได้ตายไปแล้วฝ่ายจิต หลังจากรับศีลล้างบาป จิตของเรามีชีวิตในพระคริสตเจ้า เราเป็นคนใหม่อย่างสิ้นเชิง และมีชีวิตใหม่โดยสิ้นเชิง
บางทีอีกตัวอย่างหนึ่งอาจช่วยอธิบายให้ชัดเจนยิ่งกว่า ว่าเกิดอะไรขึ้นในศีลล้างบาป
คริสตชนรุ่นแรกชอบคิดว่าศีลล้างบาปนำเราไปเชื่อมต่อกับพระกายพระคริสตเจ้า เกษตรกรนำกิ่งไม้เล็ก ๆ จากต้นไม้ต้นหนึ่งมาทาบกับกิ่งของต้นไม้อีกต้นหนึ่งฉันใด ศีลล้างบาปก็ทาบเราติดกับพระกายพระคริสตเจ้าฉันนั้น
ถ้าเราต้องการดัดแปลงคำอธิบายนี้ให้ทันสมัย เราอาจเปรียบเทียบศีลล้างบาปว่าเหมือนกับการเสียบปลั๊กโคมไฟเข้ากับแหล่งกระแสไฟฟ้า โคมไฟจะดึงกระแสไฟฟ้าออกมาจากแหล่งกระแสไฟนั้น และเริ่มเปล่งแสง เมื่อเรารับศีลล้างบาปก็เหมือนกับเราถูกเสียบปลั๊กเข้ากับพระคริสตเจ้า และเริ่มได้รับชีวิตจากพระองค์
ทั้งหมดนี้ทำให้เราได้ข้อสรุปสำคัญข้อหนึ่ง คือศีลล้างบาปไม่ใช่จุดสิ้นสุดของกระบวนการ แต่เป็นจุดเริ่มต้น และเป็นเพียงก้าวแรก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังศีลล้างบาป อาจกล่าวได้ว่าสำคัญเท่าเทียมกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างการรับศีลล้างบาป เพื่อให้เห็นภาพ ให้เราพิจารณาเรื่องการทาบกิ่งอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อกิ่งไม้ถูกทาบติดกับก้านของต้นไม้อีกต้นหนึ่งแล้ว กิ่งนั้นจำเป็นต้องเจริญเติบโต และกลายเป็นส่วนหนึ่งของต้นไม้ต้นนั้น มิฉะนั้น มันจะตายในไม่ช้า
ศีลล้างบาปก็เช่นเดียวกัน เมื่อเราถูกทาบติดกับพระคริสตเจ้าแล้ว เราต้องเจริญเติบโต และกลายเป็นส่วนหนึ่งของพระองค์ มิฉะนั้นเราก็จะตาย แต่เราจะเติบโตกลายเป็นส่วนหนึ่งของพระคริสตเจ้าได้อย่างไร นักบุญเปาโลให้คำตอบแก่เราในจดหมายที่เขาเขียนถึงชาวโคโลสี ดังนี้
“เมื่อท่านได้รับองค์พระเยซูคริสตเจ้าแล้ว จงดำเนินชีวิตในพระองค์ต่อไป จงหยั่งรากลึกลงในพระองค์และเสริมสร้างขึ้นในพระองค์ จงมีความเชื่ออย่างมั่นคง ... (ท่าน) จงเห็นอกเห็นใจกัน จงมีความใจดี ความถ่อมตน ความอ่อนโยน และความพากเพียรอดทนเป็นเสมือนเครื่องประดับตน จงผ่อนหนักผ่อนเบาซึ่งกันและกัน ... แต่สิ่งที่สำคัญกว่าสิ่งใดก็คือความรัก” (คส 2:6-7, 3:12-14)
