ความหมายของกิริยาอาการบางประการในพิธีกรรม
การทำเครื่องหมายกางเขน (ทำสำคัญมหากางเขน)
- ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 3 ในพิธีรับศีลล้างบาป และศีลกำลังของคริสตชนในอัฟริกา และที่กรุงโรม มีการทำเครื่องหมายไม้กางเขนที่หน้าผากของผู้รับศีล เป็นเครื่องหมายว่า บุคคลผู้นั้นได้กลายเป็นของพระคริสตเจ้า และประหนึ่งถูกประทับตราหมายไว้แล้ว คริสตชนทำเครื่องหมายไม้กางเขนให้กับตนเองบ่อยๆ นอกจากทำเครื่องหมายบนหน้าผากแล้ว คริสตชนยังทำเครื่องหมายที่ส่วนอื่น ๆ ของร่างกายด้วย กลายเป็นเครื่องหมายขับไล่ปีศาจอีกอย่างหนึ่ง
- การทำเครื่องหมายกางเขนอีกรูปแบบหนึ่ง คือ การยกมืออวยพร วิธีการอวยพรจะแตกต่างกันบ้าง สุดแล้วแต่ท้องที่ และกาลสมัย พวกตะวันออกมักจะอวยพรโดยมือถือไม้กางเขนไปด้วย
- ส่วนการทำเครื่องหมายไม้กางเขนแบบ “มิติกว้าง” คือ ที่หน้าผากไปที่อก และไปที่บ่าซ้าย-ขวา ซึ่งนิยมทำกันมากในปัจจุบันนี้ เข้าใจกันว่ามีภายหลังวิธีแรกซึ่งเป็นแบบ “มิติสั้น” คือ ทำรูปกางเขนที่จุด ๆ เดียว ตรงส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย วิธีนี้นำมาใช้เป็นต้นว่า ก่อนอ่านพระวรสาร โดยผู้อ่านหมายรูปกางเขนบนหนังสือที่อ่าน และบนหน้าผาก ริมฝีปาก และหน้าอกของตน
- ระหว่างการสวดบท “ ข้าพเจ้าขอสารภาพ” เมื่อถึงตอน “โอ้บาปข้าพเจ้า” มีการ “ทุบอก” เป็นเครื่องหมายของความสำนึกผิด และความถ่อมตน กิริยาอาการนี้เราพบได้ในพระวรสารนักบุญลูกา “ฝ่ายคนเก็บภาษีนั้นยืนอยู่แต่ไกล ไม่แหงนดูฟ้า แต่ทุบอกตนเองว่า ข้าแต่พระเจ้าขอโปรดพระเมตตาแก่ข้าพเจ้าผู้เป็นคนบาปเถิด” (ลก 18:13)
การเงยหน้าขึ้นเบื้องบน (สวรรค์)
- พระสงฆ์ทำกิริยาอาการนี้เพื่อบรรยายถึงการกระทำของพระเยซูเจ้า ในบทขอบพระคุณที่ 1 ในพิธีว่าดังนี้ “พระองค์ท่านทรงหยิบปังไว้ในพระหัตถ์อันศักดิ์สิทธิ์น่าเคารพ ยกพระเนตรขึ้นหาพระบิดาผู้ทรงสรรพานุภาพ ขอบพระคุณ อวยพร บิออก แล้วยื่นให้สานุศิษย์…”
- ความจริงพระวรสารทั้งสี่ไม่ได้กล่าวถึงกิริยาอาการนี้ของพระเยซูเจ้าในเวลารับประทานอาหารค่ำมื้อสุดท้ายเลย อย่างไรก็ดี พระวรสารได้เล่าถึงการกระทำของพระเยซูเจ้าเช่นนี้ในเวลาทรงทวีขนมปัง (มธ 14:19)
การกางมือภาวนา
