วันพฤหัสบดี วันที่เจ็ด ในอัฐมวารพระคริสตสมภพ
บทอ่านจากพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญยอห์น (ยน 1:1-18)
เมื่อแรกเริ่มนั้น พระวจนาตถ์ทรงดำรงอยู่แล้ว พระวจนาตถ์ประทับอยู่กับพระเจ้า และพระวจนาตถ์เป็นพระเจ้า พระองค์ประทับอยู่กับพระเจ้าแล้วตั้งแต่แรกเริ่ม พระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่งอาศัยพระวจนาตถ์ ไม่มีสักสิ่งเดียวที่พระเจ้าไม่ทรงสร้าง โดยทางพระวจนาตถ์ ชีวิตอยู่ในพระองค์ และชีวิตเป็นแสงสว่างสำหรับมนุษย์ แสงสว่างส่องในความมืด และความมืดชนะแสงสว่างนั้นไม่ได้
พระเจ้าทรงส่งชายผู้หนึ่งมา เขาชื่อยอห์น เขามาในฐานะพยาน เพื่อเป็นพยานถึงแสงสว่าง ให้ทุกคนมีความเชื่ออาศัยเขา เขาไม่ใช่แสงสว่าง แต่เป็นพยานถึงแสงสว่าง
แสงสว่างแท้จริงซึ่งส่องสว่างแก่มนุษย์ทุกคนกำลังจะมาสู่โลก พระวจนาตถ์ประทับอยู่ในโลก และโลกถูกสร้างโดยอาศัยพระองค์ แต่โลกไม่รู้จักพระองค์ พระองค์เสด็จมาสู่บ้านเมืองของพระองค์ แต่ประชากรของพระองค์ไม่ยอมรับพระองค์ ผู้ใดที่ยอมรับพระองค์ คือผู้ที่เชื่อในพระนามพระองค์ พระองค์ประทานอำนาจให้ผู้นั้นกลายเป็นบุตรของพระเจ้า เขามิได้เกิดจากสายเลือด มิได้เกิดจากความปรารถนาตามธรรมชาติ มิได้เกิดจากความต้องการของมนุษย์ แต่เกิดจากพระเจ้า พระวจนาตถ์ทรงรับธรรมชาติมนุษย์ และเสด็จมาประทับอยู่ในหมู่เรา เราได้เห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ เป็นพระสิริรุ่งโรจน์ที่ทรงรับจากพระบิดา ในฐานะพระบุตรเพียงพระองค์เดียว เปี่ยมด้วยพระหรรษทานและความจริง
ยอห์นเป็นพยานถึงพระองค์ และประกาศว่า “ผู้ที่มาภายหลังข้าพเจ้า ได้นำหน้าข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนข้าพเจ้า” จากความไพบูลย์ของพระองค์ เราทุกคนได้รับพระหรรษทานต่อเนื่องกัน เพราะพระเจ้าได้ประทานธรรมบัญญัติผ่านทางโมเสส แต่พระหรรษทานและความจริงมาทางพระเยซูคริสตเจ้า ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าเลย พระบุตรเพียงพระองค์เดียวผู้สถิตในพระอุระของพระบิดานั้นได้ทรงเปิดเผยให้เรารู้
ยน 1:1 เมื่อแรกเริ่มนั้น : พระวรสารเริ่มต้นโดยการเปิดเผยเรื่องพระเทวภาพของพระคริสตเจ้า ผู้ทรงเป็นพระวาจานิรันดรของพระเจ้า พระวจนาตถ์: ตั้งแต่นิรันดรภาพ พระเจ้าพระบิดาทรงให้กำเนิดพระวจนาตถ์ ผู้ซึ่งเป็นบุคคลศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า คือองค์พระบุตร และโดยทางพระวจนาตถ์นี้เองที่พระองค์ทรงสร้างจักรวาล พระวจนาตถ์อยู่กับพระเจ้า และพระวจนาตถ์คือพระเจ้า : ข้อความนี้เปิดเผยถึงข้อคำสอนเรื่องพระตรีเอกภาพ กล่าวคือ พระวจนาตถ์ ซึ่งเป็นพระเจ้าพระบุตร ทรงมีพระธรรมชาติเดียวกับพระเจ้าพระบิดา แต่แตกต่างจากพระเจ้าพระบิดาตรงที่ทรงเป็นพระบุตรของพระองค์
CCC ข้อ 102 อาศัยถ้อยคำทั้งหมดในพระคัมภีร์ พระเจ้าตรัสเพียงพระวาจาเดียวเท่านั้น ได้แก่ “พระวจนาตถ์” เพียงหนึ่งเดียวของพระองค์ ในพระวจนาตถ์นี้เองพระองค์ทรงสำแดงพระองค์ทั้งหมด “พี่น้องทั้งหลายจำได้ว่าพระวาจา (หรือ “พระวจนาตถ์”) หนึ่งเดียวของพระเจ้านี้แผ่ขยายอยู่ทั่วพระคัมภีร์ และดังก้องแผ่ขยายไปอาศัยปากของบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ การที่พระวจนาตถ์ (หรือ “พระวาจา”) นี้ทรงเป็นพระเจ้าและประทับอยู่กับพระเจ้าตั้งแต่แรกเริ่ม พระวาจานี้จึงไม่มีหลายพยางค์ เพราะไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา”
CCC ข้อ 240 พระเยซูเจ้าทรงเปิดเผยว่าพระเจ้าทรงเป็น “พระบิดา” ในความหมายที่ไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อน – พระเจ้าไม่ทรงเป็นพระบิดาเพียงในฐานะพระผู้เนรมิตสร้าง และทรงเป็นพระบิดาตั้งแต่นิรันดรโดยความสัมพันธ์ต่อพระบุตรเพียงพระองค์เดียว ซึ่งทรงเป็นพระบุตรตั้งแต่นิรันดรก็โดยความสัมพันธ์ที่ทรงมีต่อพระบิดาด้วยเช่นเดียวกัน “ไม่มีใครรู้จักพระบุตร นอกจากพระบิดาและไม่มีใครรู้จักพระบิดา นอกจากพระบุตรและผู้ที่พระบุตรทรงเปิดเผยให้รู้” (มธ 11:27)
CCC ข้อ 241 เพราะเหตุนี้ บรรดาอัครสาวกจึงประกาศว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็น “พระวจนาตถ์” ซึ่ง “ตั้งแต่แรกเริ่มประทับอยู่กับพระเจ้า และพระวจนาตถ์เป็นพระเจ้า” (ยน 1:1) เป็นพระองค์ “ผู้ทรงเป็นภาพลักษณ์ของพระเจ้าที่เรามองไม่เห็น” (คส 1:15) และทรงเป็น “รังสีแห่งพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า” (ฮบ 1:3)
CCC ข้อ 242 ในสมัยต่อมา พระศาสนจักรดำเนินตามธรรมประเพณีของบรรดาอัครสาวกก็ได้ประกาศในสภาสังคายนาครั้งแรกที่เมืองนีเชอาเมื่อปี ค.ศ. 325 ว่าพระบุตร “ทรงบังเกิดร่วมพระธรรมชาติเดียวกันกับพระบิดา” นั่นคือทรงเป็นพระเจ้าหนึ่งเดียวกันกับพระบิดา สภาสังคายนาสากลครั้งที่ 2 ซึ่งประชุมกันที่กรุงคอนสแตนติโนเปิลเมื่อปี ค.ศ. 381 ยังคงรักษาสูตรยืนยันความเชื่อของสภาสังคายนาแห่ง นีเชอานี้ไว้และประกาศ “พระบุตรหนึ่งเดียวของพระเจ้า ทรงบังเกิดจากพระบิดาก่อนกาลเวลา ทรงเป็นองค์ความสว่างจากองค์ความสว่าง ทรงเป็นพระเจ้าแท้จากพระเจ้าแท้ มิได้ทรงถูกสร้าง แต่ทรงบังเกิดร่วมพระธรรมชาติเดียวกับพระบิดา”
