บทที่ 4 : โมโห (WRATH OR ANGER)
“โมโห” เป็นหนึ่งในหลายๆ กิเลสของจิตวิญญาณ มันทำการโจมตีจิตวิญญาณเราทั้งในรูปแบบที่เป็นจริงและรูปแบบมโนคติ อันทำให้เราต้องการที่จะ “มีเรื่อง” กับผู้อื่น เมื่อความปรารถนาที่จะแก้แค้นนั้นไม่ถูกอดกลั้นไว้ มันก็เป็นบาป และพยศชั่ว “โมโห” ขัดขวางต่อต้านกับกิจเมตตากุศลและความยุติธรรม อย่างไรก็ตามการโมโหในทุกๆ รูปแบบนั้นมิใช่พยศชั่ว การใช้อารมณ์ในบางโอกาสนั้นไม่ใช่พยศชั่ว “โมโห” แต่มันอาจจะเป็น “บาป” ยังมีความโมโหรูปแบบหนึ่งที่ดีและมีความถูกต้องเที่ยงธรรมเมื่อ “โมโห” จากเหตุอันเหมาะสมเช่นในกรณีที่พระเยซูเจ้าทรงขับไล่พ่อค้าออกจากพระวิหาร
เราเปิดทางให้ความโกรธและความเกลียดเข้ามาเมื่อเราเก็บสะสมความไม่พอใจไว้ในจิตใจของเราเพื่อต่อต้านกับคนๆ หนึ่งหรือหลายๆ คน เมื่อเราวางแผนคิดร้ายต่อใครด้วยคำพูดหรือการกระทำ, เมื่อเราใช้คำพูดดูหมิ่นสบประมาทใครบางคน เรามีมลทินของ “โมโห” เมื่อเราถูกกระตุ้นและถูกทำให้โกรธจนถึงระดับที่เราโจมตีหรือทำร้ายผู้อื่น; เมื่อเราโต้เถียงทะเลาะวิวาทอย่างรุนแรงกับผู้อื่น หรือเมื่อเราแสดงสีหน้าอาการบูดบึ้งหรือสีหน้าเฉยชา เราแสดงความไม่พอใจเคียดแค้นขุ่นเคืองแก่ใครสักคนหนึ่ง บาปของเราจะร้ายแรงมากๆ ถ้าเราสะสมความคั่งแค้นเกลียดชัง หรือ ความเกลียดไว้ในหัวใจของเรายิ่งนานหลายวัน หลายเดือน หลายปีและปราศจากความรู้สึกที่ดีเป็นมิตรเสียแล้ว เรายังมีมลทินของ “โมโห” ถ้าเราใช้อำนาจบังคับบัญชาของเราดูถูกเหยียดหยามและลงโทษผู้ใต้บังคับบัญชามากกว่าโทษทัณฑ์ที่เขาควรจะได้รับ หรือ การแสดงออกภายนอกถึงการดูถูกเหยียดหยาม
“โมโห” เป็นพยศชั่วที่ทำร้ายและสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรง ความโกรธระดับหนึ่งก็จะทำให้เราถูกกีดกันออกจากความมีเหตุผลแล้วและทำให้เราออกห่างจากพระเจ้า พยศชั่ว “โมโห” แบ่งแยกเราออกจากเพื่อนฝูงญาติสนิท พยศชั่ว “โมโห” จะบดบังความมีสติสัมปชัญญะและความดื้อรั้นอันขาดเหตุผลของมันจะทำให้เราเหยียดหยามเหยียบย่ำสิทธิต่างๆ ของผู้อื่น
พยศชั่ว “โมโห” ทำลายสันติภาพและทำให้เกิดสงครามอันเลวร้าย มันก่อให้เกิดปีศาจชนิดต่างๆ มากมาย การแตกสามัคคี ความร้าวฉาน ความเกลียดชังเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน การยืนกรานทะเลาะโต้เถียงกัน การดูถูกเหยียดหยาม ความอาฆาตมุ่งร้าย การใส่ร้ายป้ายสีความผิดให้แก่กัน การดูหมิ่นศาสนา ความเกลียดชัง การแก้แค้นจองเวรและการฆาตกรรม สิ่งเหล่านี้จะทำลายกิจกุศลต่างๆและเป็นอุปสรรคต่อ พระหรรษทานอันเป็นของประทานอันยิ่งใหญ่จากพระเจ้า
การตอบโต้พยศชั่ว “โมโห”