อาจกล่าวได้ว่าเราเจริญเติบโตกลายเป็นส่วนหนึ่งของพระคริสตเจ้าได้ด้วยการเลียนแบบพระองค์ ผู้ที่เราถูกทาบติดกลายเป็นส่วนหนึ่งของพระกายของพระองค์
เราต้องปฏิบัติต่อกันด้วยความเมตตากรุณาเหมือนกับที่พระคริสตเจ้าทรงปฏิบัติต่อเรา เราต้องอดทนกับผู้อื่นเหมือนกับที่พระคริสตเจ้าทรงอดทนกับเรา เราต้องให้อภัยผู้อื่นเหมือนกับที่พระคริสตเจ้าทรงให้อภัยเรา เราต้องรักผู้อื่นเหมือนกับที่พระคริสตเจ้าทรงรักเรา
สรุปสั้น ๆ ว่าเราเติบโต และกลายเป็นส่วนหนึ่งของพระคริสตเจ้า ด้วยการเลียนแบบพระคริสตเจ้า ผู้ที่เรารับชีวิตมาจากพระองค์เมื่อเรารับศีลล้างบาป เราจะสรุปบทรำพึงนี้ด้วยบทภาวนาดังนี้
พระกรของพระเยซูเจ้า
โปรดพยุงเราขึ้นเมื่อเราล้ม
พระสุรเสียงของพระเยซูเจ้า
โปรดเรียกเรากลับมาเมื่อเราหลงออกนอกทาง
พระโลหิตของพระเยซูเจ้า
โปรดชำระล้างเราเมื่อเรามีมลทิน
พระกายของพระคริสตเจ้า
โปรดเลี้ยงดูเราเมื่อเราหิว
พระหฤทัยของพระเยซูเจ้า
โปรดช่วยเราให้รักกันและกัน เหมือนที่พระองค์ทรงรักเรา
บทรำพึงที่ 2
มัทธิว 3:13-17
การเฉลิมฉลองเทศกาลพระคริสตสมภพของเราเพิ่งจะจบลงพร้อมกับการฉลองครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ และสมโภชพระคริสตเจ้าแสดงองค์ บัดนี้ พระศาสนจักรเชิญชวนเราให้พักเรื่องปฐมวัยของพระเยซูเจ้าไว้ก่อน และหันมาพิจารณาสาระสำคัญคือชีวิตวัยผู้ใหญ่ของพระเยซูเจ้า ... การเทศน์สอนของพระองค์
เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมาจากแคว้นกาลิลี ถึงแม่น้ำจอร์แดน...
ขอให้เราอย่าลืมเหตุการณ์นี้ในประวัติศาสตร์ ซึ่งอาจเกิดขึ้นเมื่อปลายปี ค.ศ. 27
“พระเยซูเจ้า” ... ชายคนหนึ่งที่ไม่มีใครรู้จัก
“จากแคว้นกาลิลี” ... แคว้นที่ห่างไกล และเต็มไปด้วยประชาชนที่ไม่เชื่อในพระเจ้า เป็นที่เหยียดหยามของประชาชนในแคว้นยูเดีย และกรุงเยรูซาเล็ม แต่เป็นที่พำนักอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า
“มา” ... ปรากฏตัว ... ชายที่ไม่มีใครรู้จัก เดินทางมาจากหมู่บ้านที่ไม่มีใครรู้จัก และปรากฏตัวบนเวที เราอยู่ในยุคหลังจากนั้น 2,000 ปี เราจึงรู้ว่าชายคนที่ชื่อเยซูนี้กำลังจะเปลี่ยนโฉมหน้าของโลก ... แต่ขณะนี้ พระองค์อายุประมาณ 30 ปี และไม่มีใครรู้เรื่องราวของพระองค์ พระองค์ทรงดำรงชีวิตอย่างเงียบ ๆ ถึง 30 ปี...