CCC ข้อ 454 พระนาม “พระบุตรของพระเจ้า” หมายถึงความสัมพันธ์เฉพาะตั้งแต่นิรันดรของพระเยซูคริสตเจ้ากับพระเจ้าพระบิดาของพระองค์ พระองค์ทรงเป็นพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระบิดา และพระองค์ก็ทรงเป็นพระเจ้าด้วย ผู้ใดจะเป็นคริสตชนได้จำเป็นต้องเชื่อว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า
ยน 1:3 พระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่งโดยทางพระวจนาตถ์ คือพระคริสตเจ้า และทรงทำให้พระองค์เป็นที่รู้จักโดยอาศัยสิ่งสร้างของพระองค์ แม้ว่าสิ่งสร้างจะเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดที่สุดกับพระเจ้าพระบิดา แต่พระตรีเอกภาพทั้งครบก็มีส่วนร่วมในงานนี้เช่นกัน อำนาจในการสร้างนั้นมาจากพระพลานุภาพ ซึ่งเป็นคุณลักษณะของพระเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น
CCC ข้อ 54 “พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างและทรงค้ำชูสรรพสิ่งไว้ด้วยพระวจนาตถ์ โปรดให้สิ่งที่ทรงเนรมิตสร้างมานั้นเป็นพยานถึงพระองค์อยู่เสมอ นอกจากนั้นยังทรงมีพระประสงค์ที่จะเบิกทางไปสู่ความรอดพ้นเหนือธรรมชาติ จึงทรงแสดงพระองค์ให้แก่บิดามารดาเดิมของเราตั้งแต่แรก” พระองค์ทรงเชิญเขาทั้งสองให้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระองค์ โดยประทาน พระหรรษทานและความชอบธรรมรุ่งเรืองให้เขา
CCC ข้อ 290 “เมื่อแรกเริ่มนั้น พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดิน” (ปฐก 1:1) คำเริ่มแรกของพระคัมภีร์นี้ยืนยันความจริงสามประการ คือ พระเจ้านิรันดรทรงทำให้ทุกสิ่งที่อยู่นอกพระองค์เริ่มมีขึ้น พระองค์เพียงผู้เดียวทรงเป็น “พระผู้เนรมิตสร้าง” (กริยา “เนรมิตสร้าง” หรือ “bara’” ในภาษาฮีบรู มี “พระเจ้า” เป็น “ประธาน” เสมอ) เอกภพของทุกสิ่งที่เป็นอยู่ (วลี “ฟ้าและแผ่นดิน”) ล้วนขึ้นกับพระองค์ผู้ประทานความเป็นอยู่ให้
CCC ข้อ 291 “เมื่อแรกเริ่มนั้น พระวจนาตถ์ทรงดำรงอยู่แล้ว [….] พระวจนาตถ์เป็นพระเจ้า [….] พระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่งอาศัยพระวจนาตถ์ ไม่มีสักสิ่งเดียวที่พระเจ้าไม่ทรงสร้างโดยทางพระวจนาตถ์” (ยน 1:1-3) พันธสัญญาใหม่เปิดเผยว่าพระเจ้าทรงเนรมิตสร้างทุกสิ่งอาศัยพระวจนาตถ์นิรันดร พระบุตรสุดที่รักของพระองค์ “สรรพสิ่งทั้งในสวรรค์และบนแผ่นดิน [….] ทุกสิ่งถูกเนรมิตขึ้นโดยพระองค์และเพื่อพระองค์ พระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนสรรพสิ่ง และสรรพสิ่งดำรงอยู่เป็นระเบียบในพระองค์” (คส 1:16-17) ความเชื่อของพระศาสนจักรยังยืนยันเช่นเดียวกันถึงพระราชกิจเนรมิตสร้างของพระจิตเจ้า พระผู้ซึ่งเราประกาศว่าเป็น “ผู้ทรงบันดาลชีวิต” ทรงเป็น “พระจิตผู้ทรงเนรมิตสร้าง” (ในบท “Veni, Creator Spiritus”) ทรงเป็น “บ่อเกิดแห่งความดี”
CCC ข้อ 292 พระราชกิจการเนรมิตสร้างของพระบุตรและพระจิตเจ้า ซึ่งเป็นหนึ่งเดียวอย่างแยกกันไม่ได้กับการเนรมิตสร้างของพระบิดา ก็ได้รับการกล่าวถึงเป็นนัยแล้วในพันธสัญญาเดิม ได้รับการเปิดเผยในพันธสัญญาใหม่ ได้รับการยืนยันอย่างชัดเจนในข้อความเชื่อของพระศาสนจักร “ที่นี่มีพระเจ้าเพียงพระองค์เดียว [….] ที่นี่มีพระบิดา ที่นี่มีพระเจ้า ที่นี่มีพระผู้สถาปนา ที่นี่มีพระผู้ทำ ที่นี่มีพระผู้ก่อสร้าง ผู้ที่ทรงกระทำทุกสิ่งเหล่านี้ ด้วยพระองค์เอง นั่นคืออาศัยพระวจนาตถ์และพระปรีชาของพระองค์” “พระบุตรและพระจิต” ทรงเป็นเสมือน “พระหัตถ์” ของพระองค์ การเนรมิตสร้างเป็นผลงานของพระตรีเอกภาพ
ยน 1:4 ชีวิตอยู่ในพระองค์ : พระเจ้าคือผู้ประทานชีวิต จึงไม่มีสิ่งใดอยู่เองได้โดยปราศจากพระองค์ ในที่นี้ ยอห์นกล่าวถึงชีวิตของพระเจ้า ซึ่งมีต้นกำเนิดอยู่ในพระคริสตเจ้า และเป็นที่มาของชีวิตทั้งในระดับธรรมชาติและเหนือธรรมชาติ
CCC ข้อ 668 “พระคริสตเจ้าสิ้นพระชนม์และกลับคืนพระชนมชีพ เพื่อจะเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าทั้งของผู้ตายและของผู้เป็น” (รม 14:9) การที่พระคริสตเจ้าเสด็จสู่สวรรค์หมายความว่าสภาพมนุษย์ของพระองค์มีส่วนในอำนาจและพระอานุภาพของพระเจ้าเอง พระเยซูคริสตเจ้าทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงอำนาจทุกอย่างทั้งในสวรรค์และบนแผ่นดิน พระองค์ทรงอยู่ “เหนือเทพนิกรเจ้า เทพนิกรอำนาจ เทพนิกรฤทธิ์ เทพนิกรนาย” เพราะพระบิดา “ทรงวางทุกสิ่งไว้ใต้พระบาทของพระคริสตเจ้า” (อฟ 1:20-22) พระคริสตเจ้าทรงเป็นเจ้านายของสากลโลกและประวัติศาสตร์ ในพระองค์ ประวัติศาสตร์ของมนุษย์และสิ่งสร้างทั้งมวลด้วย “ได้รับการฟื้นฟูขึ้นใหม่พร้อมกันอีก”และได้รับศักดิ์ศรียิ่งใหญ่กว่าเดิม