ถ้าพยศชั่ว “โมโห” เป็นปัญหาสำหรับเรา เราต้อหาให้ได้ว่าทำไม่เราถึงรู้สึกโกรธโมโหได้ง่ายและบ่อยมากนัก และเราต้องสู้กับมัน เฝ้าระวังและสวดภาวนาเพื่อที่จะเอาชนะมันให้ได้ อะไรก็ตามที่อาจทำให้เกิดความขุ่นเคืองไม่พอใจ และใครก็ตามที่มักทำให้เราขุ่นเคืองไม่พอใจแล้ว เราต้องเชื่อมั่นตัวเราเองว่าพระเจ้าทรงยินยอมสิ่งนั้นเพื่อให้เราได้พยายามฝึกความสุภาพถ่อมตัวให้เคยชิน เพื่อว่าเราจะได้เพิ่มเติมบุญกุศลของตัวเราเอง แทนที่จะปล่อยให้เราตกไปสู่อารมณ์โกรธโมโหนั้น เราต้องควบคุมตัวเองและเป็นตัวของตัวเองเพื่อที่จะไม่แสดงอาการไม่สงบหรือ ไม่แสดงการเป็นศัตรูด้วยคำพูดหรือการกระทำใดๆ
นักเขียนด้านจิตวิญญาณท่านหนึ่งได้ให้คำแนะนำอย่างฉลาดไว้ว่า “จงมีความสันโดษสงบสันติในตัวเองเสมอเพื่อที่คุณจะสามารถที่จะดับไฟโมหะได้ทุกเมื่อ เช่นนี้แล้ว เมื่อมีไฟโมหะโทสะ คุณจะต้องไม่เพียงสงบปากของคุณไว้แต่คุณต้องคอยคุมความสงบภายในของคุณด้วย เมื่อบังเกิดความสงบในตัวของคุณแล้ว ให้พยายามทำให้คู่กรณีที่โกรธคุณสงบลงด้วยความทรงจำของความเสียหายที่ได้รับต้องไม่ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาอีก” (Dom Van Houtryve, O.S.B., in Benedictine Peace)
ในการนำพยศชั่ว “โมโห” ไปสู่การยับยั้งชั่งใจ คือ การก้าวไปข้างหน้าเพื่อนำตัวของเราเองเข้าสู่การยอมจำนนต่อพระเจ้าอย่างหมดสิ้น การปรับอารมณ์เข้าหาผู้อื่นเป็นการประกันได้ถึงความสันติยินดี “การตอบคำถามด้วยความนุ่มนวลนั้นทำให้ความโกรธแค้นหายไปได้” ถ้าเราใช้ความสุภาพและอ่อนโยนภายใต้การยั่วยุใดๆ แล้ว เราก็จะระงับโทสะของบุคคลอื่นที่กำลังรู้สึกไม่พอใจได้ เราต้องจำไว้เสมอว่า พระเจ้าทรงห้ามการแก้แค้นพยาบาททุกประการ ถ้าผู้อื่นถูกปลุกเร้าให้เกิดความโกรธ เราต้องให้อภัยเขาด้วยความเต็มใจ พระเยซูเจ้าตรัสสอนเราว่า เราควรจะมองหาโอกาสที่จะแสดงความเมตตาแก่ผู้อื่นเพราะว่าการทำดีต่อผู้อื่นนั้นจะทำให้เรารักเขาและการกระทำเช่นนั้นจะเป็นสัญลักษณ์ภายนอกถึงการให้อภัยในจิตใจเรา
เราต้องการพระหรรษทานจากพระเจ้าในการเอาชนะพยศชั่ว “โมโห” และเราต้องพยายามฝึกฝนการเป็นตัวของตัวเองตลอดเวลา เราต้องวอนของพระเจ้าบ่อยๆ ให้ทรงประทานความสงบสุขในจิตใจ ความเยือกเย็นและสันติภาพ และเรียกร้องพระองค์ให้ทรงช่วยเหลือเราในเวลาที่เราตกอยู่ในบาป
ถ้าเราเป็นคนโกรธง่าย, เราต้องตั้งใจอย่างยิ่งในการสวดภาวนาบทข้าแต่พระบิดาเมื่อเรากล่าวว่า “โปรดประทานอภัยแก่ข้าพเจ้า เมื่อข้าพเจ้าให้อภัยแก่ผู้อื่น” และพยายามให้อภัยผู้อื่นด้วยความเต็มใจสิ่งนี้เป็นคุณธรรมเหนือธรรมชาติของขันติ ความข่มใจ ความสุภาพอ่อนโยนและการให้อภัย
พยศชั่ว “โมโห” เป็นธิดาของความทะนงตัวที่เคียดแค้นซึ่งสามารถก่อให้เกิดความขัดแย้งและการเห็นแก่ตัวในการที่จะแสวงหาแต่ความสะดวกสบาย พยศชั่วนี้ตรงข้ามกับความมีจิตใจสงบสันติอันเป็นหนึ่งในความต้องการที่จะก้าวหน้าในชีวิตจิต ไม่ว่าพยศชั่วนี้จะปรากฏในรูปการโกรธฉุนเฉียว หรือ ความน้อยใจขุ่นเคืองใจจนหน้าบูดบึ้ง มันก็ไม่ควรเกิดขึ้นในชีวิตคริสตชนของเรา การตรวจสอบถึงความไม่อดทนและความหงุดหงิดฉุนเฉียวง่ายแม้เพียงน้อยนิดที่จะพัฒนาขึ้นไปเป็นความโกรธโมโหนั้นจะช่วยเราให้หยุดยั้งการปะทุขึ้นของพยศชั่ว “โมโห” ได้ล่วงหน้า