แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

การดำรงชีวิตอย่างมีความสุข

Happy-Feet-2-10คนที่มีความสุข  คือคนที่มีความสมหวัง  เป็นคนที่สามารถประกอบกิจการงานประสบความสำเร็จตามความปรารถนา  มีร่างกายแข็งแรงปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ  ไม่มีอารมณ์ขุ่นมัวหรือวิตกกังวล  มีอารมณ์มั่นคง  มีความอดทนและมีความสามารถต่อสู้อุปสรรคต่าง ๆ  ได้  เป็นคนที่ยอมรับความจริงในชีวิต  ทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อตนเองและสังคม

  • กล่าวโดยสรุป  คนที่มีความสุขก็คือ  คนที่มีสุขภาพดีทั้งด้านร่างกายและจิตใจ  เป็นคนที่สามารถปรับตัวได้อย่างดีในการดำรงชีวิตประจำวัน
  • ความสุขเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ  เป็นการมองชีวิต  มองตัวเอง  และมองผู้อื่น  ดังนั้นความสุขจึงเกิดขึ้นได้กับคนทุกชั้นไม่ว่า  ผู้ดี  มั่งมี  หรือยากจน  แนวความคิดทางด้านจิตวิทยาเกี่ยวกับการดำรงชีวิตอย่างมีความสุข  อาจกล่าวสรุปได้เป็นข้อ ๆ  ดังนี้  คือ

1. พยายามรักษาสุขภาพทางกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ
เป็นที่ทราบกันแล้วว่า  สุขภาพทางกายและสุขภาพทางจิตมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันอย่างใกล้ชิด  คนที่มีร่างกายแข็งแรง  สุขภาพดี  ย่อมมีจิตใจร่าเริง  สนุกสนาน  ตรงกันข้ามกับคนที่ไม่แข็งแรง  ย่อมเจ็บป่วยเสมอ  ทำให้มีอารมณ์หงุดหงิด  รำคาญใจ  ดังนั้นเราจึงควรรักษาร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอโดยการรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์  มีการพักผ่อนเพียงพอ  รักษาความสะอาดของร่างกายและเครื่องใช้  ตลอดจนหมั่นออกกำลังกายอยู่เสมอ
2. รู้จักตนเองอย่างแท้จริง
ควรสำรวจตัวเองว่า  เป็นคนอย่างไร  มีความสามารถทางใด  แค่ไหน  มีความสนใจและต้องการสิ่งใด   มีอะไรเป็นข้อดีและข้อเสีย  พยายามทางแก้ไขข้อบกพร้องและส่งเสริมส่วนที่ดี  จะทำให้เราตั้งเป้าหมายของชีวิตได้เหมาะสมกับความเป็นจริง   ตลอดจนมีโอกาสพบกับความสำเร็จและความสมหวังได้มาก
3. จงเป็นผู้มีความหวัง
เราควรตั้งความหวังไว้เสมอ  แม้เวลาที่ตกต่ำก็อย่าทอดอาลัย  จงคิดหวังเสมอว่าเราจะไม่อยู่ในสภาพเช่นนี้ตลอดไป  สักวันหนึ่งเราอาจจะดีขึ้นได้
4. ต้องกล้าเผชิญกับความกลัวและความกังวลใจต่าง  ๆ  
ในชีวิตของเรานี้มีสิ่งต่าง ๆ มากมาย  ที่ทำให้กลัวเริ่มตั้งแต่วัยเด็ก  ดังนั้น เมื่อรู้สึกกลัวอะไรต้องพยายามค้นหาความจริงว่าสิ่งนั้นคืออะไร  อย่าปล่อยจิตใจให้หวาดกลัวโดยไม่มีเหตุผล
5. ไม่ควรเก็บกดอารมณ์ที่ตึงเครียด
ควรหาทางระบายอารมณ์ที่ขุ่นมัวหรือไม่สบายใจ  โดยหาทางออกในสิ่งที่สังคมยอมรับและเป็นไปในทางที่พึงปรารถนา
6. จงเป็นผู้มีอารมณ์ขัน
การมีอารมณ์ขันช่วยให้มีอารมณ์ผ่อนคลาย  ไม่ควรมองการไกลในแง่เอาเป็นเอาตายมากเกินไป
7. การยอมรับข้อบกพร่องและข้อผิดพลาดของตนเอง
การรู้จักตนเองและเข้าใจผู้อื่นอย่างแท้จริง  จะช่วยให้เรายอมรับข้อบกพร่อง  หรือความผิดพลาดของตนเอง  และให้อภัยในความผิดพลาดของผู้อื่นได้
8. ต้องรู้จักพอใจในสิ่งที่ตนทำอยู่
การรู้จักพอใจในงานหรือสิ่งที่ตนทำอยู่  จะทำให้บุคคลนั้นเกิดอารมณ์สนุก  ไม่รู้สึกเบื่อหน่าย ทำให้ชีวิตน่าสนใจ  มีความกระตือรือร้นในการทำงาน  มีกำลังใจเข้มแข็งในการต่อสู้อุปสรรคต่าง ๆ  มีอารมณ์ร่าเริงแจ่มใส  ทำให้ชีวิตมีความสุขและสดชื่นอยู่เสมอ
9. มีความต้องการพอเหมาะพอควรและมีความยืดหยุ่นได้
ต้องมีเหตุผล  รู้จักความพอดีเกี่ยวกับความต้องการ  ความปรารถนา  ความทะเยอทะยาน  ควรมีความคิดใฝ่ฝันที่ใกล้เคียงกับความสามารถและความเป็นจริง  จะช่วยให้เราวางแผนต่าง ๆ  ไว้เป็นระยะ ๆ  เพื่อประสบความสำเร็จตามเป้าหมายได้
10. อย่าพะวงเกี่ยวกับตนเองมากเกินไปหรืออย่าคิดถึงแต่ตัวเองตลอดเวลา
เช่น  คิดว่าตัวเองจะต้องเด่น  ต้องดี  ต้องสำคัญกว่าผู้อื่น  การคิดแต่เรื่องของตัวเองจะทำให้เราไม่มีความสุขเลย  เพราะไม่ว่าเราจะคิดอะไร  ทำอะไรหรือไปที่ไหน  จะต้องตกอยู่ในภาวะของการแข่งขันตลอดเวลา
11. การยอมรับสภาพของตัวเองโดยไม่เปรียบเทียบกับคนอื่น
เพราะการเปรียบเทียบจะทำให้เราเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจว่า ทำไมเราจึงไม่โชคดีอย่างคนอื่น  แต่เราอาจไม่ทราบว่า  คนอื่นเขาก็มีความทุกข์เหมือนกัน
12. การยึดคติว่า  จะเป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ
การทำสิ่งใดให้ใครโดยหวังผลตอบแทน  ย่อมจะทำให้ผิดหวังได้มากเพราะมัวแต่กังวลอยู่ว่าเราจะได้รับอะไรเป็นการตอบแทนหรือไม่  มากน้อยเพียงใด  เมื่อไม่ได้รับตามที่ตนคาดหวังก็จะผิดหวังทำให้ไม่มีความสุข  คิดว่าตนได้รับความอยุติธรรมอยู่เสมอ
13. การหาเพื่อนสนิทสักคนหนึ่ง  หรือใครก็ได้ที่สามารถระบายความทุกข์และปรึกษาหารือได้    
เพราะการมีเพื่อนจะทำให้เรารู้สึกว่าไม่ได้ถูกทอดทิ้งให้อยู่คนเดียวในโลก
14. จงปล่อยให้เหตุการณ์บางอย่างผ่านไปตามแนวทางของมัน
อย่าไปฝืนหรือเอาจริงเอาจังเกินไป  เมื่อทำอะไรไม่สำเร็จก็เกิดอารมณ์ตึงเครียด  จงหยุดพักเสียระยะหนึ่ง  แล้วค่อยหันกลับมาทำใหม่  หรือเปลี่ยนแนวทางการกระทำเสียใหม่
15. จงตระหนักว่า   เวลาเป็นยารักษาความเจ็บปวด  เมื่อพลาดหวังหรือผิดหวัง
จงอดทนและมีความหวังต่อไป  ไม่ควรใช้วิธีถอยหนีหรือหลีกเลี่ยงปัญหาโดยการทำลายตัวเองต้องนึกไว้เสมอว่า  ถ้าเราปล่อยให้เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ตาม   ความเจ็บปวดต่าง ๆ  จะค่อย ๆ  ลดน้อยลงและหายไปในที่สุด
16. อย่าปล่อยให้เวลาว่างไปวันหนึ่ง ๆ  โดยไม่ทำอะไร
การปล่อยให้เวลาว่าง  จะทำให้คิดฟุ้งซ่าน  ต้องพยายามหางานอดิเรกที่ตนสนใจทำ  เช่น  ปลูกต้นไม้   เล่นกีฬา  อ่านหนังสือ  ฯลฯ  โดยเฉพาะงานอดิเรกที่เกี่ยวพันกับธรรมชาติ  จะช่วยบำรุงจิตใจให้ชีวิตมีความสุขสดชื่น  และมีความสงบ

ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นเพียงข้อเสนอแนะ  หรือแนวทางในการปฏิบัติตนอย่างกว้าง  ๆ  การที่จะดำรงชีวิตอยู่ให้มีความสุขเพียงใดขึ้นอยู่กับบุคคลว่า  จะนำหลักการหรือแนวทางไปดัดแปลง    ปรับปรุงให้เหมาะสมกับตนแค่ไหน  เพียงใด  และจริงจังหรือไม่เป็นสิ่งสำคัญ

ที่มา : “จิตวิทยาในชีวิตประจำวัน” มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์

หากใครอยากพบความสุขที่แท้จริง ลองปฏิบัติตามที่พระเยซูเจ้าทรงสอนนะครับ

พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นประชาชนมากมาย จึงเสด็จขึ้นบนภูเขา เมื่อประทับแล้ว บรรดาศิษย์เข้ามาห้อมล้อมพระองค์ พระองค์ทรงเริ่มตรัสสอนว่า
“ผู้มีใจยากจน ย่อมเป็นสุข เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา
ผู้เป็นทุกข์โศกเศร้า ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับการปลอบโยน
ผู้มีใจอ่อนโยน ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับแผ่นดินเป็นมรดก  
ผู้หิวกระหายความชอบธรรม ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะอิ่ม
ผู้มีใจเมตตา ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับพระเมตตา
ผู้มีใจบริสุทธิ์ ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้เห็นพระเจ้า
ผู้สร้างสันติ ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า
ผู้ถูกเบียดเบียนข่มเหงเพราะความชอบธรรม ย่อมเป็นสุข เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา
“ท่านทั้งหลายย่อมเป็นสุข เมื่อถูกดูหมิ่น ข่มเหงและใส่ร้ายต่างๆ นานาเพราะเรา จงชื่นชมยินดีเถิด เพราะบำเหน็จรางวัลของท่านในสวรรค์นั้นยิ่งใหญ่นัก เขาได้เบียดเบียนบรรดาประกาศกที่อยู่ก่อนท่านดังนี้ด้วยเช่นเดียวกัน