สมโภชพระตรีเอกภาพ
ข่าวดี ยอห์น 16:12-15
(12)เรายังมีอีกหลายเรื่องที่จะบอกท่าน
แต่บัดนี้ท่านยังรับไว้ไม่ได้
(13)เมื่อพระจิตแห่งความจริงเสด็จมา
พระองค์จะทรงนำท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล
พระองค์จะไม่ตรัสโดยพระองค์เอง
แต่จะตรัสทุกสิ่งที่ทรงได้ฟังมา
และจะทรงแจ้งให้ท่านรู้เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น
(14)พระองค์จะทรงให้เราได้รับพระสิริรุ่งโรจน์
เพราะพระองค์จะทรงแจ้งให้ท่านรู้คำสอนที่ทรงได้รับจากเรา
(15)ทุกสิ่งที่พระบิดาทรงมีนั้นก็เป็นของเราด้วย
ดังนั้น เราจึงบอกว่า
พระจิตเจ้าจะทรงแจ้งให้ท่านรู้คำสอนที่ทรงรับจากเรา
พระเยซูเจ้าตรัสว่าพระองค์ทรงมีทุกสิ่งที่พระบิดาทรงมี และทรงมีอีกหลายเรื่องที่จะบอกเราโดยผ่านทางพระจิตเจ้า
พระองค์กำลังกล่าวถึงพระองค์เอง รวมถึงพระบิดา และพระจิตด้วย
ทั้งสามพระบุคคลคือ พระบิดา พระบุตร และพระจิต ต่างเป็นพระเจ้าแท้และหนึ่งเดียว ซึ่งพระศาสนจักรเรียกรวมกันว่า “พระตรีเอกภาพ”
ในบท “ข้าพเจ้าเชื่อ” เราจึงยืนยันพร้อมกันว่า
1. ข้าพเจ้าเชื่อในพระเจ้าหนึ่งเดียว
2. พระบิดา คือ ผู้ทรงสรรพานุภาพ เนรมิตฟ้าดิน ทั้งสิ่งที่เห็นได้และเห็นไม่ได้
3. พระบุตร ทรงบังเกิดจากพระบิดาก่อนกาลเวลา และทรงเป็นพระเจ้าแท้จากพระเจ้าแท้
4. พระจิต คือ พระเจ้าผู้ทรงบันดาลชีวิต ทรงเนื่องมาจากพระบิดาและพระบุตร
น่าสังเกตว่าพระศาสนจักรกล่าวถึงกำเนิดของพระบุตรไว้ว่า “ทรงบังเกิดจากพระบิดา” ส่วนพระจิต “ทรงเนื่องมาจากพระบิดาและพระบุตร”
นักบุญโธมัส อะไควนัส นักปราชญ์ของพระศาสนจักรได้อธิบายความแตกต่างระหว่าง “บังเกิดจาก” และ “เนื่องจาก” ไว้ดังนี้
ธรรมชาติของ “จิต” คือมี สติปัญญาและน้ำใจ
พระเจ้าทรงเป็นจิตล้วน จึงทรงมีสติปัญญาสำหรับคิด และน้ำใจสำหรับรัก
- สิ่งที่พระเจ้าทรงคิดตั้งแต่นิรันดรคือ “ตัวพระองค์เอง” เพราะไม่มีสิ่งใดอื่น
- ความคิด “ก่อให้เกิด” ตัวแทนของสิ่งที่ทรงคิด (ตัวอย่างเช่น เวลาเราคิดถึง “วัด” เรากำลังก่อให้เกิด “ตัวแทน” ของวัด หรือ “มโนภาพ” ของวัดขึ้นในความคิดของเรา ซึ่งอาจเป็นวัดของเราเองหรือเป็นวัดที่เราเคยจาริกแสวงบุญมาแล้วก็ได้)
- เนื่องจากพระเจ้าทรงปราศจากขอบเขต ความคิดของพระองค์ย่อมไม่มีขอบเขต นั่นคือทรงคิดครั้งเดียวก็ครบครันและครอบคลุมทุกสิ่งแล้ว ดังนั้น “ตัวแทน” ของสิ่งที่ “เกิด” จากความคิดของพระองค์จึงมีเพียงหนึ่งเดียวและไม่มีขอบเขตด้วย พระคัมภีร์เรียก “ตัวแทน” ที่เกิดจากความคิดนี้ว่า “พระวจนาตถ์” (ยน 1:1; 1 ยน 1:1), “พระปรีชาญาณ” (1 คร 1:30) ฯลฯ