- การกางมือภาวนานี้ใช้ในกรณีที่พระสงฆ์ผู้เป็นประธานกล่าวคำภาวนาในมิสซา หรือในการอภิเษกในภาคตอนที่สำคัญ (สำหรับประเทศไทย อนุโลมให้พนมมือภาวนาตามธรรมเนียมไทย) กิริยาอาการนี้ สืบทอดมาจากการถือปฏิบัติของพวกยิว แต่คริสตชนได้ให้ความหมายใหม่ตามที่แตร์ตุลเลียนเขียนไว้ว่า “เราไม่เพียงแต่ยกมือขึ้น แต่ยังกางแขนออกไปยังพระเจ้า และขณะที่เราทำตามแบบการทนทุกข์ทรมานของพระเยซูคริสตเจ้า เราก็ยอมรับพระองค์ในขณะภาวนา ยิ่งกว่านั้น เมื่อเรานมัสการพระเป็นเจ้าด้วยความสำรวม และสุภาพถ่อมตน เราก็ทำให้ความภาวนานั้นเป็นที่สบพระทัยพระองค์ ถ้าแลว่าเราจะไม่ยกแขนแบบเลยเถิด แต่ในระดับกลาง และเหมาะสม และถ้าแลว่าเราไม่เงยหน้าขึ้นในลักษณะหยิ่งยโส”
- ในพันธสัญญาเดิมมีหลายตอนที่เอ่ยถึงลักษณะเช่นนี้ เช่น โมเสสยกและกางแขน เพื่อให้ความมั่นใจในชัยชนะของประชากรของท่าน (อพย 17:9-14)
- พระคริสตเจ้าก็ทรงทำกิริยาอาการเช่นเดียวกัน โดยทรงกางพระกรบนไม้กางเขน คริสตชนภาวนาแบบนี้เพื่อจะถือตามแบบอย่างของพระองค์ และขอร่วมมีส่วนในคำเสนอวิงวอนเพื่อได้รับชัยชนะแบบพระองค์
- กิริยาอาการที่ใช้ในพิธีกรรม บางอย่างก็เป็นเพียงเพื่อใช้ประโยชน์ เช่น การล้างมือหลังพิธีการบางอย่าง หรือหลังการเจิมน้ำมันศักดิ์สิทธิ์ หลังการโรยเถ้าบนศีรษะ บางอย่างก็เป็นการทำประกอบคำพูด เพื่อเน้นความหมาย เช่น การยกมือขวา (ของผู้ร่วมในพิธีฯ ) ชี้ไปที่ปัง และเหล้าองุ่นเวลาเสกศีล การยกพระกาย และพระโลหิตชูขึ้น พร้อมกับกล่าวคำว่า “อาศัยพระคริสตเจ้า พร้อมกับพระคริสตเจ้า และในพระคริสตเจ้า ข้าแต่พระบิดาผู้ทรงสรรพานุภาพ พระองค์ทรงพระสิริรุ่งโรจน์ ร่วมกับพระบิดา และพระจิตตลอดนิรันดร”
- นอกนั้นยังมีกิริยาอาการที่แสดงถึงความเคารพหรือเทิดทูนต่อบุคคล หรือสิ่งของที่ถือว่าศักดิ์สิทธิ์ กิริยาอาการเหล่านี้ บางอย่างอาจได้มาจากสังคมที่แวดล้อมในสมัยนั้น เช่น การซ่อนมือไว้ใต้เสื้อหรือผืนผ้าขณะอัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น อัญเชิญผอบบรรจุศีลมหาสนิท ตลอดจนถึงหมวกสูง ไม้เท้าพระสังฆราช เหล่านี้มาจากพิธีการในราชสำนักในสมัยจักรวรรดิไบซันตินยุคหลัง
- กิริยาอาการบางอย่างก็เป็นสิ่งที่ประดิษฐ์ขึ้นมาจากคริสตชนเอง เช่น เครื่องหมายกางเขนที่กระทำบนหน้าผาก อก และไหล่ทั้งสองข้าง ในที่นี้เราจะพิจารณาถึงความหมายของกิริยาอาการบางประการ
- ขอให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราแสดงออกภายนอกในพิธีกรรม เป็นสิ่งที่ออกมาจากความรักที่เปี่ยมล้นในจิตใจของเรา โดยที่เราไม่ลืมว่าพิธีกรรมเป็นคำภาวนาของพระศาสนจักร และเราทุกคนเป็นส่วนหนึ่งในพระวรกายศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้า