“ถึงแม่น้ำจอร์แดน” ฝั่งแม่น้ำนี้ คือ จุดเริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่แม่น้ำนี้ก็แปลก ถ้าพูดในแง่ของภูมิศาสตร์ คำว่า “จอร์แดน” ในภาษาฮีบรู แปลว่า “ผู้ที่ลงมา” มาจากรากศัพท์ว่า varad – การลงมา ... เพราะแท้จริงแล้ว จอร์แดน เป็นแม่น้ำสายเดียวที่ไหลลงสู่ที่ต่ำมากเช่นนี้ จุดเริ่มต้นของแม่น้ำนี้อยู่บนภูเขาเฮอร์มอน สูง 520 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล และระหว่างทางซึ่งสั้นกว่า 220 กม. แม่น้ำนี้ไหลลงมาถึงทะเลตาย ซึ่งอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลถึง 394 เมตร ... เป็นการตกต่ำอย่างน่าผิดหวังจริง ๆ...
พระเยซูเจ้าเสด็จมาเพื่อรับพิธีล้างจากยอห์น
พิธีล้างที่พระเยซูเจ้าทรงมาขอรับจากยอห์น คือ “พิธีล้างแสดงการสำนึกผิด” เป็นการแสดงเครื่องหมายภายนอกว่าบุคคลหนึ่งเสียใจกับความผิดบกพร่องของตน และตัดสินใจจะเปลี่ยนวิถีชีวิตของเขา ... “ประชาชนจากกรุงเยรูซาเล็ม จากทั่วแคว้นยูเดีย และจากทั่วเขตแม่น้ำจอร์แดน พากันไปพบเขา รับพิธีล้างจากเขาในแม่น้ำจอร์แดน โดยสารภาพบาปของตน”
ข้าพเจ้าใช้เวลาครู่หนึ่งเพ่งพินิจพระเยซูเจ้า ขณะทรงเข้าแถวร่วมกับคนบาปทั้งหลายที่มารอรับพิธีล้าง สัญชาตญาณที่ไม่มีวันผิดพลาดนำพระเยซูเจ้าไปหากลุ่มมนุษย์ที่ซึ่งพระจิตเจ้าทรงประทับอยู่อย่างชัดเจน ... คนกลุ่มนี้มีความหวังอันร้อนแรงที่สุดว่าพระเจ้าจะเสด็จมา ... และตั้งแต่แรก พระเยซูเจ้าก็ทรงแสดงพระองค์ว่าทรงเป็นส่วนหนึ่งของคนบาปกลุ่มนี้ ... ในสถานที่ซึ่งพระเจ้าทรงทำงานในหัวใจมนุษย์เป็นพิเศษ และทำให้เขาตัดสินใจว่าเขาจะกลับใจ...
การรับพิธีล้างของพระเยซูเจ้านี้ได้รับการยืนยันจากผู้นิพนธ์พระวรสารทั้งสี่คน ดังนั้น จึงเป็นเหตุการณ์ที่ต้องเกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ เพราะคริสตชนรุ่นแรกคงไม่แต่งเรื่องว่าพระเยซูเจ้าทรงยอมรับ “พิธีล้างแสดงการสำนึกผิด” ซึ่งตรงกันข้ามกับความเชื่อของเขาเกี่ยวกับพระเมสสิยาห์ นอกจากว่าเขามีหลักฐานยืนยันชัดเจนถึงเหตุการณ์นั้น ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่แปลกตามความคิดของมนุษย์สักเท่าไรก็ตาม...
ส่วนข้าพเจ้า … ข้าพเจ้ากำลังตัดสินคนบาปจาก “ที่สูง” แห่งความเชื่อมั่นในความดีของตนหรือเปล่า ... ข้าพเจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าข้าพเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกับมนุษยชาติที่ตกในบาป ... ข้าพเจ้าประณามผู้อื่นหรือเปล่า ... หรือว่าทัศนคติของพระเยซูเจ้ากำลังท้าทายข้าพเจ้าให้ข้าพเจ้าให้กำลังใจ และช่วยเหลือคนรอบตัวที่กำลังหลงผิด...