- เพราะความคิดของพระเจ้า “ก่อให้เกิด” ตัวแทนความคิดที่เรียกว่า “พระวจนาตถ์” ความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับพระวจนาตถ์จึงได้แก่ “พ่อ-ลูก” หรือ “พระบิดา และ พระบุตร”
จากภาษาเชิงเปรียบเทียบดังกล่าว จึงนำมาสู่การยืนยันว่า “ข้าพเจ้าเชื่อในพระเยซูคริสตเจ้า พระบุตรหนึ่งเดียวของพระเจ้า ทรงบังเกิดจากพระบิดาก่อนกาลเวลา ทรงเป็นพระเจ้าจากพระเจ้า เป็นองค์ความสว่างจากองค์ความสว่าง เป็นพระเจ้าแท้จากพระเจ้าแท้ มิได้ถูกสร้าง แต่ทรงบังเกิดร่วมพระธรรมชาติเดียวกับพระบิดา….”
นอกจากทรงมีสติปัญญาสำหรับคิดแล้ว พระเจ้ายังทรงมีน้ำใจสำหรับรักอีกด้วย
- ตั้งแต่นิรันดร พระบิดาทรงรักพระบุตรอย่างไม่มีขอบเขต
- เมื่อเรารักใครสักคน มโนภาพของคนรักย่อมเกิดขึ้นในความคิดของเราดังได้กล่าวมาแล้ว แต่ความรักไม่ได้ก่อให้เกิดมโนภาพเช่นเดียวกับความคิด แต่โน้มน้าวให้เราและคนที่เรารักมีความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกัน
- ฉันใดก็ฉันนั้น ความรักของพระบิดาไม่ได้ก่อให้เกิดมโนภาพของพระบุตรผู้เป็นที่รัก เพียงแต่โน้มน้าวให้ทั้งพระบิดาและพระบุตรมีความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกัน
- ความรักอันไม่มีขอบเขตจึงไม่ได้เกิดจากพระบิดา แต่ “เนื่อง” มาจากพระบิดาและพระบุตร (ผู้ทรงรักซึ่งกันและกัน)
- ความรักอันเนื่องมาจากพระบิดาและพระบุตรนี้ เป็นผลงานของ “น้ำใจ” หรือ “จิตใจ” ของพระเจ้า จึงได้รับพระนามว่า “พระจิต”
เราจึงยืนยันว่า “ข้าพเจ้าเชื่อในพระจิต พระเจ้าผู้ทรงบันดาลชีวิต ทรงเนื่องมาจากพระบิดาและพระบุตร ทรงรับการถวายสักการะและพระสิริรุ่งโรจน์ร่วมกับพระบิดาและพระบุตร”
นี่คือความเชื่อของเราคริสตชน !
นั่นคือ “พระเจ้าเดียวทรงเป็นสามพระบุคคล” หรือที่เราเรียกว่า “พระตรีเอกภาพ” ซึ่งเราร่วมใจกันสมโภชในวันนี้
“พระตรีเอกภาพ” ทำให้เราตระหนักชัดว่า “พระเจ้าคือผู้ทรงชีวิต” เพราะทรงมีกิจกรรมอันเนื่องมาจาก “สติปัญญา” และ “น้ำใจ” อยู่เสมอ
พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแห่ง “ปรีชาญาณ” และ “ความรัก” !!!
นี่เป็นความเชื่อที่ทรงคุณค่าและมีความหมายต่อเราอย่างยิ่ง !!
