เราได้เลือกท่าน
ยน 15:11-17
(11)เราบอกเรื่องเหล่านี้แก่ท่านทั้งหลายแล้ว เพื่อให้ความยินดีของเราอยู่กับท่าน และความยินดีของท่านจะสมบูรณ์ (12)นี่คือบทบัญญัติของเรา ให้ท่านทั้งหลายรักกัน เหมือนดังที่เรารักท่าน (13)ไม่มีใครมีความรักยิ่งใหญ่ กว่าการสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหาย (14)ท่านทั้งหลายเป็นมิตรสหายของเราถ้าท่านทำตามที่เราสั่งท่าน (15)เราไม่เรียกท่านว่าเป็นผู้รับใช้อีกต่อไป เพราะผู้รับใช้ไม่รู้ว่านายของตนทำอะไร เราเรียกท่านเป็นมิตรสหายเพราะเราแจ้งให้ท่านรู้ทุกสิ่งที่เราได้ยินมาจากพระบิดาของเรา (16)มิใช่ท่านทั้งหลายได้เลือกเรา แต่เราได้เลือกท่าน มอบภารกิจให้ท่านไปทำจนเกิดผล และผลของท่านจะคงอยู่ เพื่อว่าท่านจะขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา พระบิดาจะประทานแก่ท่าน (17)เราสั่งท่านทั้งหลายดังนี้ว่า ท่านทั้งหลายจงรักกัน
“มิใช่ท่านทั้งหลายได้เลือกเรา แต่เราได้เลือกท่าน”
พระเยซูเจ้าทรงเลือกเราเพื่อ
1. “เพื่อให้ความยินดีของเราอยู่กับท่าน และความยินดีของท่านจะสมบูรณ์” แม้ว่าหนทางชีวิตของคริสตชนจะยากลำบาก แต่เพราะเรามีชีวิตใหม่ที่ได้รับการไถ่กู้โดยพระเยซูเจ้าแล้ว ชีวิตของเราในโลกนี้จึงต้องเต็มเปี่ยมไปด้วยความยินดี และยิ่งไปกว่านั้น เป้าหมายชีวิตของเราในโลกหน้ายังได้แก่ความยินดีอย่างสมบูรณ์อีกด้วย เพราะฉะนั้น ความทุกข์และความโศกเศร้าจึงสวนทางกับชีวิตของคริสตชนโดยสิ้นเชิง
2. “ให้ท่านทั้งหลายรักกัน เหมือนดังที่เรารักท่าน” พระองค์ทรงเลือกสรรเราเพื่อให้พวกเรารักกันและกัน ไม่ใช่แก่งแย่งกัน ถกเถียงกัน หรือทะเลาะเบาะแว้งกัน
พระองค์ตรัสว่า “ไม่มีใครมีความรักยิ่งใหญ่ กว่าการสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหาย” และพระองค์ไม่เพียงแต่พูด แต่ได้ทรงกระทำแล้วโดยทรงยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อเราทุกคน และเพราะพระองค์ได้ทรงแสดงความรักอันยิ่งใหญ่ต่อเราก่อน พระองค์จึงมีสิทธิ์เรียกร้องให้เราทุกคนรักกันและกัน
หลายครั้ง การเทศน์สอนหรือการประกาศข่าวดีของเราไม่บังเกิดผล เพราะเราเรียกร้องให้ผู้อื่นรักกัน ในขณะที่ตัวเราเองดำเนินชีวิตราวกับว่าการแสดงความรักต่อผู้อื่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่เราตั้งใจจะทำ
3. “เราเรียกท่านเป็นมิตรสหาย” พระองค์ทรงเลือกเรามาเพื่อเป็น “เพื่อน”
พระองค์ตรัสว่า “เราไม่เรียกท่านว่าเป็นผู้รับใช้อีกต่อไป” คำ “ผู้รับใช้” ตรงกับภาษากรีก Doulos (ดูลอส) ซึ่งแปลว่า “ทาส”
คำว่า “ทาสของพระเจ้า” หรือ “ผู้รับใช้ของพระเจ้า” เป็นคำที่บรรดามหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ใช้เรียกตนเองด้วยความภาคภูมิใจ เช่น โมเสส (ฉธบ 34:5), โยชูวา (ยชว 24:29), ดาวิด (สดด 89:20), เปาโล (ทต 1:1), และ ยากอบ (ยก 1:1) เป็นต้น
แต่พระเยซูเจ้าทรงมีสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าอีกสำหรับเราทุกคน นั่นคือ เราไม่ใช่ผู้รับใช้หรือทาสอีกต่อไป แต่เราเป็นพระสหายของพระองค์
สมัยก่อน ในพระราชสำนักของจักรพรรดิโรมันและบรรดากษัตริย์ทางตะวันออก จะมีบุคคลกลุ่มหนึ่งได้รับเลือกให้เป็น “พระสหาย” พวกเขาเหล่านี้เป็นคนที่ใกล้ชิดและสนิทกับกษัตริย์มากที่สุด สามารถเข้านอกออกในได้ทุกแห่งและทุกเวลา แม้ในห้องบรรทมของกษัตริย์เอง ทุก ๆ เช้ากษัตริย์จะพูดคุยกับพวกเขาก่อนออกพบปะกับบรรดาแม่ทัพนาย กอง และนักการเมืองเสียอีก
เมื่อพระเยซูเจ้าทรงเลือกเรามาเป็น “สหายของพระเจ้า” จึงเป็นข้อเสนออันยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับเรามนุษย์ เพราะนับจากนี้ไป เราไม่ต้องชะเง้อมองพระเจ้าจากที่ไกล ๆ เราไม่เหมือนทาสซึ่งไม่มีสิทธิ์ปรากฏกายต่อหน้าพระพักตร์ และเราไม่เหมือนฝูงชนที่มีโอกาสพบเห็นกษัตริย์เพียงชั่วครู่ชั่วยามเมื่อมีพิธีการสำคัญ
ตรงกันข้าม เราเป็นสหายที่สนิทและใกล้ชิดพระเจ้ามากที่สุด !
