สมโภชพระเยซูเจ้า กษัตริย์แห่งสากลจักรวาล
ถ้าเราจะต้องบรรยายว่าพระเยซูเจ้าหมายถึงอะไรสำหรับคริสตชน เราคงจะทำได้ด้วยการใช้คำพูดที่คุ้นเคยกับพระมหากษัตริย์ที่ทรงเป็น "ผู้นำ" ของประเทศชาติ ไม่ว่าในฐานะเป็นกษัตริย์ เนื่องจากว่าผู้นำกษัตริย์เป็นบุคคลเดียวกันในพระคัมภีร์
ความเป็นความตายขององค์กรขึ้นอยู่กับการมีผู้นำที่มีความสามารถ เรามีประสบการณ์ในเรื่องนี้ แม้กระทั่งในเขตวัดของเราเอง ในระดับท้องถิ่น และระดับชาติ เราจึงทดสอบความสามารถในการเป็นผู้นำของผู้สมัครเป็นผู้แทน เราฟังคำปราศรัยของพวกเขาอดีตของพวกเขาถูกนำมาตรวจสอบ ถ้าพวกเขาเป็นคนซื่อสัตย์สุจริตและทำงานดี เราจึงเลือก
การเป็นผู้นำในระบอบการปกครองของพระเจ้ามาจากพระเจ้า และไม่ถูกเลือกจากหน่วยเลือกตั้งใดๆ เนื่องจากพระเยซูแห่งนาซาเร็ธ ทรงเป็นมนุษย์ที่มีพระเจ้าประทับอยู่แบบที่ว่าทรงได้รับชื่อว่าเป็น "บุตรของพระเจ้า" เราจึงไม่ต้องห่วง เกี่ยวกับความซื่อสัตย์และความสามารถของพระองค์ "พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระฉายาของพระเจ้าที่เรามองไม่เห็น" บัดนี้พระเยซูเจ้าผู้ทรงดำรงชีวิตและ "ประทับเบื้องขวาของพระเจ้า" ทรงเป็นผู้นำของทุกคนผู้กำลังพยายามทำให้อาณาจักรของพระเจ้าเป็ฯจริงขึ้นมาในตัวเขาและพี่น้อง
การปกครองของพระเยซูเจ้าในฐานะกษัตริย์ที่เริ่มขึ้นพร้อมกับการกลับคืนพระพระชนม์ชีพของพระองค์ จะคงอยู่ต่อไปจนถึงการเสด็จกลับมาครั้งที่สองของพระองค์ ในวันนั้น พระองค์จะทรงมอบอาณาจักรแด่พระบิดา อาณาจักรของความศักดิ์สิทธิ์และพระหรรษทาน อาณาจักรของความยุติธรรม ความรักและสันติ ทุกสิ่งจะปรากฏแจ้งในการเสด็จกลับมาอีกครั้งของพระองค์ในการตัดสินดี - ชั่ว ภาพการเสด็จกลับมาครั้งที่สองของพระเยซูเจ้าในความรุ่งโรจน์ นักบุญมัทธิวได้เห็นนถึงแก่นความคิดของคำสอนเชิงจริยธรรมของพระเยซูเจ้า ผู้ได้รับการแนะนำว่าทรงเป็นกษัตริย์ และผู้พิพากษา ซึ่งนักบุญมัทธิวได้แสดงให้เห็นในพระวรสารว่า :
"เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับพวกศิษย์ว่า "เมื่อบุตรแห่งมนุษย์จะเสด็จมาพร้อมด้วยมหิทธานุภาพ มีขบวนนิกรเทวดาห้อมล้อม พระองค์จะประทับเหนือพระบัลลังก์อันรุ่งโรจน์ บรรดาประชาชาติมาชุมนุมกันเฉพาะพระพักตร์ แล้วพระองค์จะทรงแบ่งพวกเขาออกเป็นสองพวก ดังคนเลี้ยงแกะแยกแกะออกจากแพะให้แกะอยู่เบื้องขวาส่วนแพะอยู่เบื้องซ้าย
แล้วพระมหากษัตริย์จะตรัสกับผู้ที่อยู่เบื้องขวาว่า "เชิญมาเถิด พวกท่านที่ได้รับพระพรจากพระบิดา เชิญมาครอบครองเหนืออาณาจักร ที่เตรียมไว้ให้พวกท่านแล้วตั้งแต่สร้างโลก เพราะเมื่อเราหิว ท่านก็ให้เรากิน เรากระหายท่านก็ให้เราดื่ม เราเป็นแขกไป ท่านก็ต้อนรับเรา เราไม่มีนุ่งไม่มีห่มท่านก็ให้ เราเจ็บไข้ได้ป่วยท่านก็มาเยี่ยม เราติดคุก ท่านก็มาหา