เพราะพระองค์ไม่ได้เป็นเพียงพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ แต่อยู่ห่างไกล และไม่เกี่ยวข้องกับเรามนุษย์
ตรงกันข้าม พระองค์ทรงรัก และทรงหยิบยื่นความสัมพันธ์ที่ผูกพันทั้งสามพระบุคคลให้เป็นหนึ่งเดียวกัน แก่เรามนุษย์ทุกคนด้วย
ขึ้นอยู่กับว่า วันนี้ เราจะวางใจใน “พระปรีชาญาณ” ของพระเจ้า และตอบรับ “ความรัก” ของพระองค์หรือไม่เท่านั้น ?!?
อนึ่ง พระวรสารวันนี้ยังแสดงให้เห็นว่า “ความจริงเกี่ยวกับพระเจ้า” ซึ่งได้รับการถ่ายทอดมาสู่มนุษย์โดยอาศัยกระบวนการที่เรียกว่า “การไขแสดง” นั้น มีหลักการดังนี้
1. การไขแสดงเป็นกระบวนการที่ค่อยเป็นค่อยไปและต้องใช้เวลา ดังที่พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เรายังมีอีกหลายเรื่องที่จะบอกท่าน แต่บัดนี้ท่านยังรับไว้ไม่ได้” (ข้อ 12)
เรารับไว้ไม่ได้เพราะเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ไม่สามารถรับรู้หรือเข้าใจสิ่งที่เกินความสามารถได้ ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่สอนวิชาการชั้นสูงแก่เด็กอนุบาล แต่จะค่อย ๆ เตรียมความพร้อมและเพิ่มความรู้ให้แก่เด็กทีละเล็กทีละน้อย
พระเจ้าทรงตระหนักถึงข้อจำกัดเหล่านี้ดี พระองค์จึงทยอย “ไขแสดง” ความจริงตามความพร้อมของเรามนุษย์
หลายครั้งเมื่ออ่านพระธรรมเก่า เราอาจรู้สึกสะดุดใจและรับข้อความบางตอนไม่ได้ เช่น “เมื่อพระยาห์เวห์ พระเจ้าของท่าน จะทรงมอบเมืองนั้นไว้ในอำนาจของท่านแล้ว ท่านจะต้องใช้ดาบประหารผู้ชายทุกคน” (ฉธบ 20:13) “แต่ในเมืองของชนชาติเหล่านี้ที่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของท่าน จะทรงมอบให้เป็นมรดกแก่ท่าน ท่านจะต้องไม่ไว้ชีวิตผู้ใดเลย ท่านจะต้องทำลายล้างชนชาติเหล่านี้ทั้งหมด คือชาวฮิตไทต์ ชาวอาโมไรต์ ชาวคานาอัน ชาวเปริสซี ชาวฮีไวต์ และชาวเยบุส ดังที่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของท่าน ทรงบัญชาท่านไว้ เกรงว่าเขาจะสอนท่านให้ทำสิ่งน่ารังเกียจ ดังที่เขาทำถวายเกียรติแด่เทพเจ้าของเขา” (ฉธบ 20:16-18)
แน่นอนว่านี่เป็นการไขแสดงของพระเจ้า !
เพียงแต่ว่าเป็นการไขแสดงเท่าที่เหมาะสมกับชาวยิวในยุคนั้น ซึ่งสามารถรับรู้เพียงว่า “ต้องปกป้องศาสนาให้บริสุทธิ์” จากกลิ่นอายของคนต่างศาสนา ด้วยการ “ทำลาย” พวกเขาให้สิ้นซากไปเท่านั้น
ต่อเมื่อชาวยิวมีความพร้อม พระเยซูเจ้าจึงไขแสดงว่า หนทางที่ดีกว่าในการปกป้องศาสนาให้บริสุทธิ์คือ การทำให้คนต่างศาสนา “กลับใจ” มาเป็นบุตรของพระเจ้า !!!
