บทที่ 6 : ตะกละ (GLUTTONY)
พยศชั่ว “ตะกละ” เป็นความรักที่จะกินและดื่มอย่างเกินควบคุม มันเป็นความอยากอาหารเกินไป โดยที่เราละเมิดความสุขในการกินที่ถูกทำนองคลองธรรมซึ่งพระเจ้าได้ให้ไว้กับ “การกิน” และ “การดื่ม” ในบางครั้งเราจึงพูดว่าพยศชั่ว “ตะกละ” นี้ทำให้คนเป็น “เหมือนกับสัตว์” ถึงแม้ว่าสัตว์ไม่ค่อยจะกินหรือดื่มมากเกินไปก็ตาม นอกไปจากนี้ ความจริงอีกข้อหนึ่งในประโยคนี้ คือ พยศชั่ว “ตะกละ” ทำให้จิตใจทั้งสติปัญญาและเหตุผลอันเป็นส่วนที่ยกระดับให้มนุษย์เหนือกว่าสัตว์นั้นตกต่ำลง
พยศชั่ว “ตะกละ” เป็นแหล่งของอุปสรรคที่สำคัญในชีวิตจิตของมนุษย์เรา มันไม่ง่ายเลยที่จะศึกษาเล่าเรียน หรือ สวดภาวนาหลังจากการกินดื่มที่มากเกินไป พยศชั่ว “ตะกละ” นั้นทำให้จิตใจอ่อนแอลง และทำให้ความเกียจคร้าน, ราคะและความไม่บริสุทธิ์เพิ่มมากขึ้น และมักมีผลทำให้ความเซ่อซ่าและการพูดจาหยาบคายลามกสัปดนเกิดขึ้น
เราอาจถูกเรียกว่า “นักกิน” (gourmand) โดยการที่กินมากเกินไป หรือ บริโภคอาหารเร็วเกินไปและละโมบโลภมากเกินไป เราอาจกลายเป็น “นักกิน” ได้โดยการอยากกินอาหารที่พิถีพิถันเกินไป อยากกินอาหารแปลกๆ และ ประณีตเป็นพิเศษ เราอาจทำบาปผิดเพียงเล็กน้อยโดยการจุกจิกเลือกอาหารยากเกินไป ไม่ชอบไปหมด ชอบวิพากษ์วิจารณ์ หรือชอบบ่นติเกี่ยวกับอาหาร
การหมกมุ่นแต่การดื่มแอลกอฮอล์ หรือ ดื่มมากเกินไปอันส่งผลให้ความเมามายก็เป็นผลเสียหนึ่งของพยศชั่วนี้ คนขี้เหล้ามักขาดสติและเหตุผลจากการดื่มสุราได้ แล้วเขาก็จะไม่รู้ตัวว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ นิสัยชั่วร้ายนี้จะทำให้เขาสูญเสียชื่อเสียงอันดีงาม และทำให้ผู้อื่นรังเกียจเหยียดหยามเขา บ่อยครั้งที่การดื่มสุรานำมาซึ่งความยากจน, ความอับอายขายหน้า และความอดอยากหิวโหยของครอบครัว, ความโกรธโมโห, การสาปแช่ง, การทะเลาะวิวาท, การต่อสู้กัน การลักขโมยและการคดโกงอันเป็นผลมาจากการดื่มสุราจนเป็นนิสัย
ชายอาจทำร้ายภรรยาและลูกๆ ของเขาหรือ คนอื่นๆ กระทั่งทำการฆาตกรรมเพราะพยศชั่วนี้ บาปความไม่บริสุทธิ์นั้นมักมาพร้อมๆ กับพยศชั่วนี้ อุบัติเหตุทางรถยนต์นับครั้งไม่ถ้วนต่างเป็นผลมาจากการขับรถยนต์ขณะเมาสุราอุบัติเหตุทั้งหมดนั้นมักนำมาซึ่งการบาดเจ็บและความตายให้กับหลายๆ คนด้วย คนขี้เหล้านั้นบ่อยครั้งที่เสียชีวิตในขณะเมามายไม่มีสติ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถสำนึกบาปผิดในการทำบาปผิดของเขาได้ และหากเป็นเช่นนี้แล้วเขาจะไปถึงจุดหมายนิรันดรได้อย่างไรกันเล่า? พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า “ท่านไม่รู้หรือว่า คนอธรรมจะไม่ได้รับพระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก จงอย่าหลอกตนเอง คนผิดประเวณี คนกราบไหว้รูปเคารพ คนเป็นชู้ คนลักเพศ คนรักร่วมเพศ คนขโมย คนโลภ คนขี้เมา คนปากร้าย คนฉ้อโกง คนเหล่านี้จะไม่ได้รับพระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก” (1 คร 6 : 9-10)
โชคร้ายที่ปัจจุบันนี้การดื่มเหล้าจนเมามายนั้นมิได้จำกัดแต่เพียงมนุษย์เพศชายดังเช่นในอดีตเท่านั้น แต่มันได้กลายเป็นพยศชั่วทั่วไปในมนุษย์เพศหญิงด้วย และดูจะน่าอายมากกว่าด้วยซ้ำ
