มนุษย์คือภาพลักษณ์ของพระเจ้าผู้ซึ่งเป็นองค์ความรัก
11. พระเจ้าสร้างมนุษย์ให้เป็นภาพลักษณ์และรูปแบบคล้ายคลึงของพระองค์ เมื่อทรงสร้างมนุษย์เพราะความรักก็ยังทรงมีแผนการสร้างเขาเพื่อความรักด้วย
พระองค์คือองค์ความรัก และในพระองค์เองนั้น ชีวิตของพระองค์ดำรงอยู่ในสภาพธรรมล้ำลึกแห่งความรักระหว่างสามพระบุคคล เมื่อทรงสร้างมนุษย์ให้คงอยู่เสมอแล้ว พระองค์ก็ยังได้ทรงกำหนดพระกระแสเรียกพร้อมทั้งความสามารถและจิตสำนึกรับผิดชอบในตัวเขาให้เขารักและมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้น ความรักจึงเป็นกระแสเรียกขั้นพื้นฐานและเป็นองค์ประกอบของมนุษย์แต่ละคน
ในฐานะที่เป็นจิตลงมาเถิด กล่าวคือ เป็นวิญญาณซึ่งแสดงออกมาในร่างกาย และร่างกายซึ่งได้รับชีวิตจากจิตที่ไม่รู้จักตาย มนุษย์จึงมีลักษณะที่จะต้องแสดงความรักที่รวมเอาทุกๆ ส่วนของความเป็นมนุษย์ที่แบ่งแยกไม่ได้ ความรักเรียกร้องบทบาทของร่างกาย และร่างกายก็ได้รับส่วนร่วมจากความรักทางจิตใจ
คำสอนคริสตศาสนาสอนว่า มนุษย์จะตอบสนองพระกระแสเรียกเพื่อความรักนั้นอย่างครบบริบูรณ์ได้โดยหนทางที่เหมาะสมสองทาง คือ การสมรสและการถือพรหมจรรย์ ทั้งสองทางนี้ตามรูปแบบเฉพาะของตน ต่างก็เป็นการประกาศถึงความจริงสูงสุดของมนุษย์ซึ่งก็คือ “มนุษย์ถูกสร้างตามภาพลักษณ์ของพระเจ้า”
เพราะฉะนั้นเพศ* ซึ่งเป็นทางที่ชายและหญิงอุทิศตัวให้กันและกันในกิจกรรมที่เป็นเฉพาะของคู่สมรสนั้น ไม่ได้เป็นเพียงปรากฏการณ์ฝ่ายสรีระล้วนๆ แต่เป็นเรื่องที่เข้าถึงแก่นแท้ของความเป็นคนโดยตรง กิจกรรมทางเพศจะเป็นไปอย่างสอดคล้องกับรูปแบบเฉพาะของมนุษย์ได้ ก็ต่อเมื่อมันเป็นส่วนประกอบของความรักในลักษณะที่ทั้งชายและหญิงทุ่มเทตัวเองให้แก่กันและกันอย่างสิ้นเชิงจนกว่าชีวิตจะหาไม่ การอุทิศตัวทางร่างกายอย่างครบถ้วนจะเป็นสิ่งที่ไร้สาระถ้ามันไม่ได้เป็นทั้งเครื่องหมายและผลแห่งการอุทิศของความเป็นคนอย่างครบครัน ซึ่งในการอุทิศตัวนี้แก่นแท้ของความเป็นคนจะแสดงออกมาอย่างครบบริบูรณ์แม้ในส่วนที่เป็นร่างกาย ที่จริงถ้ามนุษย์จะยึดมั่นถือมั่นกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือสงวนสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนใจภายหลังได้ก็หาใช่การอุทิศตัวอย่างสมบูรณ์ไม่
ความรักฉันสามีภรรยาเรียกร้องให้เสียสละอย่างสมบูรณ์ดังที่กล่าวมาแล้ว ในทางเดียวกันการเจริญพันธุ์แบบมีจิตสำนึกรับผิดชอบก็เรียกร้องสิ่งเดียวกันด้วย การเจริญพันธุ์ นอกจากจะมีเป้าหมายที่จะให้กำเนิดบุตรแล้ว ก็ยังมีลักษณะเฉพาะที่อยู่เหนือระบบทางสรีระและครอบคลุมคุณค่าทั้งหมดของความเป็นคนด้วย และเพื่อให้คุณค่าเหล่านี้ได้เจริญเติบโตอย่างงดงาม จำเป็นอย่างยิ่งที่สามีภรรยาต้องร่วมมือกันตลอดเวลาและเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
แหล่งเดียวที่จะเอื้ออำนวยการอุทิศตัวดังกล่าวให้เป็นไปได้ตามความจริงของมันได้อย่างสมบูรณ์ก็คือ สถาบันการสมรส หรือพูดอักนัยหนึ่งคือคำสัญญาของความรักระหว่างสามีภรรยา หรือพูดอีกนัยหนึ่งคือคำสัญญาของความรักระหว่างสามีภรรยา หรือการเลือกสรรซึ่งชายและหญิงที่รู้ตัวและมีอิสระ สมัครใจดำเนินชีวิตและความรักด้วยความสนิทสนมที่ลึกซึ้ง ผู้กำหนดความสัมพันธ์ประเภทนี้ก็คือพระผู้เป็นเจ้าเอง และด้วยเหตุผลข้อนี้มนุษย์จึงจะเข้าใจความหมายอันแท้จริงของความสัมพันธ์นั้น การตั้งสถาบันการสมรสมานั้น ไม่ใช่เกิดจากการแทรกแซงอันเกินควรของสังคมหรือของผู้มีอำนาจหน้าที่และก็ไม่ใช่การกำหนดรูปแบบที่บังคับจากภายนอก แต่การตั้งสถาบันนี้เกิดจากข้อเรียกร้องแห่งความรักฉันสามีภรรรยาซึ่งต้องการจะแสดงตัวอย่างเปิดเผยว่าเป็นแบบรักเดียวใจเดียวและเฉพาะคู่ เพื่อจะได้ดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับแผนการของพระผู้สร้างอย่างพิถีพิถัน อย่างไรก็ดี ความสอดคล้องนี้ไม่ได้จำกัดอิสรภาพของคนให้น้อยลงเลย แต่กลับป้องกันไม่ให้อิสรภาพตกเป็นแต่เพียงความคิดส่วนตัวหรือเป็นไปตามกระแสความคิดของสังคม และยังบันดาลให้อิสรภาพนั้นมีส่วนร่วมกับพระปรีชาญาณ