ยอห์นพยายามชักชวนพระองค์ให้เปลี่ยนพระทัย เขาพูดว่า “ข้าพเจ้าควรจะรับพิธีล้างจากท่าน แต่ท่านกลับมาพบข้าพเจ้า”
เป็นความจริงที่พระองค์กำลังขอให้ยอห์นทำสิ่งที่เขาไม่คิดว่าถูกต้อง ... เขากำลังประกาศถึงการเสด็จมาของ “พระเมสสิยาห์ – ผู้พิพากษา” ผู้จะโค่นต้นไม้ที่ไม่เกิดผลดี และโยนฟางที่ไร้ประโยชน์เข้าไปในกองไฟ (มธ 3:7-12) แต่บัดนี้ พระเยซูเจ้าเสด็จมาเพื่อ “ขอรับ” พิธีล้างแสดงการสำนึกผิด ... นี่เป็นโลกที่พลิกกลับหัวกลับหางทีเดียวสำหรับยอห์น ... ตรงกันข้ามกับความคาดหมายของเขา ยอห์นจะต้องทำพิธีล้างให้แก่บุคคลที่ทรงอำนาจยิ่งกว่าเขา (มธ 3:11) ... ไม่น่าแปลกใจที่เขาคัดค้าน เพราะเขาต้องการกันพระเยซูเจ้าออกไปจากพิธีล้างนี้
อันที่จริง จะเกิดอะไรขึ้นระหว่างการรับพิธีล้างนี้ ... พิธีล้างจะเปิดเผยความจริงข้อสำคัญอะไรแก่เรา ... ขอให้เราอย่าเพียงแต่มองเหตุการณ์ครั้งนี้อย่างผิวเผิน เพราะนี่คือการเผยแสดงครั้งแรกของพระเจ้าแก่เรา...
พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เวลานี้ ปล่อยให้เป็นเช่นนี้ก่อน เพราะเราควรจะทำทุกอย่างตามพระประสงค์ของพระเจ้า”
นี่คือพระวาจาแรกของพระเยซูเจ้าในพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญมัทธิว และแสดงให้เห็นบุคลิกภาพที่มีวุฒิภาวะมากเป็นพิเศษ ... บุรุษคนนี้มีบุคลิกภาพที่สมดุลอย่างยิ่ง และมีจิตสำนึกที่ดีต่อพันธกิจของตน ... เมื่อเราลดฐานะของพระเยซูเจ้าให้กลายเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาที่พระศาสนจักรยกย่องให้เป็นพระเจ้า หรือเป็นบุรุษคนหนึ่งที่เริ่มสำนึกทีละน้อยว่าเขาเป็นพระเจ้า ... เมื่อนั้น เราอาจมองข้ามธรรมล้ำลึกเกี่ยวกับพระบุคคลของพระองค์...
ช่วงปีที่พระองค์ดำรงชีวิตในนาซาเร็ธ ไม่ใช่ช่วงปีที่ว่างเปล่า พระเยซูเจ้าทรงเป็นชาวยิวคนหนึ่งเช่นเดียวกับชาวยิวทั่วไป และอาจเคร่งครัดมากกว่าชาวยิวทั่วไปด้วย – พระองค์ทรงศึกษาคัมภีร์โทราห์ ซึ่งเป็นพระวาจาของพระเจ้า ... ดังนั้น ในพระวาจาแรกของพระองค์ พระองค์จึงทรงเอ่ยถ้อยคำที่บรรยายบทบาทของพระองค์คือ “ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า” นี่เป็นถ้อยคำที่มัทธิวใช้บ่อยครั้ง
ในวันนี้ เราเห็นการต่อสู้ระหว่าง “ผู้สนับสนุนความก้าวหน้า” และ “ผู้สนับสนุนธรรมประเพณี” เราเห็นทั้งคนหัวก้าวหน้า และคนอนุรักษ์นิยม แต่พระเยซูเจ้าทรงยึดถือธรรมประเพณีของชนชาติของพระองค์ แต่ในเวลาเดียวกัน พระองค์ก็เปลี่ยนแปลงแก้ไข และนำไปสู่เป้าหมายสูงสุดของธรรมประเพณีนั้น นี่คือหลักการของชีวิต ซึ่งไม่ตัดขาดจากอดีตเสียทีเดียว แต่ยังมุ่งหน้าเต็มกำลังไปสู่อนาคต...
