แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

ท่าทีภายในจิตใจของพระเยซูเจ้า
2fa8b4778cdef02315d40d5d42a2ef78พระเมตตาของพระเยซูไม่มีขีดจำกัด พระองค์ทรงแสดงพระเมตตาล้ำลึกต่อทุกคน โดยเฉพาะคนยากจน คนเป็นโรคร้าย คนที่ถูกสังคมกดขี่ ดูถูกดูหมิ่น ทอดทิ้งหรือขับไล่ เมื่อคนป่วยเป็นโรคเรื้อนได้ยินว่าพระองค์ทรงมีฤทธิ์อำนาจรักษาโรคได้อย่างน่าอัศจรรย์ พวกเขาพากันมาหาพระองค์ทูลขอให้ทรงรักษา พระเยซูทรงยื่นพระหัตถ์ถูกต้องคนนั้น ด้วยความเมตตาสงสาร(มาระโก ๑:๔๐-๔๒) พระองค์ไม่ทรงสนใจธรรมบัญญัติที่ห้ามคนอิสราเอลแตะต้องคนเป็นโรคเรื้อน แต่ทรงกลับทรงเมตตาสงสาร คนที่ถูกสังคมรังเกียจ และคงจะเป็นครั้งแรกในชีวิตของชายโรคเรื้อนที่ได้รับการสัมผัสแตะต้องจากมือสะอาดปราศจากโรคร้ายของมนุษย์ด้วยกัน เขาคงจะรู้สึกว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตที่มีคนคนหนึ่งรักและปกป้องเขา ขณะที่เขามองดูสายพระเนตรของพระเยซู เขาคงจะรู้สึกถึงความรักของพระเจ้าที่ทรงมีต่อคนน่าสังเวชอย่างเขา พระเยซูทรงสำแดง พระเมตตาแก่คนบาปและคนอ่อนแอทุกคน พระองค์ทรงยอมให้หญิงคนหนึ่งซึ่งเคยเป็นหญิงคนชั่วร้องไห้น้ำตาไหลเปียกพระบาทเล้วเอาผมของตนเองเช็ดและจูบพระบาทของพระองค์ (ลูกา 7:38)

พระองค์ทรงกล้าเสวยอาหารกับคนเก็บภาษี ที่เคร่งครัดธรรมบัญญัติทั้งหลายที่ถือว่าเป็นคนบาปหนาที่สุดแล้ว (มัทธิว 9 : 11) และตอนที่คนหน้าซื่อใจคดอย่างพวกฟาริสีวิจารณ์ท่าทีการกระทำของพระเยซู พระองค์ตรัสตอบพวกเขาด้วยถ้อยคำรุนแรงว่า “พวกเก็บภาษีและหญิงแพศยาก็เข้าในแผ่นดินของพระเจ้าก่อนท่านทั้งหลาย” (มัทธิว 21:31) แต่ว่าไปแล้วพระเยซูทรงเข้มงวดต่อธรรมบัญญัติด้วย โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับความเอาแต่ใจตัว ความเย่อหยิ่งจองหอง ความไม่สนใจความยากลำบากของคนอื่น รวมทั้งการทำร้ายจิตใจหรือดูถูกคนอื่น ที่บางคนเป็นอยู่ พระเยซูไม่ทรงยอมให้ “มนุษย์” ผู้ที่พระองค์รักมากตกอยู่ในความทุกข์ทรมานหรือความสิ้นหวัง พระองค์ไม่ได้ทรงอิจฉาหรือเกลียดชังคนรวย แต่พระองค์ทรงสงสารในความเบาปัญญาหรือความไม่รู้จริงของพวกเขา คนเหล่านั้นสะสมทรัพย์สมบัติ แสวงหาแต่ความสำราญ และอาหารการกินชั้นเลิศราวกับว่าจะมีชีวิตคงอยู่ตลอดนิรันดร์ พวกเขาไม่คิดว่าแท้จริงชีวิตของพวกเขาจะต้องถูกเรียกเอาไปจากพวกเขาในไม่ช้า (ลูกา 12:16-21) และจะต้องถูกพระเจ้าไต่สวนถึงการดำเนินชีวิตของตนขณะที่ยังมีชีวิตอยู่และเมื่อจากโลกนี้ไปทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาเก็บสะสมไว้ก็จะสูญเปล่าวิบัติจงเกิดแก่เจ้าที่ไม่มีตา ซึ่งไม่สามารถเห็นขอทานผู้อยู่ข้างหน้าบ้านได้ ไม่ว่าเสื้อผ้าราคาแพงที่สวมใส่อยู่หรือชีวิตที่ฟุ่มเฟือย ทุกสิ่งก็จะต้องสูญเปล่าไป ชีวิตเช่นนั้นคือทางนำไปสู่ความทุกข์นิรันดร์ (ลูกา 16:19-31)
เมื่อได้ยินพระเยซูตรัสเรื่องทรัพย์สมบัติ คนร่ำรวยคงจะไม่พอใจมากทีเดียว ความจริงพระเยซูทรงประกาศข่าวประเสริฐเรื่องการมาถึงแผ่นดินของพระเจ้าแก่คนยากจน ไร้ที่พึ่ง (มัทธิว 11:5) นอกจากจะทรงดำเนินชีวิตเพื่อคนอนาถาไร้ที่พึ่งแล้ว พระองค์ยังทรงมอบพระองค์ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเวลา จิตใจ หรือกำลังแก่คนเหล่านั้นด้วย พระเยซูเองไม่ทรงมีบ้านหรือที่ที่จะวางศรีษะ (ลูกา 9:58) ทรงให้ทั้งหมดที่ทรงมีอยู่แก่มนุษย์โดยไม่ทรงหวังสิ่งตอบแทน พระองค์ทรงทราบว่ามนุษย์ไม่ได้หมายถึงเฉพาะคนที่เป็นนักบุญเท่านั้น แต่คนบาปหรือคนต่ำต้อยก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน พระองค์มิได้เสด็จมาเพื่อพิพากษามนุษย์ แต่มาเพื่อประกาศให้มนุษย์กลับใจ และรับการอภัยโทษบาปจากพระองค์ (มัทธิว 9:13) พระเยซูทรงเป็นมนุษย์ที่ดำเนินชีวิตเพื่อคนอื่น ไม่ใช่เพื่อพระองค์เอง สำหรับพระองค์ทุกคนเป็นเพื่อนและทรัพย์สมบัติ
ใจของพระเจ้าผู้ทรงเป็นพระบิดา
ที่พระเยซูเจ้าทรงรู้สึกและมีท่าทีอย่างนั้น เพราะพระองค์ทรงรู้จักใจของพระพระเจ้าพระบิดา พระเยซูเองทรงได้รับความรักที่ไม่มีขีดจำกัดจากพระบิดา ทรงมีประสบการณ์ในเรื่องนี้ ทรงเป็นพยานพิสูจน์ให้เราเห็นตลอดชีวิตของพระองค์
สำหรับพระเยซู พระเจ้าทรงเป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และโลก (มัทธิว 11:25) ทรงเป็นกษัตริย์และผู้พิพากษา (มัทธิว 18:23) ทรงเป็นผู้ที่รู้เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง (มัทธิว 18:23)โดยเฉพาะทรงมีพระลักษณะพิเศษที่เป็นพื้นฐานคือ ทรงเป็นพระเจ้าผู้ประเสริฐ (มาระโก 10:18) พระเจ้าของพระเยซูทรงดีเลิศ ทรงเลี้ยงนกในอากาศ ทรงให้ทุ่งนามีดอกไม้เพื่อตกแต่งให้งดงาม (มัทธิว 6:26-30) เหนือสิ่งอื่นใด ทรงจดจำรายละเอียดของมนุษย์ทุกคนไว้ในใจของพระองค์ แม้ว่าผมของเขาจะร่วงไปเส้นหนึ่งของพระองค์ก็ทรงทราบ (ลูกา 12:7)
