คำสอนของพระเยซู
แล้วจู่ๆ ในสังคมอย่างนี้ก็มีเสียงหนึ่งที่ไม่เคยมีใครได้ยินดังก้องไปทั่วว่า “เวลากำหนดมาถึงแล้วและแผ่นดินของพระเจ้าก็มาใกล้แล้ว จงกลับใจเสียใหม่” (มาระโก ๑:๑๕) เสียงตรัสของพระเยซูที่ว่า “พระเจ้าทรงส่งเรามา เราอยู่กับพวกท่าน พระเจ้าก็อยู่กับพวกท่าน” แสดงให้เห็นว่าพระองค์เป็นใคร มีพระลักษณะอย่างไร
สำหรับพระเยซู พระเจ้าคือทั้งสิ้นในชีวิตของพระองค์ เพราะฉะนั้นสำหรับพระเยซูมนุษย์คือทั้งสิ้นในชีวิตของพระองค์เช่นเดียวกัน ทุกชีวิตสำหรับพระองค์มีคุณค่ามหาศาล ความรักที่มีต่อมนุษย์ของพระองค์ไม่มีขอบเขตจำกัด ไม่ว่าจะต่ำต้อย ยากจน ไม่มีความรู้ หรือเป็นคนบาปแค่ไหน ทุกคนมีคุณค่าเหมือนกันหมด พระวจนะของพระเยซูที่ว่า “วันสะบาโตนั้นทรงตั้งไว้เพื่อมนุษย์” (มาระโก ๒:๒๗) ทำให้เราเห็นได้ว่าสำหรับพระองค์มนุษย์สำคัญกว่าระเบียบ พิธีการ ขนบธรรมเนียม ประเพณี หรือข้อห้ามใดๆ ทั้งสิ้น
พวกฟาริสีตกใจมากที่ได้ยินพระองค์ตรัสอย่างนี้ โดยเฉพาะเมื่อเห็นพระเยซูทรงรักษาคนเจ็บป่วยที่มีคนพามาหาพระองค์ในวันสะบาโต โดยไม่สนใจข้อห้ามในธรรมบัญญัติ สำหรับพระเยซูข้อห้ามทำการดีหรือช่วยชีวิตคนในวันสะบาโตนั้นไม่มีความหมาย พระองค์ไม่สามารถทนให้ความเจ็บปวดทุกข์ทรมานของคนเหล่านั้นเลื่อนออกไปได้อีกแม้แต่เพียงวันเดียว พระองค์ทรงทำเช่นนั้นไม่ใช่เพราะว่าไม่ทรงใส่ใจธรรมบัญญัติในพระคัมภีร์เดิม แต่เพราะทรงเห็นว่ารายละเอียดเล็กๆน้อยๆอย่างเช่นข้อห้ามเกี่ยวกับการรับประทานอาหาร สิ่งต้องห้ามต่างๆสำหรับมนุษย์ ในพระคัมภีร์เหล่านี้ไม่ใช่พระประสงค์หรือเป้าหมายสูงสุดของพระเจ้า แต่เป็นเพียงเรื่องปลีกย่อยเล็กน้อย ทั้งไม่ใช่พระดำรัสสั่งอันเป็นนิรันดรของพระเจ้าด้วย“สิ่งใดๆ แต่ภายนอกที่เข้าไปภายในมนุษย์ จะกระทำให้มนุษย์เป็นมลทินไม่ได้ เพราะว่าสิ่งนั้นมิได้เข้าในใจแต่ลงไปในท้องแล้วก็ถ่ายออกลงส้วมไป สิ่งที่ออกมาจากภายในมนุษย์สิ่งนั้นแหละทำให้มนุษย์เป็นมลทิน...” (มาระโก ๗:๑๘-๒๓) ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับท่าทีภายในจิตใจ ถ้าเรามีความรักเป็นพื้นฐาน ท่าทีในใจก็ย่อมถูกต้อง ยิ่งเรารักพระเจ้าด้วยสิ้นสุดจิตใจ และรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเองเราก็ยิ่งท่าทีในใจที่ถูกต้องมากขึ้น คำว่า “เพื่อนบ้าน” ในพระวจนะตนเองนี้ก็ไม่ได้หมายถึงเฉพาะญาติสนิทมิตรสหาย คนรู้จักหรือเพื่อนร่วมชาติเท่านั้น แต่รวมถึงทุกคนไม่เว้นแม้แต่คนเดียว