ระดับของความเมามายนั้นมีอยู่หลายขั้น การดื่มเหล้าจนเมามายอย่างสมบูรณ์นั้นทำให้ผู้ดื่มขาดเหตุผลโดยสิ้นเชิงและนั่นเป็นบาปหนัก การดื่มเหล้าที่ไม่เมามายนัก แค่ทำอะไรไม่เป็นระเบียบลำดับนั้นอาจมีความเป็นบาปหนักน้อยกว่าระดับของความเป็นบาปนั้นขึ้นอยู่กับระดับของการทำอะไรไม่เป็นระเบียบลำดับ
เราอาจทำบาปอื่นๆ ร่วมได้อีกเมื่อเราดื่มจนเกินพอดี ดังนั้นเราจึงต้องระมัดระวังอย่างมากในการเชื้อเชิญให้ดื่มสุราเป็นเครื่องหมายแห่งมิตรภาพและการต้อนรับ หรือ การเสริฟสุราในงานสังคมใดๆ การเชื้อเชิญดังกล่าวจะเป็นความผิดหากเรายืนกรานให้เขา/เธอดื่มขณะที่เขา/เธอปฏิเสธที่จะดื่ม หรือ การเสนอสุราที่ร้อนแรงให้แก่ผู้อ่อนวัย
การติดสุราเรื้อรังและผลร้ายอื่นๆ ที่ตามมานั้นเป็นหนึ่งในการแพร่กระจายของปีศาจในช่วงเวลาของเรา ชาย หญิงและคนหนุ่มสาวต่างตกเป็นเหยื่อของมัน มันทำให้หลายๆ ครอบครัวล่มสลายด้วยความระหองระแหงร้าวฉาน หรือ การหย่าร้าง การติดสุราเรื้อรังทำให้ชีวิตของทุกคนที่ตกอยู่ในอำนาจของมันเลวร้ายล่มสลายลง
พระศาสนจักรสอนว่าเราต้องมีความพอดีและความมีสติในการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ การงดดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์โดยสิ้นเชิงเป็นหนทางเดียวที่จะรับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่ข้ามเส้นของความพอดีและมีสติในการดื่มและกลายเป็นคนติดสุราหรือคนขี้เหล้าอันเป็นผลจากการปล่อยตัวครั้งแรกของพวกเขาในบางโอกาสหรือแม้ถูกระเบียบสังคมก็ตาม
อีกเรื่องที่สัมพันธ์กับหัวข้อนี้ที่ควรจะพูดถึง คือ การหลงไปเสพยาและสารเสพติด การเสพยาและสารเสพติดนั้นแม้มีความจำเป็นบ้างในการรักษาอาการเจ็บป่วย แต่ก็ต้องกระทำภายใต้การควบคุมของแพทย์เท่านั้นเพราะว่ามันมีอันตรายที่ก่อให้เกิดเป็นนิสัยที่ต้องใช้เป็นประจำได้
การป้องกันด้วยความพอดี
ในการมุ่งมั่นที่จะควบคุมอารมณ์/ความพอควรในการกินและดื่มนั้น เราต้องอาศัยตัวอย่างของพระเยซูเจ้าถึงการสำนึกผิด ความมีสติ การอดละเว้นและ ความละอายที่จะชักจูงใจเราให้ได้; อย่างเช่นตัวอย่างของนักบุญต่างๆ ผู้มักประพฤติตนด้วยการลดละเว้นอย่างกล้าหาญ โดยพวกท่านนำความอยาก (appetite) ต่างๆ ของพวกท่านที่เข้ามาครอบงำหรือที่ต้องการทำตามใจเสรีนั้นไปสร้างขึ้นเป็นกำลังใจ ความเพียรและความกล้าหาญ
ในช่วงหนึ่งของพระศาสนจักร ได้มีการประกาศให้มีการถือศีลอด หรือ การทรมานร่างกาย และการปฏิเสธความต้องการของตนเองต่ออาหาร ความพอดี หรือ เกณฑ์การอดอาหารนั้นส่งผลดีต่อร่างกายและพละกำลังของร่างกายได้ มันทำให้จิตใจของเราตื่นตัวและช่วยเราในการต้านทานกิเลสให้ลดน้อยลง การปฏิบัติคุณธรรมความดีต่างๆ ก็จะทำได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะช่วยป้องกันเราจากจากความโน้มเอียงที่จะทำบาปของเรา
ความสุขในการกินและดื่มนั้นไม่ใช่วัตถุประสงค์สุดท้ายของการกินและดื่ม แต่วัตถุประสงค์ของมันคือ เพื่อที่จะรักษาชีวิตไว้ หลักการที่แนะนำเราในการหลีกเลี่ยงพยศชั่ว “ตะกละ” คือกฎโบราณเก่าแก่ คือ “กินเพื่ออยู่ มิใช่อยู่เพื่อกิน” นักบุญเปาโลเตือนสติเราว่า “เมื่อท่านจะกินจะดื่มหรือจะทำอะไรก็ตาม จงกระทำเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าเถิด” (1 คร 10 : 31)