CCC ข้อ 1015 “ร่างกายเป็นเดือยแห่งความรอดพ้น” เราเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงเนรมิตสร้างร่างกาย เราเชื่อในพระวจนาตถ์ผู้ทรงรับสภาพมนุษย์เพื่อไถ่มนุษย์ให้รอดพ้น เราเชื่อในการกลับคืนชีพของร่างกาย ซึ่งเป็นจุดยอดของการเนรมิตสร้างและการไถ่กู้
ยน 1:4-9 แสงสว่าง : พระคริสตเจ้าทรงเป็น “แสงสว่าง” “แสงสว่างของโลก” และ “แสงสว่างเที่ยงแท้” ผู้ซึ่งแทงทะลุความมืดของบาปและส่องทางสู่ความรอดพ้น ในศีลล้างบาปคริสตชนกลายเป็น “ผู้รับรู้” และรับ “แสงสว่างของพระคริสตเจ้า” การส่องสว่างนี้ช่วยให้คริสตชนสามารถมองเห็นด้วยสายตาแห่งความเชื่อ และกลายเป็น “แสงสว่างของโลก” โดยทำหน้าที่เป็นดวงประทีปแห่งความรักของพระเจ้า
CCC ข้อ 457 พระวจนาตถ์ทรงรับธรรมชาติมนุษย์ก็เพื่อช่วยเราให้รอดพ้นโดยทำให้เราคืนดีกับพระเจ้า พระเจ้า “ทรงรักเราและทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาเพื่อชดเชยบาปของเรา” (1 ยน 4:10) “พระบิดาทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาเป็นพระผู้ไถ่โลก” (1 ยน 4:14) “พระองค์ทรงปรากฏเพื่อทรงลบล้างบาปให้สิ้นไป” (1 ยน 3:5) “ธรรมชาติของเรา เมื่อเจ็บป่วยย่อมต้องการแพทย์ มนุษย์ที่ล้มลงย่อมต้องการผู้ช่วยพยุงให้ลุกขึ้น ผู้ที่สิ้นชีวิตแล้วย่อมต้องการผู้ให้ชีวิต ผู้ที่สูญเสียความดีย่อมต้องการผู้นำกลับมาพบความดีอีก ผู้ที่ถูกกักขังในความมืดย่อมต้องการให้มีแสงสว่าง ผู้ถูกจับเป็นเชลยย่อมแสวงหาผู้ช่วยไถ่ให้รอดพ้น ผู้ถูกจองจำย่อมต้องการผู้ช่วยเหลือ ผู้ที่เป็นทาสย่อมต้องการผู้ช่วยให้มีอิสรภาพ นี่เป็นเรื่องเล็กน้อยไม่พอจะชักชวนพระเจ้าให้เสด็จลงมาเยี่ยมเยียนมนุษยชาติในเมื่อมนุษยชาติตกอยู่ในสภาพเป็นทุกข์และน่าสงสารถึงเพียงนี้ดอกหรือ”
CCC ข้อ 1216 “การล้างนี้ยังมีชื่อเรียกอีกว่า ‘การส่องสว่าง’ เพราะผู้ที่เรียนคำสอนได้รับการส่องสว่างในจิตใจ” ผู้รับศีลล้างบาป เมื่อได้รับในศีลล้างบาปพระวจนาตถ์ (หรือ “พระวาจา”) ซึ่งเป็น “แสงสว่างแท้จริงซึ่งส่องสว่างแก่มนุษย์ทุกคน” (ยน 1:9) เมื่อ “ได้รับความสว่าง” แล้ว เขาก็กลับเป็น “บุตรแห่งความสว่าง” และเขาเองก็เป็น “แสงสว่าง” (อฟ 5:8) ด้วย
ศีลล้างบาปเป็น “ของประทานยิ่งใหญ่และงดงามที่สุดของพระเจ้า […] เราเรียกศีลนี้ว่าเป็น ของประทาน พระหรรษทาน ศีลล้างบาป การเจิม การส่องสว่าง อาภรณ์ของความไม่รู้จักเสื่อมสลาย การล้างที่บันดาลให้เกิดใหม่ ตราประทับ และในที่สุดเรียกด้วยนามที่ยอดเยี่ยมที่สุดกว่านามใดๆ คือ ศีลนี้ได้ชื่อว่า ของประทาน เพราะพระเจ้าประทานให้แก่ผู้ที่ไม่เคยนำอะไรมาถวายเลย ได้ชื่อว่า พระหรรษทาน เพราะพระเจ้าประทานให้แม้แก่คนบาป ได้ชื่อว่า ศีลล้างบาป เพราะบาปถูกฝังไว้ในน้ำ ได้ชื่อว่า การเจิม เพราะทำให้ผู้รับศักดิ์สิทธิ์และเป็นกษัตริย์(เหมือนผู้ที่ได้รับการเจิมในอดีต) ได้ชื่อว่า การส่องสว่าง เพราะส่องแสงสว่างเจิดจ้า ได้ชื่อว่า อาภรณ์ เพราะปิดบังความน่าอายของเราไว้ ได้ชื่อว่า การล้าง เพราะชำระล้าง ได้ชื่อว่า ตราประทับ เพราะเป็นการป้องกันและเครื่องหมายของการเป็นเจ้าของ”
ยน 1:6 ยอห์น : ในที่นี้หมายถึง ยอห์น บัปติสต์ ประกาศกคนสุดท้ายที่ยิ่งใหญ่ที่สุด บ่อยครั้งในพระวรสารของนักบุญยอห์นมักจะทำให้เข้าใจในบทบาทของยอห์น บัปติสต์ที่มีความเชื่อมโยงกับพระคริสตเจ้า
CCC ข้อ 717 “พระเจ้าทรงส่งชายผู้หนึ่งมา เขาชื่อยอห์น” (ยน 1:6) ยอห์น “ได้รับพระจิตเจ้า” เต็มเปี่ยม “ตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์ของมารดา” (ลก 1:15) จากพระคริสตเจ้าที่พระนางพรหมจารีมารีย์เพิ่งทรงปฏิสนธิเดชะพระจิตเจ้า ดังนี้ “การเยี่ยมเยียน” นางเอลีซาเบธของพระนางมารีย์จึงเป็นการที่พระเจ้าทรงเยี่ยมเยียนประชากรของพระองค์
CCC ข้อ 718 ยอห์นเป็น “(ประกาศก)เอลียาห์ที่จะต้องมา” ไฟของพระจิตเจ้าพำนักอยู่ในเขาและบันดาลให้เขา “นำหน้า” องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เสด็จมา ในยอห์นผู้นำหน้า(พระเมสสิยาห์)พระจิตเจ้าทรงบันดาลให้ “การเตรียมประชากรที่พร้อมจะรับเสด็จองค์พระผู้เป็นเจ้า” สำเร็จไป (ลก 1:17)
CCC ข้อ 719 ยอห์นเป็น “ยิ่งกว่าประกาศก” พระจิตเจ้าทรงทำให้ “การตรัสทางประกาศก” สำเร็จไปในตัวเขา ยอห์นเป็นผู้ทำให้ “กลุ่ม” ประกาศกซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่ประกาศกเอลียาห์สิ้นสุดลง ยอห์นประกาศว่าการปลอบโยนอิสราเอลอยู่ใกล้แล้ว เป็น “เสียง” ของผู้ปลอบโยนซึ่งกำลังจะมาถึง “เขามาในฐานะพยานเพื่อเป็นพยานถึงแสงสว่าง” (ยน 1:7) ตามที่พระจิตเจ้าแห่งความจริงจะทรงเป็นพยานด้วย ดังนี้ ในยอห์น พระจิตเจ้าทรงบันดาลให้ “การค้นหาและวิเคราะห์ของบรรดาประกาศก” และ “ความปรารถนา” ของบรรดาทูตสวรรค์สำเร็จเป็นจริง “เจ้าเห็นพระจิตเจ้าเสด็จลงมาประทับอยู่เหนือผู้ใด ผู้นั้นคือผู้ที่ทำพิธีล้างเดชะพระจิตเจ้า ข้าพเจ้าเห็นและเป็นพยานยืนยันว่าท่านผู้นี้เป็นพระบุตรของพระเจ้า […] นี่คือลูกแกะของพระเจ้า” (ยน 1:33-36)