พระเยซูเจ้าไม่ใช่นักปฏิวัติ ... แต่พระองค์ทรงเปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่าง
พระองค์ทรงขอให้ยอห์น ผู้เป็นประกาศกคนสุดท้ายของยุคพันธสัญญาเดิม ให้ประกอบพิธีล้างให้พระองค์เหมือนกับคนบาปอื่น ๆ เหมือนกับทุกคน พร้อมกับทุกคน ... แต่ขอให้เราคอยดู ... สภาพใหม่ที่ระเบิดออกมาในทันทีทันใด...
ยอห์นจึงยอมทำตาม
ถ้อยคำเพียงไม่กี่คำนี้แสดงให้เห็นความสุภาพ ข้อความนี้ไม่ได้บอกว่ายอห์นเข้าใจ เพียงแต่บอกว่าเขา “ยอมทำตาม” เขาหลีกทาง เขายอมขจัดความคิดที่ว่าพระเมสสิยาห์ต้องเป็นผู้ชนะ ... บางทีเขาอาจกำลังค้นพบบุคคลลึกลับที่อยู่ต่อหน้าเขา ... ขอให้เราเข้าสู่ธรรมล้ำลึกนี้เช่นกันเถิด เพราะนี่คือหัวใจของคำบอกเล่านี้ ... เราจงฟัง...
เมื่อพระเยซูเจ้าทรงรับพิธีล้างแล้ว เสด็จขึ้นจากน้ำ...
มัทธิวไม่ได้บรรยายถึงพิธีกรรมนี้ เขาเพียงแต่บอกข้อเท็จจริง โดยใช้เพียงคำว่า “รับพิธีล้าง” แล้ว พระเยซูเจ้าก็เสด็จขึ้นจากน้ำ...
เราได้ยินว่าพระเยซูเจ้าทรงกระทำสองสิ่ง พระองค์ “เสด็จลงไป” (พิธีล้างหมายถึงการจุ่มตัว) ในน้ำ และพระองค์ “เสด็จขึ้น” จากน้ำ ... พระองค์เสด็จไปยังแม่น้ำจอร์แดน ซึ่งเป็นสถานที่ต่ำที่สุดบนโลกของเรา นี่คือความเคลื่อนไหวของพระเจ้าผู้เสด็จมาหามนุษยชาติผู้ตกในบาป – พระเยซูเจ้า “ประสูติ ถูกตรึงกางเขน สิ้นพระชนม์ ทรงถูกฝัง เสด็จเยือนดินแดนผู้ตาย” นี่คือการเสด็จลงสู่ที่ต่ำอย่างยิ่ง – แล้วจึง “กลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย เสด็จขึ้นสวรรค์”...
ทันใดนั้น ท้องฟ้าเปิดออก...
สวรรค์เปิดออก ... พระเจ้าทรงแสดงพระองค์...
เราเห็นภาพของสวรรค์เปิดออกหลายครั้งในพระคัมภีร์ ซึ่งบอกเราว่าได้มีการติดต่อสื่อสารกันระหว่างสวรรค์ และมนุษย์ที่ได้รับเลือกให้รับรู้ความลับของพระเจ้า (อสค 1:1; วว 19:11; กจ 7:56 เป็นต้น)
แต่กระนั้น เราก็ยังคิดว่าสวรรค์ “ปิด” และเราเอื้อมไปไม่ถึง ... อย่างไรก็ตามสำหรับทุกคนที่เชื่อในพระเยซูเจ้า สวรรค์เปิดขึ้นแล้วเหนือศีรษะของเขา ผ่านทางพระเยซูเจ้า...