4. นอกจากเป็น “เพื่อน” แล้ว พระองค์ยังเลือกเรามาเป็น “หุ้นส่วน” ของพระองค์อีกด้วย เพราะพระองค์ทรงตรัสว่า “เราแจ้งให้ท่านรู้ทุกสิ่งที่เราได้ยินมาจากพระบิดาของเรา”
นับเป็นเกียรติอันยิ่งใหญ่ที่พระองค์ทรงเลือกเราเป็นหุ้นส่วนของพระองค์ และทรงบอกเราว่าพระองค์กำลังจะทำอะไร และทำไปทำไม ตามที่ทรงทราบมาจากพระบิดา
จึงขึ้นกับเราแต่ละคนว่าจะ “ตอบรับ” หรือ “ปฏิเสธ” การเป็นหุ้นส่วนกับพระองค์ในอันที่จะทำให้โลกรู้จักพระเจ้า
5. พระองค์ทรงเลือกเรามาเพื่อ “มอบภารกิจให้ท่านไปทำ” นั่นคือให้เราเป็น “ทูต” หรือเป็น “ผู้แทนพระองค์” เพื่อนำพระองค์ไปสู่ประชาชนที่ยังไม่รู้จักพระองค์
วงจรชีวิตของคริสตชนจึงได้แก่การเข้ามาหาพระเยซูเจ้า เพื่อให้พระองค์ส่งเราไปทำภารกิจ และวนเวียนอยู่เช่นนี้จนกว่าพระองค์จะเรียกเราไปอยู่กับพระองค์
6. พระองค์ทรงเลือกเรามาเพื่อให้ “ทำจนเกิดผล” และเป็นผลที่คงอยู่ชั่วนิรันดร
ทุกวันนี้ เราจะเห็นว่าบริษัทที่ประสบความสำเร็จ คือบริษัทที่สามารถทำโฆษณาจนสามารถดึงดูดผู้อ่าน ผู้ฟัง หรือผู้ชมให้สนใจสินค้าของตนได้
การทำให้ภารกิจของพระเยซูเจ้าประสบความสำเร็จก็เช่นเดียวกัน เราต้องโฆษณาศาสนาคริสต์ด้วยการดำเนินชีวิตเยี่ยงคริสตชนที่ดี เพื่อว่าเมื่อผู้อื่นเห็นผลของการเป็นคริสตชนของเราแล้ว พวกเขาจะถูกดึงดูดให้อยากเป็นคริสตชนเช่นเดียวกับเรา
การถกเถียงเอาชนะกันด้วยปัญญา ด้วยสิ่งก่อสร้าง ด้วยการติดสินบน หรือด้วยการข่มขู่ใด ๆ ก็ตาม ล้วนไม่ใช่หนทางของพระเยซูเจ้า
7. พระองค์ทรงเลือกเรามาเพื่อให้ “มีอภิสิทธิ์ในฐานะสมาชิกของครอบครัวพระเจ้า” จนพระองค์กล้าตรัสว่า “เพื่อว่าท่านจะขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา พระบิดาจะประทานแก่ท่าน”
เงื่อนไขในการใช้อภิสิทธิ์
7.1 ต้องวอนขอด้วยความเชื่อ (ยก 5:15) ถ้าเราวอนขอพระเจ้าให้เป็นคนดีโดยที่ตัวเราไม่เชื่อว่าเราจะเป็นคนดีได้ คำวอนขอนั้นย่อมไม่เกิดผล
เราต้องพยายามทดแทนการท่องบทสวดซ้ำซากด้วยความเคยชิน ให้เป็นคำภาวนาที่เปี่ยมล้นด้วยความเชื่อในความรักของพระเจ้า
7.2 ต้องวอนขอในนามของพระเยซูเจ้า นั่นคือต้องมั่นใจว่าพระองค์จะเห็นชอบให้ทูลขอจากพระบิดาได้ แน่นอนว่าพระองค์ย่อมไม่อนุมัติให้เราส่งคำขอให้ศัตรูจงพินาศไปยังพระบิดา
7.3 ต้องวอนขอให้น้ำพระทัยจงสำเร็จไป เพราะไม่มีใครรู้ดีเท่าพระเจ้า การวอนขอให้เราพร้อมรับน้ำพระทัยของพระองค์จึงเป็นคำวอนขอที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน
7.4 ต้องวอนขออย่างไม่เห็นแก่ตัว พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ถ้าท่านสองคนในโลกนี้พร้อมใจกันอ้อนวอนขอสิ่งหนึ่งสิ่งใด พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์จะประทานให้” (มธ 18:19) ความหมายก็คือเราแต่ละคนต้องไม่ยึดเอาความต้องการของตนเองเป็นใหญ่
อะไรจะเกิดขึ้น หากวันนี้เราจะไปธุระนอกบ้าน จึงวอนขอไม่ให้ฝนตก ในขณะที่ชาวนาต้องการฝนใจจะขาด ?
ทางออกคือ เราแต่ละคนต้องเชื่อและไว้ใจในพระปรีชาญาณและความรักของพระเจ้า และพร้อมน้อมรับทุกอย่างที่พระองค์โปรดประทานแก่เรา
ยิ่งเรารักพระเจ้ามากเท่าใด เรายิ่งพร้อมน้อมรับน้ำพระทัยของพระองค์มากเท่านั้น !