CCC ข้อ 720 ในที่สุด ผ่านทางยอห์นผู้ทำพิธีล้างพระจิตเจ้าทรงเริ่มงานที่จะสำเร็จไปพร้อมกับ พระคริสตเจ้าและในพระคริสตเจ้า นั่นคือการทำให้มนุษย์ได้รับ “ความเหมือนกับพระเจ้า” กลับคืนมา ยอห์นประกอบพิธีล้างเพื่อให้มนุษย์กลับใจ ส่วนพิธีล้าง “ในน้ำและพระจิตเจ้า” จะเป็นการเกิดใหม่ในพระจิตเจ้า
ยน 1:10 โลก : คำนี้มีความหมายแตกต่างกันไปในงานเขียนของนักบุญยอห์น ทั้งนี้ย่อมขึ้นอยู่กับบริบท อาจหมายถึงจักรวาลที่ถูกสร้างขึ้นทั้งหมด หรือหมายถึงมนุษยชาติที่ต้องการความรอดพ้น หรือสิ่งล่อลวงให้ตกในบาป อาศัยการสิ้นพระชนม์ และกลับคืนชีพของพระองค์ พระคริสตเจ้าได้ทรงไถ่โลกที่กำลังจะล่วงเลยไป และทรงฟื้นฟูขึ้นใหม่เมื่อถึงวาระสุดท้าย
CCC ข้อ 295 เราเชื่อว่าพระเจ้าทรงเนรมิตสร้างโลกตามพระปรีชาของพระองค์ โลกนี้มิได้เป็นผลของความจำเป็น ของโชคชะตามืดบอดหรือความบังเอิญใดๆ เราเชื่อว่าโลกนี้เนื่องมาจากพระประสงค์อิสระของพระเจ้าผู้ทรงประสงค์ให้สิ่งสร้างทั้งหลายมีส่วนร่วมในความเป็นอยู่ พระปรีชาและความดีของพระองค์ “พระองค์ทรงสร้างสรรพสิ่ง และทุกสิ่งถูกสร้างและดำรงอยู่ตามพระประสงค์ของพระองค์” (วว 4:11) “พระราชกิจของพระองค์ช่างมีมากเหลือล้น พระองค์ทรงกระทำทุกอย่างด้วยพระปรีชาญาณ” (สดด 104:24) “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระทัยดีแก่ทุกคน ความอ่อนโยนของพระองค์ครอบคลุมสิ่งสร้างทั้งมวล” (สดด 145:9)
CCC ข้อ 315 เมื่อทรงเนรมิตสร้างโลกและมนุษย์ พระเจ้าทรงสำแดงให้เห็นหลักฐานแรกและสากลแห่งความรัก พระสรรพานุภาพ และพระปรีชาญาณของพระองค์ เป็นการบอกกล่าวครั้งแรกให้รู้ถึง “แผนการพระทัยดีของพระองค์” ซึ่งบรรลุถึงจุดหมายของตนในการเนรมิตสร้างใหม่ในพระคริสตเจ้า
CCC ข้อ 670 นับตั้งแต่การเสด็จสู่สวรรค์แล้ว แผนการของพระเจ้ากำลังบรรลุถึงการสำเร็จเป็นจริง ขณะนี้เรากำลังอยู่ใน “วาระสุดท้าย” (1 ยน 2:18) “วาระสุดท้ายของโลกมาถึงเราแล้ว และการรื้อฟื้นโลกก็ถูกกำหนดไว้โดยไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้อีก และกำลังดำเนินการอยู่บ้างแล้วในโลกนี้ เพราะพระศาสนจักรก็มีความศักดิ์สิทธิ์แท้จริงแล้วในโลก แม้จะยังไม่สมบูรณ์” พระอาณาจักรของพระคริสตเจ้าแสดงตนแล้วโดยทางเครื่องหมายอัศจรรย์ ซึ่งติดตามการประกาศพระอาณาจักรนี้ทางพระศาสนจักร
CCC ข้อ 1048 “เราไม่รู้เวลาที่โลกและมนุษยชาติจะต้องจบสิ้น และไม่รู้วิธีการที่จักรภพจะต้องเปลี่ยนแปลง รูปร่างของโลกนี้ที่บิดเบี้ยวไปเพราะบาปกำลังผ่านพ้นไป แต่เราก็รับคำสั่งสอนมาว่าพระเจ้ากำลังทรงเตรียมที่พำนักใหม่และแผ่นดินใหม่ซึ่งเป็นที่พำนักของความยุติธรรม และความสุขของที่พำนักใหม่และแผ่นดินใหม่นี้จะทำให้ความปรารถนาสันติภาพทั้งหลายที่เกิดขึ้นในใจของมนุษย์นั้นเต็มเปี่ยมจนล้นเสียด้วย”
ยน 1:11 ประชากรของพระองค์ไม่ยอมรับพระองค์ : ในขณะที่พระคริสตเจ้าต้องประสบกับการถูกปฏิเสธจากบรรดาชาวกาลิลีซึ่งเป็นชาวเมืองเดียวกับพระองค์ ข้อความนี้ยังกินความกว้างไปกว่านั้น ซึ่งรวมถึงทุกคนที่ปฏิเสธพระคริสตเจ้า ทั้งชาวยิวและคนต่างชาติด้วย การเมินเฉยและสัมพัทธนิยมเชิงศีลธรรม คือรูปแบบใหม่ของการปฏิเสธหรือการไม่สนใจในพระคริสตเจ้าและคำสอนของพระองค์
CCC ข้อ 530 การเสด็จหนีไปอียิปต์และการประหารเด็กทารกผู้บริสุทธิ์ แสดงให้เห็นการต่อต้านของความมืดต่อแสงสว่าง “พระองค์เสด็จมาสู่บ้านเมืองของพระองค์ แต่ประชากรของพระองค์ไม่ยอมรับพระองค์” (ยน 1:11) ตลอดพระชนมชีพของพระคริสตเจ้าจะถูกหมายด้วยการถูกเบียดเบียน ผู้ที่เป็น(ศิษย์)ของพระองค์ย่อมมีส่วนในการถูกเบียดเบียนพร้อมกับพระองค์ด้วย การเสด็จกลับจากอียิปต์ ชวนให้เราคิดถึงการ(ที่ชาวอิสราเอล)อพยพออกจากอียิปต์ และแสดงว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระผู้กอบกู้โดยสมบูรณ์ด้วย
ยน 1:12-18 บุตรของพระเจ้า : พระคริสตเจ้าทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าพระบิดาในพระเทวภาพของพระองค์ การไถ่กู้ที่พระองค์ทรงกระทำอาศัยการพลีบูชาบนไม้กางเขนนั้น ทำให้เราสามารถมีส่วนร่วมในการเป็นบุตรของพระเจ้า ดังนั้นในฐานะบุตรของพระเจ้า เราจึงสามารถเรียกพระเจ้าว่า "พระบิดาของเรา" โดยทางศีลล้างบาป เราเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในพระกายของพระคริสตเจ้า และกลายเป็นบุตรบุญธรรมของพระเจ้า
CCC ข้อ 460 พระวจนาตถ์ทรงรับสภาพมนุษย์เพื่อทำให้เรา “เข้ามามีส่วนร่วมในพระธรรมชาติของพระเจ้า” (2 ปต 1:4) “เพราะเหตุนี้พระวจนาตถ์ของพระเจ้าจึงมาเป็นมนุษย์ และผู้ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าทรงกลับเป็นบุตรแห่งมนุษย์ เพื่อให้มนุษย์ซึ่งร่วมสนิทกับพระวจนาตถ์ของพระเจ้าและได้รับการเป็นบุตรบุญธรรมของพระเจ้า ได้กลับเป็นบุตรของพระเจ้าด้วย” “พระบุตรของพระเจ้าทรงรับสภาพมนุษย์ เพื่อพวกเราจะได้กลับเป็นพระเจ้า” “พระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระเจ้า ทรงประสงค์ให้เรามีส่วนในพระเทวภาพของพระองค์ ทรงรับธรรมชาติของเรามาเป็นมนุษย์ เพื่อทรงทำให้มนุษย์เป็นพระเจ้า”