พระองค์ทอดพระเนตรเห็นพระจิตของพระเจ้าเสด็จลงมาเหนือพระองค์ดุจนกพิราบ
เราสังเกตเห็นแล้วว่านี่ไม่ใช่คำบรรยายภาพที่ตามองเห็น แต่เป็นธรรมล้ำลึก มัทธิวไม่ได้บอกว่ามีนกพิราบจริง ๆ เขาบอกอย่างชัดเจนว่าพระจิตเจ้าเสด็จลงมา “ดุจ” นกพิราบ ... คำว่า “ดุจ” นี้ไม่ใช่คำที่ขยายความหมายของคำว่า “พระจิตเจ้า” แต่ขยายคำกริยา “เสด็จลงมา” ทำให้ภาพนี้น่าพิศวง และมีความหมายมากที่สุด ตำราของรับบีเปรียบเทียบความเคลื่อนไหวของพระจิตของพระเจ้าว่าเหมือนกับนกพิราบ "บินอยู่เหนือลูก ๆ ของมัน บินใกล้ ๆ โดยไม่สัมผัสตัวลูก” ... พระจิตของพระเจ้าก็พัดอยู่เหนือน้ำในลักษณะนี้ (ปฐก 1:2) ... ใจความของการเปรียบเทียบนี้ต้องการย้ำในเวลาเดียวกันว่า
- พระจิตของพระเจ้ายังแยกอยู่ต่างหากจากโลกที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น แต่พระเยซูเจ้าในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ทรงเป็นส่วนหนึ่งของโลกนี้ ผ่านทางพระกายของพระองค์ ... และ
- สัมผัสอันใกล้ชิด และละเอียดอ่อนของการทำงานของพระเจ้า แม้ว่าทรงแยกอยู่ต่างหากจากพระเยซูเจ้า แต่พระจิตเจ้าทรงอยู่ใกล้ชิดพระองค์มาก เหมือนนกพิราบบินไปมาอย่างอ่อนโยนเหนือรังของตน ที่ซึ่งมันได้ทำให้ชีวิตบังเกิดขึ้นมา ... พระจิตคือพระเจ้า ... และพระองค์ประทานชีวิต...
และมีเสียงจากสวรรค์กล่าวว่า “ผู้นี้เป็นบุตรสุดที่รักของเรา เป็นที่โปรดปรานของเรา”
พระศาสนจักรตะวันออกเฉลิมฉลองพระเยซูเจ้าทรงรับพิธีล้างโดยถือว่าเป็น “การแสดงองค์ของพระตรีเอกภาพ” นักบุญซีริลแห่งเยรูซาเล็ม อธิบายว่า “เพื่อให้พระองค์หนึ่งได้รับเจิม (= พระคริสตเจ้า) ต้องมีพระองค์หนึ่งเป็นผู้เจิม (พระบิดา) และพระองค์หนึ่งผู้เป็นการเจิมนั้น (พระจิตเจ้า) ถ้าปราศจากพระตรีเอกภาพ คำว่าพระคริสตเจ้าย่อมไม่มีความหมาย” ด้วยเหตุนี้ภาพที่แสดงเหตุการณ์ “การแสดงองค์ของพระเจ้า (theophany) จะเสนอภาพของพระเยซูเจ้าประทับยืนในแม่น้ำจอร์แดน ... เหนือพระเศียรปรากฏมือข้างหนึ่งซึ่งหมายถึงผู้เจิม คือพระบิดาผู้ที่เรามองไม่เห็น แต่พระสุรเสียงของพระองค์เป็นพยานรับรองพระเยซูเจ้า ... และนกพิราบซึ่งหมายถึงการเจิม ... พระเยซูเจ้าทรงเป็นหนึ่งในสามพระบุคคลในพระตรีเอกภาพแห่งความรักผู้ศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง ... วันนี้ เราได้ยินการเผยแสดงครั้งแรกของธรรมล้ำลึกข้อนี้...