คำอุปมาสามเรื่องที่แสดงถึงพระลักษณะอันประเสริฐของพะรเจ้าอย่างชัดเจนในเรื่องความเมตตาของพระองค์ คืออุปมาเรื่องคนเลี้ยงแกะที่ไปเที่ยวตามหาแกะตัวหนึ่งที่หายไป และเมื่อพบแล้วก็ยกขึ้นใส่บ่าแบกกลับบ้านด้วยความเปรมปรีดิ์ เมื่อถึงบ้านแล้วจึงเชิญชวนพวกมิตรสหายและเพื่อนบ้านให้มาพร้อมกัน (ลูกา 15:1-7) พระเยซูทรงใช้อุปมาเรื่องนี้สอนให้เห็นถึงพระลักษณะอันประเสริฐของพระเจ้า ทรงเปรียบเทียบพระองค์เองเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดี พระองค์ทรงเป็นกระจกเงาสะท้อน ให้เห็นถึงความรักของพระเจ้า (ยอห์น 10:7-18) เรื่องนี้เป็นเรื่องทำนองเดียวกับเรื่องของหญิงคนหนึ่งที่พยายามหาเงินเหรียญที่หายไปจนทั่วและเมื่อพบแล้วได้เชิญเหล่ามิตรสหายเละเพื่อนบ้านให้มาพร้อมกัน อุปมาเรื่อนี้แสดงถึงพระลักษณะอันประเสริฐของพระเจ้าด้วย (ลูกา 15:8-10) รวมทั้งเรื่องที่บิดารอคอยการกลับมาของบุตรที่หลงหายไปก็เช่นเดียวกัน เมื่อบุตรที่หลงหายกลับมาหาบิดาด้วยท่าทางอันชวนสังเวช บิดาวิ่งออกไปกอดคอจูบเขาด้วยความเมตตา ก่อนที่บุตรจะพูดคำสารภาพผิดที่เขาเตรียมไว้เสียอีก บิดาพูดด้วยความยินดีว่า “ยินดีเถิดเพราะลูกของเราคนนี้ตายแล้วแต่กลับเป็นอีก หายไปแล้วแต่ได้พบกันอีก”  (ลูกา 15:23-28) นี่คือพระลักษณะอันประเสริฐของพระเจ้าที่พระเยซูทรงทราบดี เพราะใจของพระเยซูเป็นหนึ่งเดียวกับใจของพระเจ้าพระองค์นี้ จุดประสงค์หนึ่งเดียวในชีวิตของพระเยซูคือ การสำเร็จตามพระประสงค์ของพระเจ้าพระองค์นี้ (ยอห์น 4: 34)และพระประสงค์แท้จริงของพระเจ้าคือ “รักเหมือนพระเจ้าทรงรัก” พระเยซูทรงทราบว่าความรักนิรันดรของพระเจ้ามีไปถึงทุกคน เพราะฉะนั้นสำหรับพระเยซูทุกคนจึงมีคุณค่าตลอดนิรันดรเพราะฉะนั้นพระเยซูจะไม่ทรงละทิ้งใครได้เลยแม้แต่คนเดียว เพราะฉะนั้นเมื่อพระเยซูทรงพบใครก็ตาม พระองค์ทรงรักเขาโดยไม่มีเงื่อนไข ไม่มีขีดจำกัด ทรงรักเขาไม่ว่าคนนั้นจะมีคุณค่าคู่ควรแก่ความรักความไว้วางใจของพระองค์หรือไม่ พระเยซูไม่ทรงตระหนี่ถี่ถ้วนเรื่องความรักที่ทรงมีต่อเรา ทรงรักโดยไม่มีขอบเขตจำกัด