CCC ข้อ 526 “การกลับเป็นเด็ก” ในความสัมพันธ์กับพระเจ้าเป็นเงื่อนไขเพื่อจะเข้าพระอาณาจักรได้ เพื่อจะทำเช่นนี้ได้ จึงจำเป็นต้องถ่อมตน กลายเป็นคนไม่มีความสำคัญ ยิ่งกว่านั้นยังจำเป็นต้อง “เกิดใหม่” (ยน 3:7) คือเกิดจากพระเจ้า เพื่อใครคนหนึ่งจะเป็นบุตรของพระเจ้าได้
พระธรรมล้ำลึกการสมภพของพระคริสตเจ้าจะสำเร็จสมบูรณ์ก็เมื่อพระคริสตเจ้า “จะปรากฏอยู่ในเราอย่างชัดเจน” การสมภพของพระเยซูเจ้าจึงเป็นพระธรรมล้ำลึกแห่ง “การแลกเปลี่ยนน่าพิศวง” นี้
“การแลกเปลี่ยนเช่นนี้น่าพิศวงจริง พระผู้เนรมิตสร้างมนุษยชาติทรงรับร่างกายที่มีชีวิตมาบังเกิดจากพระนางพรหมจารี และเมื่อทรงถ่อมพระองค์สมภพเป็นมนุษย์ พระองค์ก็ประทานพระเทวภาพของพระองค์ให้แก่เรา”
CCC ข้อ 706 ตรงข้ามกับความหวังที่มนุษย์อาจมีได้ พระเจ้าทรงสัญญาจะประทานลูกหลานแก่อับราฮัมเป็นผลของความเชื่อและพระอานุภาพของพระจิตเจ้า ชนทุกชาติบนแผ่นดินนี้จะได้รับพรผ่านทางเชื้อสายของเขา “เชื้อสาย” นี้ก็คือพระคริสตเจ้า ในพระคริสตเจ้านี้พระพรของพระจิตเจ้าจะนำบรรดาบุตรที่กระจัดกระจายไปของพระเจ้าเข้ามารวมด้วยกันอีก เมื่อทรงสาบานผูกมัดพระองค์ พระเจ้าก็ทรงผูกมัดพระองค์จะประทานพระบุตรสุดที่รักของพระองค์แล้ว รวมทั้งทรงสัญญาจะประทานพระจิตเจ้าซึ่งจะทรงเตรียมการไถ่กู้ประชากรที่พระเจ้าทรงได้มาเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์
CCC ข้อ 1692 สูตรยืนยันความเชื่อประกาศว่าพระเจ้าได้ประทานพระพรยิ่งใหญ่แก่มนุษย์ในงานเนรมิตสร้างและยิ่งกว่านั้นโดยงานไถ่กู้และบันดาลความศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย ศีลศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ นำสิ่งที่ความเชื่อประกาศนี้มาให้เรา โดยทางศีลศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้บรรดาคริสตชนเกิดใหม่นี้ เขาก็กลายเป็น“บุตรของพระเจ้า” (1 ยน 3:1) “มีส่วนร่วมในพระธรรมชาติของพระเจ้า” (2 ปต 1:4) เมื่อบรรดาคริสตชนมารับรู้ศักดิ์ศรีใหม่ของตนโดยความเชื่อแล้ว เขาก็ได้รับเชิญมาดำเนินชีวิตหลังจากนั้นให้สมกับพระวรสารของพระคริสตเจ้า โดยอาศัยศีลศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ และการอธิษฐานภาวนา เขาย่อมรับพระหรรษทานของพระคริสตเจ้าและพระพรของพระจิตเจ้าซึ่งทำให้เขามีความสามารถทำเช่นนี้ได้
CCC ข้อ 1996 การรับความชอบธรรมของเรามาจากพระหรรษทานของพระเจ้า พระหรรษทานเป็นความโปรดปราน ความช่วยเหลือให้เปล่าที่พระเจ้าประทานแก่เรา เพื่อเราจะได้ตอบสนองการที่ทรงเรียกเราให้มาเป็นบุตรของพระเจ้า เป็นบุตรบุญธรรมของพระองค์ มีส่วนร่วมพระธรรมชาติพระเจ้า และชีวิตนิรันดร
CCC ข้อ 2780 เราเรียกพระเจ้าเป็น “พระบิดา” ได้ก็เพราะว่าพระองค์ทรงเปิดเผยพระองค์เองโดยทางพระบุตรผู้ทรงมาเป็นมนุษย์และเพราะพระจิตของพระองค์ทรงบันดาลให้เรารู้จักพระองค์ สิ่งที่มนุษย์ไม่อาจรู้จักและบรรดาอำนาจทูตสวรรค์ไม่อาจมองเห็นแม้แต่เพียงรางๆ ได้ก็คือความสัมพันธ์ในฐานะบุคคลของพระบุตรกับพระบิดา แต่พระจิตของพระบุตรทรงบันดาลให้เรามีส่วนร่วมความสัมพันธ์นี้ เราซึ่งเชื่อว่าพระเยซูเจ้าคือพระคริสตเจ้าและเรายังบังเกิดจากพระเจ้าอีกด้วย
ยน 1:13 เขามิได้เกิดจากสายเลือด ... แต่เกิดจากพระเจ้า : ด้วยพระเทวภาพของพระองค์ พระคริสตเจ้าคือพระบุตรนิรันดรของพระเจ้าพระบิดา ในความเป็นมนุษย์ พระองค์ทรงปฏิสนธิในครรภ์ของพระนางมารีย์ด้วยอำนาจของพระจิตเจ้า ในฐานะมารดาของพระเยซูคริสตเจ้าผู้ซึ่งเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระนางมารีย์คือพระมารดาของพระเจ้า เรา “เกิดจากพระเจ้า” โดยผ่านทางศีลล้างบาป ซึ่งทำให้เรามีส่วนร่วมในชีวิตของพระคริสตเจ้า อาศัยพระพรแห่งความเชื่อและพระหรรษทานศักดิ์สิทธิกร
CCC ข้อ 496 นับตั้งแต่สูตรแสดงความเชื่อแบบแรกๆ แล้ว พระศาสนจักรประกาศว่าพระเยซูเจ้าทรงปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางพรหมจารีมารีย์เดชะพระอานุภาพของพระจิตเจ้า โดยยืนยันถึงลักษณะทางกายภาพของเหตุการณ์นี้ด้วยว่า พระเยซูเจ้าทรงปฏิสนธิ “เดชะพระจิตเจ้า […] โดยไม่มีเชื้อพันธุ์ของมนุษย์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย” ในการปฏิสนธิจากพรหมจารีนี้ บรรดาปิตาจารย์แลเห็นเครื่องหมายจากการที่พระบุตรของพระเจ้าเสด็จมารับสภาพมนุษย์เหมือนกับสภาพมนุษย์ของเรา
นักบุญอิกญาซีโอแห่งอันทิโอค (ต้นศตวรรษที่ 2) กล่าวไว้ดังนี้ว่า “ข้าพเจ้าสังเกตเห็นว่าท่านทั้งหลายมีความเชื่อมั่นเต็มที่ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราโดยธรรมชาติมนุษย์ทรงบังเกิดโดยแท้จริงในราชวงศ์ของกษัตริย์ดาวิด ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าตามพระประสงค์และโดยพระอานุภาพของพระเจ้า ทรงบังเกิดจริง ๆ จากหญิงพรหมจารี...พระกายถูกตะปูตรึงบนไม้กางเขนเพื่อพวกเราสมัยปอนทิอัส ปีลาต....ทรงรับทรมานโดยแท้จริงเพื่อจะทรงกลับคืนพระชนมชีพโดยแท้จริงด้วย”