พระเยซูทรงอธิบายให้เห็นชัดเจนว่า “เพื่อนบ้าน” เป็นใคร ในคำอุปมาเรื่องชาวสะมาเรียผู้ใจดี (ลูกา ๑๐:๓๐-๓๗) เมื่อมีนักกฎหมายคนหนึ่งถามพระองค์ว่า “ใครเป็นเพื่อนบ้านของข้าพเจ้า” ที่ถามอย่างนี้แสดงว่าเขาเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง แล้วพยายามจะหาเส้นแบ่งว่าใครควรจะเป็นเพื่อนบ้านของเขาบ้าง พระเยซูทรงยกอุปมาเกี่ยวกับชายคนหนึ่งที่เดินทางจากกรุงเยรูซาเล็มไปเมืองเยริโคเป็นคำตอบ ชายคนนั้นถูกโจรปล้น แย่งชิงเสื้อผ้าและทุบตีจนเจียนตายอยู่กลางทาง ปุโรหิตและคนเลวีผู้ทำหน้าที่ในพระวิหารซึ่งเผอิญผ่านไปทางนั้นกลับเดินเลยไปเสียอีกฟากหนึ่ง ทั้งที่มองเห็นคนเจ็บ ตรงกันข้ามชาวสะมาเรียที่ชาวยิวถือว่าเป็นศัตรู เมื่อเห็นคนนอนเจ็บอยู่ก็กลับใจเมตตาหยุดกลางคัน ช่วยรักษาเยียวยา เอาผ้าพันแผลแล้วให้คนเจ็บขี่สัตว์ของตนพาไปพักที่โรงแรม และยังฝากเงินค่ารักษาพยาบาลไว้กับเจ้าของโรงแรมด้วย ทั้งที่รู้ว่าคนที่ตนช่วยอยู่นั้นเป็นชาวยิว
หลังจากทรงเล่าอุปาเรื่องนี้จบ พระเยซูตรัสถามนักกฎหมายว่า “ในสามคนนั้นท่านคิดเห็นว่าคนไหนปรากฏว่าเป็นเพื่อนบ้านของคนมี่ถูกปล้น” นักกฎหมายตอบว่า “คือคนนั้นแหละที่ได้สำแดงความเมตตาแก่เขา” พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “ท่านจงไปทำเหมือนอย่างนั้นเถิด” สรุปก็คือทรงสอนว่า เราไม่ควรคิดว่าใครบ้างสมควรจะเป็นเพื่อนบ้านของเรา แต่ต้องถือว่าทุกคนเป็นเพื่อนบ้านเรา โดยเฉพาะคนยากจน คนมีชีวิตน่าสังเวช คนมีบาดแผล คนที่ต้องการเพื่อนและความช่วยเหลือ เมื่อทวงใช้คำว่า “เรา” ในพระดำรัสสอนที่ว่า “จงเป็นเพื่อนบ้านของเรา จงรักเราเหมือนท่านรักตนเอง จงปรนนิบัติเราอย่างที่ท่านปรนนิบัติตนเอง จงรักเราเหมือนท่านรักตนเอง จงยินดีในความสุขของเราเหมือนท่านยินดีในความสุขของตนเอง” “เรา” ในที่นี้ก็คือคนที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนั่งเอง
พระเยซูทรงสอนว่า จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง และเมื่อใกล้วาระสุดท้ายของพระองค์ในโลกนี้ ทรงสอนอีกด้วยว่า “เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร เจ้าจงรักกันและกันอย่างนั้น” (ยอห์น ๑๓:๓๔) นี่เองเป็นบัญญัติใหม่ของพระเยซูที่ครอบคลุมพระบัญญัติทั้งหมด
เป็นความจริงที่ว่าพระเยซูทรงรักชีวิตของคนทั้งหลายมากกว่าชีวิตของพระองค์เอง ทรงดำเนินชีวิตและทรงสละชีวิตเพื่อคนอื่น การรักกันและกันเหมือนที่พระเยซูทรงรักเรา เป็นพระบัญญัติและพระประสงค์ของพระเจ้า และถ้าเราไม่ถือรักษาพระบัญญัติข้อนี้ ต่อให้พิธียิ่งใหญ่ศักดิ์สิทธิ์แค่ไหนก็ไม่มีความหมายอะไรเลย พระเยซูตรัสว่าถ้าท่านนำเครื่องบูชาถึงแท่นบูชา และระลึกขึ้นได้ว่า พี่น้องมีเหตุขัดเคืองข้อหนึ่งข้อใดกับท่าน จงวางเครื่องบูชาไว้ที่หน้าแท่นบูชา กลับไปคืนดีกับพี่น้องผู้นั้นเสียก่อน แล้วจึงค่อยมาถวายเครื่องบูชาของท่าน (มัทธิว ๕:๒๓-๒๔)