เหมือนอย่างที่พระเจ้าทรงรักเรา ข่าวประเสริฐที่ทรงประกาศคือ “พระเจ้าสถิตกับท่าน เพราะฉะนั้น ท่านจงอยู่กับพระเจ้าเถิด” หมายความว่าพระเจ้าได้รับท่านทั้งหลาย เป็นลูกของพระองค์แล้ว เพราะฉะนั้นจงดำเนินชีวิตอย่างเหมาะสมเถิดพระเจ้าทรงอภัยบาปของท่าทั้งหลายแล้ว เพราะฉะนั้นจงให้อภัยกันเถิด จงรับแผ่นดินของพระเจ้าเป็นทรัพย์สมบัติของท่านด้วยความยินดีเถิด จงรับความรักของพระเจ้าด้วยความไว้ใจ และจงไว้ใจพระเจ้าเหมือนลูกๆที่ได้รับความรักจากพ่อแม่และไว้ใจพ่อแม่เถิด พระเจ้าทรงฟังเสียงสวดภาวนาด้วยความกระตือรือร้นของลูกๆ ของพระองค์เสมอ อย่างไรก็ตาม ลูกของพระองค์ต้องรู้ด้วยว่าพระเยซูไม่ได้ทรงสัญญาว่าจะทรงเอาความยากลำบากทุกอย่างออกจากชีวิตของพวกตน ตรงกันข้าม พระองค์ตรัสว่าคนที่เข้าในแผ่นดินของพระเจ้า ต้องรับกางเขนของตนเองแบกทุกวัน (มัทธิว 16:24 ; ลูกา 9:23) ทั้งยังทรงบอกไว้ล่วงหน้าด้วยว่าเขาเหล่านั้นจะถูกข่มเหง ถูกอายัดไว้ในคุก และบางคนเหล่านั้นจะถูกฆ่าด้วย (ลูกา 21:12-17)แต่ขณะเดียวกันกลับทรงบอกด้วยว่า “ผมของท่านสักเส้นหนึ่ง จะเสียไปก็หามิได้” (ลูกา 21:18)ใช่แล้ว การสูญเสียผมไปเส้นเดียว ไม่ทำให้เราสะดุ้งสะเทือน ไม่รู้สึกว่าขาดทุนหรือสูญเสียอะไร การถวายชีวิตเพื่อพระนามของพระเยซูก็เช่นเดียวกัน ทำไมหรือ ก็เพราะว่า สำหรับมนุษย์สิ่งที่ต้องการนั้นมีแต่สิ่งเดียว (ลูกา 10:42)สิ่งเดียวนี้เองเป็นสิ่งที่ไม่มีใครปล้นแย่งชิงไปจากเราได้ นอกจากเราจะตัดสินใจทิ้งไปเอง แต่มีคนโง่เท่านั้นที่จะทำอย่างนั้น เพราะสำหรับมนุษย์ ความทุกข์เกิดขึ้นเพราะเหตุเดียวคือ ความไม่เชื่อฟังและไม่ยอมเข้าส่วนในความรักของพระเจ้า เอาตนเองเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง ให้ชีวิตที่มีอยู่เพื่อประโยชน์ของตนเอง ไม่ใช่เพื่อความรัก แต่เพื่อตนเอง คนอย่างนี้แม้ว่ามีชีวิตอยู่ก็เหมือนตายแล้ว เพราะไม่รู้จักความรัก ไม่รู้ว่าความรักต่างหากที่เป็นอมตะหรือคงอยู่นิรันดร และความรักนี้ก็เกิดจากความเชื่อ คือเชื่อว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก ผู้ใดอยู่ในความรักก็อยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าทรงสถิตอยู่ในผู้นั้น (1ยอห์น 4:16)

ที่มา: หนังสือชีวิตและคำสอนของพระเยซู