CCC ข้อ 505 พระเยซูเจ้า อาดัมคนใหม่ ทรงใช้การที่ทรงปฏิสนธิจากพระมารดาพรหมจารีเพื่อสถาปนาการบังเกิดใหม่ของบรรดาบุตรบุญธรรมในพระจิตเจ้าอาศัยความเชื่อ “เหตุการณ์นี้จะเป็นไปได้อย่างไร” (ลก 1:34) การมีส่วนร่วมในชีวิตของพระเจ้าไม่ได้ “เกิดจากสายเลือด มิได้เกิดจากความปรารถนาตามธรรมชาติ มิได้เกิดจากความต้องการของมนุษย์ แต่เกิดจากพระเจ้า” (ยน 1:13) ชีวิตนี้ได้รับมาประหนึ่งจากหญิงพรหมจารี เพราะพระเจ้าประทานให้แก่มนุษย์จากพระจิตเจ้า ความหมายของการที่มนุษย์ได้รับเรียกมามีความสัมพันธ์คล้ายการหมั้นไว้กับพระเจ้าสำเร็จสมบูรณ์ไปในการที่พระนางมารีย์ทรงเป็นพระมารดาพรหมจารี
CCC ข้อ 526 “การกลับเป็นเด็ก” ในความสัมพันธ์กับพระเจ้าเป็นเงื่อนไขเพื่อจะเข้าพระอาณาจักรได้ เพื่อจะทำเช่นนี้ได้ จึงจำเป็นต้องถ่อมตน กลายเป็นคนไม่มีความสำคัญ ยิ่งกว่านั้นยังจำเป็นต้อง “เกิดใหม่” (ยน 3:7) คือเกิดจากพระเจ้า เพื่อใครคนหนึ่งจะเป็นบุตรของพระเจ้าได้
พระธรรมล้ำลึกการสมภพของพระคริสตเจ้าจะสำเร็จสมบูรณ์ก็เมื่อพระคริสตเจ้า “จะปรากฏอยู่ในเราอย่างชัดเจน” การสมภพของพระเยซูเจ้าจึงเป็นพระธรรมล้ำลึกแห่ง “การแลกเปลี่ยนน่าพิศวง” นี้
“การแลกเปลี่ยนเช่นนี้น่าพิศวงจริง พระผู้เนรมิตสร้างมนุษยชาติทรงรับร่างกายที่มีชีวิตมาบังเกิดจากพระนางพรหมจารี และเมื่อทรงถ่อมพระองค์สมภพเป็นมนุษย์ พระองค์ก็ประทานพระเทวภาพของพระองค์ให้แก่เรา”
ยน 1:14-16 พระวจนาตถ์ทรงรับธรรมชาติมนุษย์ : พระคริสตเจ้าทรงรับเอาธรรมชาติมนุษย์เพื่อนำการไถ่กู้มาสู่มนุษย์ที่ได้ตกในบาป นี่คือธรรมล้ำลึกแห่งการรับเอากาย พระเยซูคริสตเจ้าทรงเป็นพระเจ้าพระบุตรผู้ทรงมารับสภาพมนุษย์ พระองค์คือพระเจ้าที่มีสองธรรมชาติและสองน้ำใจ คือทั้งของพระเจ้าและของมนุษย์ ประทับอยู่ในหมู่เรา : คำว่า eskenosen ในภาษากรีก แปลตามตัวอักษรได้ว่า “กางกระโจมของเขา” ภาพนี้ทำให้นึกถึงพลับพลาที่ชาวอิสราเอลได้รับคำสั่งให้สร้างขึ้นเพื่อรักษาหีบแห่งพันธสัญญา ซึ่งแสดงถึงการประทับอยู่ของพระเจ้าท่ามกลางประชากรของพระองค์ ในความหมายที่สมบูรณ์นั้นการรับเอากายของพระคริสตเจ้า ได้นำการประทับอยู่ของพระเจ้ามาท่ามกลางเรา เราได้เห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ : ยอห์นและบรรดาอัครสาวกเป็นสักขีพยานถึงเครื่องหมายที่ยืนยันถึงความเป็นพระเจ้าของพระคริสตเจ้า ซึ่งแสดงให้เห็นในธรรมชาติมนุษย์ที่รุ่งโรจน์และในผลงานมากมายของพระองค์ พระบุตรเพียงพระองค์เดียว : การอธิบายนี้มีอยู่ในบทข้าพเจ้าเชื่อแห่งเมืองนิเชอา : “ทรงเป็นพระเจ้า จากพระเจ้า ทรงเป็นองค์ความสว่างจากองค์ความสว่าง ทรงเป็นพระเจ้าแท้จากพระเจ้าแท้ มิได้ถูกสร้าง แต่ทรงบังเกิดร่วมพระธรรมชาติเดียวกับพระบิดา อาศัยพระบุตรนี้ ทุกสิ่งได้รับการเนรมิตขึ้นมา”
CCC ข้อ 423 เราเชื่อและประกาศว่าพระเยซูเจ้าจากเมืองนาซาเร็ธ ซึ่งทรงถือกำเนิดเป็นชาวยิวจากธิดาแห่งอิสราเอลที่เมืองเบธเลเฮม ในรัชสมัยของกษัตริย์เฮโรดมหาราชและพระจักรพรรดิซีซาร์ออกัสตัสที่ 1 มีอาชีพเป็นช่างไม้ ได้สิ้นพระชนม์โดยทรงถูกตรึงบนไม้กางเขนที่กรุงเยรูซาเล็ม ขณะที่ปอนติอัสปีลาตเป็นข้าหลวงปกครองในรัชสมัยพระจักรพรรดิทีเบริอัส ทรงเป็นพระบุตรนิรันดรของพระเจ้าผู้ทรงรับธรรมชาติมนุษย์ “พระองค์ทรงมาจากพระเจ้า” (ยน 13:3) “เสด็จลงมาจากสวรรค์” (ยน 3:13; 6:33) มารับสภาพมนุษย์ เพราะ “พระวจนาตถ์ทรงรับสภาพมนุษย์และเสด็จมาประทับอยู่ท่ามกลางเรา เราได้เห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ เป็นพระสิริรุ่งโรจน์ที่ทรงรับจากพระบิดาในฐานะพระบุตรเพียงพระองค์เดียว เปี่ยมด้วยพระหรรษทานและความจริง [.....] และจากความไพบูลย์ของพระองค์ เราทุกคนได้รับพระหรรษทานต่อเนื่องกัน” (ยน 1:14,16)
CCC ข้อ 445 หลังจากที่ทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้ว การเป็นพระบุตรของพระเจ้าปรากฏให้เห็นในพลังของพระธรรมชาติมนุษย์ที่รุ่งโรจน์ของพระองค์ด้วย “ทรงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นพระบุตรผู้ทรงอำนาจของพระเจ้าโดยการกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย” (รม 1:4) บรรดาอัครสาวกจึงจะกล่าวได้ว่า “เราได้เห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ เป็นพระสิริรุ่งโรจน์ที่ทรงรับจากพระบิดาในฐานะพระบุตรเพียงพระองค์เดียว เปี่ยมด้วยพระหรรษทานและความจริง” (ยน 1:14)
CCC ข้อ 461 พระศาสนจักรนำวลีของนักบุญยอห์น (“พระวจนาตถ์ทรงรับสภาพมนุษย์” ยน 1:14) มาใช้เรียกการที่พระบุตรของพระเจ้ามารับสภาพมนุษย์ของเราใช้ทำให้ความรอดพ้นของเราสำเร็จไปว่า “การรับสภาพมนุษย์” (แปลตามตัวอักษรว่า “การรับเนื้อหนัง” หรือ “การรับร่างกาย”) พระศาสนจักรขับร้องเรื่องการรับสภาพมนุษย์โดยใช้บทเพลงที่นักบุญเปาโลยกมาไว้ในจดหมายของท่านดังนี้ว่า