บรรดาผู้ชอบธรรมจึงทูลว่า "พระเจ้าข้า เมื่อไรเล่าที่ข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นพระองค์ทรงหิว แล้วได้ถวายพระกายาหาร เมื่อไรเล่าที่ทรงกระหายแล้วข้าพเจ้าทั้งหลายได้ถวายให้ทรงดื่ม ทรงเป็นแขกเมื่อไร ข้าพเจ้าทั้งหลายจึงได้ต้อนรับ เห็นพระองค์ไม่มีนุ่งไม่มีห่มเมื่อไรเล่า ข้าพเจ้าทั้งหลายจึงได้ถวายเครื่องนุ่งห่ม ทรงเจ็บไข้ได้ป่วยหรือทรงติดคุกเมื่อไร ข้าพเจ้าทั้งหลายจึงไปเยี่ยม
พระมหากษัตริย์จะตรัสตอบว่า "เราขอยืนยันว่า พวกท่านที่ปฏิบัติต่อพี่น้องแม้ที่ต่ำต้อยของเราครั้งใด ก็เท่ากับปฏิบัติต่อเรา
ครั้นแล้วจะตรัสกับพวกที่อยู่เบื้องซ้ายว่า เจ้าชาติชั่วถอยไปให้พ้น ลงไปในไฟนิรันดร ที่ได้เตรียมไว้ให้ปีศาจกับพรรคพวกของมัน เพราะเมื่อเราหิวเจ้าไม่ได้ให้อะไรเรากิน เรากระหายเจ้าไม่ให้อะไรเราดื่ม เราเป็นแขกไปเจ้าก็ไม่ต้อนรับ เราไม่มีนุ่งไม่มีห่มเจ้าก็ไม่ได้ให้ เราเจ็บไข้ได้ป่วยและอยู่ในคุกเจ้าก็ไม่ได้มาเยี่ยม
พวกนั้นจึงทูลว่า "พระเจ้าข้า เมื่อไรเล่าที่ข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นพระองค์ทรงหิวกระหาย เป็นแขกมาเมื่อไหร่ไม่มีนุ่งไม่มีห่ม เจ็บไข้ได้ป่วยหรืออยู่ในคุกเจ้าก็ไม่ได้ช่วยเหลือ?
พระมหากษัตริย์จะทรงตอบว่า "เราขอยืนยันว่า ตราบใดที่พวกเจ้าไม่ได้ปฏิบัติต่อผู้ต่ำต้อยคนใดคนหนึ่งนี้ พวกเจ้าก็ไม่ได้ปฏิบัติต่อเรา
แล้วพวกนี้ก็จะไปรับทรมานตลอดนิรันดร ส่วนคนชอบธรรมก็จะรับไปชีวิตนิรันดร" (มธ.25:31 - 46)
พระวรสารที่เกี่ยวกับการพิพากษานี้ถือเป็นจุดสุดท้ายของปีพิธีกรรม เราควรพิจารณาตนเอง การพิพากษาครั้งสุดท้ายจะไม่เป็นการจบสิ้น แต่เป็นการเริ่มต้นใหม่สำหรับผู้ที่ได้ติดตามการเป็นผู้นำของพระเยซูเจ้า ฟังปละปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์ ถวายกิจการต่างๆ ที่เรากระทำทุกวันแด่พระองค์ เพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดีต่อพระผู้ทรงเป็นพระมหากษัตริย์
สมเด็จพระสันตะปาปาปีโอที่ 11 ทรงตรัสไว้ว่า "พระเยซูเจ้าคือพระมหากษัตริย์ของเรา พระองค์ทรงอำนาจเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง บรรดาเทวดาในสวรรค์ยังต้องกราบนมัสการพระองค์ สาอะไรกับเรามนุษย์ ยิ่งต้องกราบถวายสามิภักดิ์ และเคารพ เชื่อฟังพระองค์เยี่ยงข้าบริการที่ซื่อสัตย์ของพระองค์"
นักุญเปาโลกล่าวว่า "พระเยซูเจ้าทรงเป็นศรีษะแห่งพระวรกายอันได้แก่ พระศาสนจักร คือพระองค์ทรงเป็นปฐมเหตุ บุคคลแรกที่กลับคืนพระชนม์ชีพจากบรรดาผู้ตาย เพื่อพระองค์จะได้ทรงอภิสิทธิ์เหนือสรรพสิ่ง" (คส.1:18)
"พระอาณาจักรของพระองค์จงมาถึง" ในหนังสืออริเจ็นกล่าวถึงการภาวนาตอนนี้ว่า :