และเนื่องจากการไขแสดงเป็นกระบวนการที่ค่อยเป็นค่อยไปและต้องใช้เวลา เราจึงกล่าวได้ว่า “การไขแสดงไม่มีวันสิ้นสุด”
เราเคยคิดกันว่าการไขแสดงมีอยู่เฉพาะในพระคัมภีร์ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็เท่ากับว่าการไขแสดงได้สิ้นสุดไปแล้วตั้งแต่ปี ค.ศ. 120 อันเป็นปีที่หนังสือเล่มสุดท้ายของพระธรรมใหม่ได้รับการจารึกไว้
แต่พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เมื่อพระจิตแห่งความจริงเสด็จมา พระองค์จะทรงนำท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล” (ข้อ 13)
แปลว่า พระจิตเจ้ายังทำงานอย่างแข็งขันอยู่ท่ามกลางเรา เพื่อไขแสดงความจริงอันยิ่งใหญ่ของพระเยซูเจ้าต่อไปอีกนานตราบเท่านาน
ขึ้นอยู่กับว่าเรามุ่งมั่นแสวงหาความจริงมากน้อยเพียงใดเท่านั้น ?
2. พระเจ้าทรงไขแสดงความจริงทุกเรื่อง ดังที่ทรงตรัสว่า “พระองค์จะทรงนำท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล” (ข้อ 13)
การไขแสดงไม่ได้ถูกจำกัดอยู่เพียงเรื่องราวเกี่ยวกับเทวศาสตร์หรือพระคัมภีร์ และไม่ใช่เฉพาะนักเทวศาสตร์หรือพระสงฆ์เท่านั้นที่ได้รับการดลใจจากพระจิตเจ้าให้เข้าถึงความจริง
เพราะพระจิตเจ้าทรงไขแสดงความจริงทุกเรื่อง !
นักวิทยาศาสตร์ผู้ค้นพบสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ ที่ช่วยให้ชีวิตความเป็นอยู่ของเราดีขึ้น แพทย์ผู้ค้นพบเทคนิคใหม่ ๆ ในการช่วยชีวิตหรือบรรเทาความเจ็บปวดของมนุษย์ นักประพันธ์ผู้เขียนบทความที่จรรโลงจิตใจมนุษย์ ฯลฯ ท่านเหล่านี้ล้วนได้รับการดลใจและการไขแสดงจากพระจิตเจ้าทั้งสิ้น
เพราะว่าความจริงทั้งมวลล้วนเป็นของพระเจ้า และพระจิตเจ้าทรงนำเราไปสู่ความจริงทั้งมวล !
3. การไขแสดงคือการเปิดเผยความจริงที่พระเยซูเจ้าทรงสอน พระองค์ตรัสว่า “พระจิตเจ้าจะทรงแจ้งให้ท่านรู้คำสอนที่ทรงรับจากเรา” (ข้อ 15) และ “พระองค์จะไม่ตรัสโดยพระองค์เอง แต่จะตรัสทุกสิ่งที่ทรงได้ฟังมา” (ข้อ 13)
เนื่องจากพระเยซูเจ้าทรงมีทุกสิ่งที่พระบิดาทรงมี (ข้อ 15) ซึ่งไม่มีขอบเขต จึงไม่มีมนุษย์ผู้ใดสามารถรับและเข้าใจคำสอนของพระองค์ได้ทั้งหมด แต่พระจิตเจ้าจะทรงไขแสดงว่าคำสอนของพระองค์มีความหมายต่อชีวิต ต่อครอบครัว ต่อสังคม ต่อประเทศชาติ และต่อโลกของเราอย่างไร !
และเพราะสิ่งที่พระจิตเจ้าทรงไขแสดงคือคำสอนของพระเยซูเจ้า ฉะนั้น “เรายิ่งเจริญชีวิตใกล้ชิดพระเยซูเจ้ามากเท่าใด เรายิ่งได้รับการไขแสดงมากขึ้นเท่านั้น”
โอกาสสมโภชความเป็น “หนึ่งเดียว” กันของพระบิดา พระบุตร และพระจิต น่าจะกระตุ้นเตือนให้เราเป็น “หนึ่งเดียว” กับพระเยซูเจ้ามากขึ้น
เพื่อเราจะได้รับการไขแสดง “ความจริง” มากขึ้น
“ความจริง” ซึ่งจะทำให้เราเป็นอิสระ (ยน 8:32) !