“จงมีความรู้สึกนึกคิดเช่นเดียวกับที่พระคริสตเยซูทรงมีเถิด แม้ว่าพระองค์ทรงมีธรรมชาติพระเจ้า พระองค์ก็มิได้ทรงถือว่าศักดิ์ศรีเสมอพระเจ้านั้นเป็นสมบัติที่จะต้องหวงแหน แต่ทรงสละพระองค์จนหมดสิ้น ทรงรับสภาพดุจทาส เป็นมนุษย์ดุจเรา ทรงแสดงพระองค์ในสภาพมนุษย์ ทรงถ่อมพระองค์จนถึงกับทรงยอมรับแม้ความตาย เป็นความตายบนไม้กางเขน” (ฟป 2:5-8)
CCC ข้อ 466 คำสอนผิดๆ ของเนสโตรีอุสอ้างว่าพระบุคคลมนุษย์ในพระคริสตเจ้าเข้ามารวมกับพระบุคคลพระเจ้าของพระบุตรของพระเจ้า นักบุญซีริลแห่งอเล็กซานเดรียและสภาสังคายนาสากล ครั้งที่ 3 ซึ่งมาประชุมกันที่เมืองเอเฟซัสเมื่อปี ค.ศ. 431 ประณามคำสอนดังกล่าวนี้และประกาศว่า “พระวจนาตถ์ทรงมาเป็นมนุษย์เมื่อทรงรวมร่างกายซึ่งมีวิญญาณที่คิดตามเหตุผลได้เข้ากับตนโดยธรรมชาติ (hypostasis)” พระธรรมชาติมนุษย์ของพระคริสตเจ้าไม่มีความเป็นอยู่อื่นใดนอกจากเป็นพระบุคคลพระเจ้าของพระบุตรพระเจ้าซึ่งรับสภาพมนุษย์นี้เข้ามารวมเป็นของตนนับตั้งแต่ทรงปฏิสนธิ เพราะเหตุนี้สภาสังคายนาที่เมืองเอเฟซัสเมื่อปี 431 จึงประกาศว่าเมื่อพระนางมารีย์ทรงปฏิสนธิพระบุตรของพระเจ้าเป็นมนุษย์ในพระครรภ์ จึงทรงเป็น “พระมารดาของพระเจ้า” โดยแท้จริง “ทรงเป็นพระมารดาของพระเจ้า ไม่ใช่เพราะพระธรรมชาติของพระวจนาตถ์และพระเทวภาพของพระองค์ถือกำเนิดจากพระนางพรหมจารี แต่เพราะ[พระวจนาตถ์]ทรงรับพระวรกายศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับพระวิญญาณที่มีสติปัญญาจากพระนาง และกล่าวได้ว่าพระวจนาตถ์ของพระเจ้าซึ่งรวมเป็นหนึ่งเดียวตามธรรมชาตินี้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์จากพระนาง”
CCC ข้อ 467 พวกมิจฉาทิฐิเอกธรรมชาตินิยม (Monophysites) ยืนยันว่าพระธรรมชาติมนุษย์ในพระคริสตเจ้าเลิกมีความเป็นอยู่เมื่อถูกรับเข้ามารวมอยู่กับพระบุคคลพระเจ้าของพระบุตรของพระเจ้า สภาสังคายนาสากลที่เมืองคัลเชโดนเมื่อปี ค.ศ. 451 ตอบโต้คำสอนมิจฉาทิฐินี้ ประกาศว่า
“ตามคำสอนของบรรดาปิตาจารย์ พวกเราทุกคนจึงประกาศยืนยันและสอนเป็นเสียงเดียวกันว่า พระบุตร พระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ทรงเป็นพระองค์เดียวกันที่สมบูรณ์ในพระเทวภาพกับพระองค์ที่สมบูรณ์ในพระธรรมชาติมนุษย์ ทรงเป็นพระเจ้าแท้และมนุษย์แท้ ทรงเป็นพระองค์เดียวกันที่ประกอบด้วยพระวิญญาณที่คิดตามเหตุผลและพระวรกาย ทรงร่วมพระธรรมชาติกับพระบิดาใน พระเทวภาพ และทรงร่วมพระธรรมชาติกับเราโดยธรรมชาติมนุษย์ ‘ทรงเหมือนกับเราทุกอย่างยกเว้นบาป’ ทรงบังเกิดจากพระบิดาก่อนกาลเวลาในฐานะพระเจ้า ในวาระสุดท้ายพระองค์ทรงบังเกิดจากพระนางมารีย์พรหมจารี พระมารดาพระเจ้าในฐานะมนุษย์ เพราะเห็นแก่เราและเพื่อช่วยเราให้รอดพ้น
เราต้องยอมรับว่าพระคริสตเจ้าทรงเป็นพระองค์เดียวกับพระบุตรหนึ่งเดียว องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงมีสองพระธรรมชาติที่ไม่ปะปนกัน ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่แบ่งแยก ไม่มีวันจะแยกจากกันได้ ความแตกต่างของพระธรรมชาติทั้งสองไม่มีวันถูกการรวมกันนี้ทำลายลงได้ คุณลักษณะเฉพาะของพระธรรมชาติทั้งสองยังคงอยู่ดังเดิม แม้จะเข้ามารวมกันอยู่เป็นพระบุคคลหนึ่งเดียว”
CCC ข้อ468 หลังจากสภาสังคายนาครั้งนี้ บางคนทำให้พระธรรมชาติมนุษย์ของพระคริสตเจ้าเป็นบุคคลหนึ่งสภาสังคายนาสากลครั้งที่ 5 คือสภาสังคายนาที่กรุงคอนสแตนติโนเปิลเมื่อปี ค.ศ. 553 จึงประกาศโต้แย้งคนเหล่านี้ว่า “มีเพียงพระบุคคลหนึ่งเดียว (hypostasis = person) ซึ่งเป็นพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า(ของเรา) เป็นพระบุคคลหนึ่งในพระตรีเอกภาพ” ทุกสิ่งทุกอย่างในพระธรรมชาติมนุษย์ของพระคริสตเจ้าจึงต้องนับว่าเป็นคุณสมบัติเฉพาะของพระบุคคลพระเจ้าของพระองค์ ไม่เพียงแต่อัศจรรย์ที่ทรงทำเท่านั้น แต่พระทรมาน และการสิ้นพระชนม์ด้วย เราประกาศว่า “พระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ผู้ทรงถูกตรึงกางเขนในพระกาย ทรงเป็นพระเจ้าแท้ และทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระสิริรุ่งโรจน์ เป็นหนึ่งในพระตรีเอกภาพ”
CCC ข้อ469 พระศาสนจักรจึงประกาศยืนยันว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นทั้งพระเจ้าแท้และมนุษย์แท้โดยไม่แยกจากกัน ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าอย่างแท้จริงซึ่งทรงรับสภาพมนุษย์ กลายเป็นพี่น้องของเรา ถึงกระนั้นก็ยังไม่เลิกเป็นพระเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