"ตามพระวาจาพระผู้ไถ่ของเรา "อาณาจักรของพระเป็นเจ้า มิได้มาถึงตามแบบที่เราจะเห็นได้ ไม่มีใครจะพูดได้ว่า ดูซิอยู่นี่แล้ว หรืออยู่นั่นแน่ะ เหตุว่าอาณาจักรของพระเป็นเจ้าอยู่ในตัวเราเอง พระวาจาของพระเจ้าอยู่ใกล้เรามาก อยู่บนริมฝีปากและในใจของเรา "จึงเห็นได้ชัดว่าเมื่อคนใดคนหนึ่ง ภาวนาขอให้พระอาณาจักรของพระเป็นเจ้ามาถึง เขาจึงภาวนาอย่างที่เขาควรภาวนา เพื่อว่าพระอาณาจักรของพระเป็นเจ้า ซึ่งอยู่ในเขาจะได้ปรากฏออกมา เจริญขึ้นและเติบโตเต็มที่ นักบุญทุกท่าน สังกัดอยู่ในพระอาณาจักรของพระเป็นเจ้า และปฏิบัติตามกฎหมายฝ่ายจิตของพระเป็นเจ้า ผู้ประทับอยู่ในท่านเหมือนในนคร ที่มีการปกครองเป็นระเบียบเรียบร้อยดี พระบิดาสถิตอยู่ในท่าน และพระคริสตเจ้าทรงครองราชย์ร่วมกับพระบิดา ในวิญญาณของผู้ที่บรรลุถึงความครบครันดังที่พระองค์ตรัสว่า "เราจะมาหาเขา และจะพำนักอยู่ในตัวเขา"
สำหรับพวกเรา ที่รีบรุดหน้าไปอย่างไม่หยุดหย่อน อาณาจักรของพระเป็นเจ้า ซึ่งอยู่ในเราจะบรรลุถึงขั้นสมบูรณ์ เมื่อวาจาของท่านอัครสาวกสำเร็จไป คือเมื่อพระคริสตเจ้าได้ทรงปราบศัตรู ให้อยู่ใต้อำนาจของพระองค์แล้ว จะทรงมอบอาณาจักรแด่พระบิดาเจ้าเพื่อพระเป็นเจ้าจะได้เป็นทุกสิ่งสำหรับทุกคน ดังนั้นเมื่อเราภาวนาอย่างไม่ว่างเว้น ด้วยจิตตารมณ์ ซึ่งพระวจนาตถ์ทรงบันดาลในใจเรา ให้เราทูลพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์ว่า "พระนามจงเป็นที่สักการะ พระอาณาจักรจงมาถึง"
ในเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้าเราต้องเข้าใจว่า โดยเหตุที่ "ความชอบธรรมและความอธรรม จะเคียงคู่กันไปไม่ได้ ความสว่างกับความมืดจะอยู่ร่วมกันไม่ได้ พระคริสตเจ้ากับเบเลียลจะเข้ากันไม่ได้" อาณาจักรแห่งบาปจึงคงอยู่ร่วมกับอาณาจักรของพระเป็นเจ้าไม่ได้
ถ้าเราอยากมีพระเป็นเจ้า เป็นผู้ครองราชย์เหนือเรา ก็อย่าให้บาปครองร่างกายอันรู้ตายของเรา เราต้องทำลายสิ่งที่เป็นโลกนี้ในเรา และบังเกิดผลในพระจิตเจ้า เพื่อพระเป็นเจ้าจะได้ทรงดำเนินในเรา เหมือนในอุทยานและครองราชย์ในเรา
สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับเราแต่ละคน และศัตรูสุดท้ายของเราคือความตาย ก็จะถูกทำลายไปด้วย พระคริสตเจ้าจึงจะตรัสในตัวเราว่า "ความตายพิษสงของเจ้าอยู่ที่ไหนเล่า? ความตายชัยชนะของเจ้าอยู่ที่ไหน?" บัดนี้จงให้สิ่งที่เสื่อมสลายได้ในตัวเรา สวมใส่ความศักดิ์สิทธิ์ และความไม่เสื่อมสลายให้สิ่งที่ตายได้สวมใส่อมรภาพของพระบิดา เมื่อความตายถูกทำลายไปแล้ว พระเป็นเจ้าจะได้ครองราชย์เหนือเรา และจะได้ดำรงชีวิต ในพระคุณแห่งการบังเกิดใหม่ และการกลับคืนชีพตั้งแต่บัดนี้"
ที่มา หนังสือวันฉลองของพระเยซูเจ้า