พระเจ้าไม่ปรารถนาเครื่องบูชาหรือการสดภาวนาที่ไม่มีความรัก มหาปุโรหิตสวดภาวนาในพระวิหารของกรุงเยรูซาเล็มก็จริง แต่ถ้าเขาไม่มีความรักในจิตใจเขาก็เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่น่าเกลียดน่ากลัว เป็นคนที่ไม่รู้จักพระทัยของพระเจ้า เหมือนปุโรหิตในเรื่องชาวสะมาเรียผู้ใจดี แน่นอนคำสอนเช่นนี้ของพระเยซูคงจะทำให้พวกปุโรหิตแห่งเยรูซาเล็มทั้งหลาย ซึ่งยึดมั่นถือมั่นในเรื่องสิทธิอำนาจของตนไม่พอใจอย่างยิ่ง
แม้ว่าจะมีผู้ไม่พอใจคำสอนของพระองค์ พระเยซูก็มิได้ทรงหวาดกลัว ทรงกล่าวติเตียนคนเหล่านั้นที่เห็นว่าการเลือกรับบางคนเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า พระดำรัสของพระองค์ที่ว่า “จงรักศัตรูของท่าน” (ลูกา ๖:๒๗-๓๖)เป็นเหมือนลูกไฟที่สาดใส่คนเหล่านั้น พระเยซูไม่ทรงยอมประนีประนอมในข้อนี้เลย “เราบอกท่านทั้งหลายที่กำลังฟังอยู่ว่า จงรักศัตรูของท่าน จงทำดีแก่ผู้ที่เกลียดชังท่าน จงอวยพรแก่คนที่แช่งด่าท่าน จงอธิฐานเพื่อคนที่เคี่ยวเข็ญท่าน ผู้ใดตบแก้มของท่านข้างหนึ่ง จงหันอีกข้างหนึ่งให้เขาด้วย และผู้ใดริบเอาเสื้อคลุมของท่านไป ถ้าเขาจะเอาเสื้อด้วยก็อย่าหวงห้าม จงให้แก่ทุกคนที่ขอจากท่าน และถ้าใครได้ริบของท่านไป อย่าทวงเอาคืน จงปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างที่ท่านปรารถนาให้เขาปฏิบัติต่อท่านแม้ว่าท่านทั้งหลายรักผู้ที่รักท่าน จะทรงนับว่าเป็นคุณอะไรแก่ท่าน ถึงแม้คนบาปก็ยังรักผู้ที่เขารักเหมือนกัน ถ้าท่านทั้งหลายทำดีแก่ผู้ที่ทำดีแก่ท่าน จะทรงนับว่าเป็นคุณอะไรแก่ท่าน เพราะว่าคนบาปก็กระทำเหมือนกัน ถ้าท่านทั้งหลายให้ยืมเฉพาะแต่ผู้ที่ท่านหวังจะได้คืนจากเขาอีก จะทรงนับว่าเป็นคุณอะไรแก่ท่าน ถึงแม้คนบาปก็ยังให้คนบาปยืมโดยหวังว่าจะได้รับคืนจากเขาเช่นกัน แต่จงรักศัตรูของท่านทั้งหลาย และทำการดีต่อเขา จงให้เขายืมโดยไม่หวังที่จะได้คืนอีก บำเหน็จของท่านทั้งหลาย จึงจะมีบริบูรณ์ และท่านทั้งหลายจะเป็นบุตรพระเจ้าสูงสุดเพราะว่า พระองค์ยังทรงโปรดแก่คนอกตัญญูและคนชั่ว ท่านทั้งหลายจะมีความเมตตากรุณา เหมือนอย่างพระบิดาของท่านมีพระทัยเมตตากรุณา (ลูกา ๖:๒๗-๓๖)
คำสอนเช่นนี้ของพระเยซูคงจะไม่เป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่งแก่พวกสมาชิกพรรคชาตินิยมเช่นเดียวกัน แต่แรกนั้นพวกเขาต้อนรับพระองค์ในฐานะผู้ร่วมอุดมการณ์ปลดปล่อยผู้ทุกข์ยากจากการกดขี่ข่มเหงของชนชาวโรมัน พวกเขาหวังให้พระองค์เป็นผู้นำขบวนปฏิวัติ แต่หลังจากฟังคำสั่งสอนดังกล่าวพวกเข้ารู้สึกผิดหวัง เพราะคิดว่าผู้ที่ประกาศสั่งสอนผู้คนให้รักศัตรูเช่นพระเยซูนั้น ไม่มีทางนำเขาให้พร้อมที่จะต่อสู้ทำสงครามกับชนชาวโรมันได้
ที่มา: หนังสือชีวิตและคำสอนของพระเยซู