พิธีกรรมจารีตโรมันมีบทเพลงบทหนึ่งความว่า “พระองค์ยังคงเป็นอย่างที่เคยเป็น ทรงรับสภาพที่ไม่เคยเป็น” พิธีกรรมของนักบุญยอห์น ครีโซสตม ก็มีบทขับร้องที่ประกาศว่า “ข้าแต่พระบุตรเพียงพระองค์เดียวและพระวจนาตถ์ของพระเจ้า ผู้ทรงอมตะ พระองค์ทรงยอมรับสภาพมนุษย์จากพระมารดาของพระเจ้า พระนางมารีย์ผู้ทรงเป็นพรหมจารีเสมอ เพื่อความรอดพ้นของข้าพเจ้าทั้งหลาย พระองค์ทรงรับสภาพมนุษย์และทรงถูกตรึงกางเขนโดยไม่ทรงเปลี่ยนแปลง ข้าแต่พระคริสตเจ้า พระองค์ทรงพิชิตความตาย ทรงเป็นพระองค์หนึ่งในพระตรีเอกภาพ ทรงพระสิริรุ่งโรจน์ร่วมกับพระบิดาและพระจิตเจ้า โปรดทรงช่วยข้าพเจ้าทั้งหลายให้รอดพ้นเถิด”
CCC ข้อ 2466 ความจริงของพระเจ้าปรากฏชัดเจนอย่างสมบูรณ์ในพระเยซูคริสตเจ้า พระองค์ทรงเปี่ยมด้วยพระหรรษทานและความจริงทรงเป็น “แสงสว่างส่องโลก” (ยน 8:12) พระองค์ทรงเป็นความจริง ทุกคนที่เชื่อในพระองค์ไม่อยู่ในความมืด ศิษย์ของพระเยซูเจ้ายึดมั่นในพระวาจาของพระองค์เพื่อจะรู้ความจริงซึ่งจะช่วยให้เป็นอิสระและบันดาลให้ศักดิ์สิทธิ์ การติดตามพระเยซูเจ้าเป็นการดำเนินชีวิตเดชะพระจิตเจ้าแห่งความจริงที่พระบิดาทรงส่งมาในพระนามของพระองค์ผู้ทรงนำเราไปสู่ความจริงทั้งมวล” (ยน 16:13) พระเยซูเจ้าทรงสอนบรรดาศิษย์ให้รักความจริงโดยไม่มีเงื่อนไข “ท่านจงกล่าวเพียงว่า ‘ใช่’ หรือ ‘ไม่ใช่’” (มธ 5:37)
ยน 1:16 พระหรรษทานต่อเนื่องกัน : พระคริสตเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระจิตเจ้าอย่างสมบูรณ์ ประทานพระหรรษทานที่จำเป็นให้กับผู้ที่ต้อนรับพระองค์ เพื่อรับการชำระให้บริสุทธิ์และความรอดพ้น
CCC ข้อ 504 พระเยซูเจ้าทรงปฏิสนธิในพระครรภ์พระนางพรหมจารีมารีย์เดชะพระจิตเจ้าเพราะทรงเป็นอาดัมคนใหม่ ซึ่งทรงสถาปนาการเนรมิตสร้างใหม่ “มนุษย์คนแรกมาจากดิน เป็นมนุษย์ดิน มนุษย์คนที่สองมาจากสวรรค์” (1 คร 15:47) พระธรรมชาติมนุษย์ของพระคริสตเจ้านับตั้งแต่ทรงปฏิสนธิได้รับพระจิตเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม เพราะพระเจ้า “ประทานพระจิตเจ้าให้พระองค์อย่างไม่จำกัด” (ยน 3:34) “จากความไพบูลย์ของพระองค์” ความไพบูลย์ซึ่งเป็นของพระองค์โดยเฉพาะเพราะทรงเป็นประมุขของมนุษยชาติที่ได้รับการไถ่กู้แล้ว “เราทุกคนได้รับพระหรรษทานต่อเนื่องกัน” (ยน1:16)
ยน 1:17 ธรรมบัญญัติ...ทางพระเยซูคริสตเจ้า : พันธสัญญาใหม่ที่ตั้งขึ้นโดยพระคริสตเจ้า ทำให้บทบัญญัติสมบูรณ์ไป และสิ่งต่างเหล่านี้ ได้ถูกทำนายล่วงหน้าแล้วโดยทางบรรดาประกาศก
CCC ข้อ 2787 เมื่อเรากล่าวว่า “ข้าแต่พระบิดา ‘ของข้าพเจ้าทั้งหลาย’ เรายอมรับโดยเฉพาะพระสัญญาความรักทั้งหมดของพระองค์ ตามที่บรรดาประกาศกได้ประกาศไว้ และสำเร็จเป็นไป โดยพันธสัญญาใหม่นิรันดร ในพระคริสต์ของพระองค์ พระองค์ทรงบันดาลให้เราทั้งหลายเป็นประชากร “ของพระองค์” และพระองค์จึงทรงเป็นพระเจ้า “ของเรา” ความสัมพันธ์ใหม่นี้เป็นความสัมพันธ์ที่แต่ละฝ่ายยินดีแลกเปลี่ยนกันโดยไม่เรียกร้องอะไรตอบแทน เราจึงต้องตอบสนอง “พระหรรษทานและความจริง” ที่พระเจ้าประทานแก่เราในพระเยซูคริสตเจ้านี้ด้วยความรักและซื่อสัตย์
ยน 1:18 ทรงเปิดเผยให้เรารู้ : พระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงเสด็จมารับพระธรรมชาติมนุษย์ ได้นำการเปิดเผยความรักของพระบิดาสู่จุดสูงสุด โดยผ่านทางความเป็นมนุษย์ของพระคริสตเจ้าทำให้เราสามารถพิศเพ่งความรักของพระเจ้าได้
CCC ข้อ 151 สำหรับคริสตชน การเชื่อในพระเจ้าแยกกันไม่ได้กับการเชื่อในผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมา นั่นคือในพระบุตรสุดที่รักซึ่งเป็นที่โปรดปรานของพระองค์ พระเจ้าทรงบอกเราให้ฟังองค์พระบุตร องค์พระผู้เป็นเจ้าเองก็ตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “จงเชื่อในพระเจ้า และเชื่อในเราด้วย” (ยน 14:1) เราอาจเชื่อในพระเยซูคริสตเจ้าได้เพราะทรงเป็นพระเจ้าด้วย ทรงเป็นพระวจนาตถ์ผู้ทรงรับสภาพมนุษย์ “ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าเลย แต่พระบุตรเพียงพระองค์เดียวผู้สถิตในพระอุระของพระบิดานั้นได้ทรงเปิดเผยให้เรารู้” (ยน 1:18) เพราะพระองค์ “ทรงเห็นพระบิดา” (ยน 6:46) ทรงเป็นพระองค์เดียวที่ทรงรู้จักพระบิดาและเปิดเผยพระบิดาได้”
CCC ข้อ 454 อ่านเพิ่มเติมด้านบน (ยน 1:1)
CCC ข้อ 464 เหตุการณ์พิเศษหนึ่งเดียวเรื่องการที่พระบุตรของพระเจ้าทรงรับสภาพมนุษย์มิได้หมายความว่าพระเยซูคริสตเจ้าส่วนหนึ่งเป็นพระเจ้า อีกส่วนหนึ่งเป็นมนุษย์ และไม่ใช่ผลของการผสมกันของสิ่งที่เป็นพระเจ้าและสิ่งที่เป็นมนุษย์ พระองค์ทรงเป็นมนุษย์โดยแท้จริง และยังคงเป็นพระเจ้าอยู่อย่างแท้จริงด้วย พระเยซูคริสตเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแท้และมนุษย์แท้ พระศาสนจักรต้องปกป้องความจริงนี้ของความเชื่อ และต้องอธิบายความจริงนี้ตลอดมาในหลายศตวรรษแรกๆต่อสู้กับบรรดาลัทธิมิจฉาทิฐิซึ่งพยายามบิดเบือนความเชื่อข้อนี้
CCC ข้อ 469 อ่านเพิ่มเติมด้านบน (ยน 1:14-16)
(จากหนังสือ THE DIDACHE BIBLE with commentaries based on the Catechism of the Catholic Church, Ignatius Bible Edition)