พระเยซูคริสต์ : เจ้าบ่าวของพระศาสนจักรและศีลศักดิ์สิทธิ์แห่งการสมรส
13. ความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์บรรลุถึงสภาพที่สมบูรณ์ในองค์พระคริสตเจ้าผู้เปี่ยมไปด้วยความรักและอุทิศตัวเป็นพระผู้ไถ่มนุษยชาติ โดยการยกพวกเขามาเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ในฐานะที่เป็นเลือดเนื้อของพระองค์เอง
พระองค์ทรงเปิดเผยความจริงดั้งเดิมของการสมรสซึ่งเป็นความจริงของ “ปฐมกาล” และเมื่อพระองค์ทรงช่วยมนุษย์ให้พ้นจากใจดื้อกระด้างแล้ว พระองค์ก็ยังบันดาลให้มนุษย์สามารถปฏิบัติตามความจริงนั้นอย่างสมบูรณ์ด้วย
การเปิดเผยนี้บรรลุถึงความสมบูรณ์ที่เลิศล้ำ ทั้งในการอุทิศตัวด้วยความรักซึ่งพระวจนะประทานแก่มนุษย์เมื่อพระองค์ทรงรับเอาสภาพมนุษย์ และในการอุทิศตัวเป็นยัญบูชาซึ่งพระองค์ทรงรับเอาสภาพมนุษย์ และในการอุทิศตัวเป็นยัญบูชาซึ่งพระเยซูคริสต์ได้ทรงถวายตัวบนไม้กางเขนแก่เจ้าสาวของพระองค์เองคือ พระศาสนจักรในการถวายบูชาครั้งนี้ แผนการซึ่งพระเจ้าได้ทรงจารึกไว้ในธรรมชาติมนุษย์ของชายหญิงตั้งแต่สร้างเขาขึ้นมานั้น ก็ได้ปรากฏอย่างบริบูรณ์ การสมรสของผู้ที่รับศีลล้างบาปแล้วได้กลายเป็นสัญลักษณ์แท้แห่งพันธสัญญาใหม่อันยืนยงซึ่งพระโลหิตของพระคริสต์เป็นเครื่องรับรอง พระจิตซึ่งพระคริสตเจ้าทรงหลั่งรินออกมาประทานหัวใจใหม่ให้แก่ชายและหญิงอยู่เสมอ และดลบันดาลให้เขาสามารถรักกันและกันดังที่พระคริสต์ได้ทรงรักเขา ความรักระหว่างสามีภรรยาจะบรรลุถึงขั้นสมบูรณ์ที่เป็นเป้าหมายอันลึกซึ้ง คือ ความรักอันบริสุทธิ์ยิ่งของสามีภรรยา ซึ่งเป็นรูปแบบเฉพาะเจาะจงที่สามีภรรยามีส่วนร่วมในความรักที่บริสุทธิ์ยิ่งของพระคริสต์ผู้ทรงมอบตัวพระองค์บนไม้กางเขน และทั้งสองยังได้รับการเรียกร้องให้ดำเนินชีวิตตามความรักอันสูงส่งนี้
เตอร์ตุลเลียนได้บรรยายถึงความยิ่งใหญ่และความสวยงามของชีวิตสมรสในพระคริสต์ด้วยถ้อยคำที่คู่ควรแก่การยกย่องว่า “ข้าพเจ้าจะทำอย่างไรจึงจะสามารถบรรยายได้อย่างน่าพอใจถึงความสุขของการสมรส ซึ่งพระศาสนจักรได้อำนวยให้ ซึ่งได้รับความเข้มแข็งจากการถวายบูชา ได้รับความมั่นคงจากคำอวยพร นิกรเทพเทวาป่าวประกาศและพระบิดาเจ้าเองทรงรับรอง ช่างเป็นข้อผูกพันที่น่าอัศจรรย์เสียนี่กระไร ระเบียบชีวิตและการสมัครใจรับใช้อันเดียวกัน เขาทั้งสองต่างก็เป็นบุตรและผู้ปรนนิบัติพระเจ้าองค์เดียวกัน ไม่มีการแบ่งแยกทางจิตใจและทางเนื้อหนัง ตรงกันข้ามกลับปรากฏว่าทั้งสองเป็นเนื้อเดียวกันอย่างแท้จริง เมื่อเนื้อหนังเป็นหนึ่งเดียวกันฉันใดจิตใจก็เป็นหนึ่งเดียวกันฉันนั้น”
ด้วยการรับเอาพระวาจามารำพึง พระศาสนจักรได้สอนอย่างเป็นทางการและยังคงสอนเสมอว่า การสมรสระหว่างผู้ที่รับศีลล้างบาปแล้วเป็นศีลประการหนึ่งในศีลศักดิ์สิทธิ์ 7 ประการแห่งพันธสัญญาใหม่”
ที่จริง โดยศีลล้างบาป ชายและหญิงมีสถานภาพร่วมในพันธสัญญาใหม่อันยืนยงอย่างแน่นอน ซึ่งเป็นพันธสัญญาแห่งการสมรสระหว่างพระคริสตเจ้ากับพระศาสนจักร และเพื่อเห็นแก่สถานภาพดังกล่าวซึ่งไม่มีวันลบล้างได้นี้ ก็ทำให้การร่วมชีวิตและความรักอย่างลึกซึ้งของคู่สมรสตามที่พระผู้สร้างได้ทรงจัดไว้ ได้รับการเชิดชูและประสานเข้ากับความรักที่บริสุทธิ์ยิ่งของพระคริสตเจ้าผู้เป็นเจ้าบ่าวพร้อมกับได้รับการอุ้มชูและเสริมคุณค่าอันล้ำเลิศจากฤทธานุภาพของพระผู้ไถ่
ด้วยเหตุที่การสมรสของเขาทั้งสองเป็นศีลศักดิ์สิทธิ์อันผูกพันกันอย่างยกเลิกมิได้ เมื่อเป็นของกันและกันแล้ว ทั้งสองจึงได้กลายเป็นสัญลักษณ์ที่แท้จริงของความสัมพันธ์ระหว่างพระคริสต์กับพระศาสจักรด้วยฤทธิ์กุศลของศีลศักดิ์สิทธิ์
เพราะฉะนั้น สามีภรรยาจึงเป็นเครื่องเตือนใจพระศาสนจักรให้ระลึกถึงเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นที่ไม้กางเขนอยู่เสมอ เขาทั้งสองเป็นสักขีพยานให้แก่กันและกันให้แก่ลูกๆ ถึงเรื่องความรอดซึ่งเขาได้รับเกียรติให้เป็นผู้ร่วมมือในความรอดนั้นโดยทางศีลศักดิ์สิทธิ์ ศีลสมรสก็เป็นอนุสรณ์ การรื้อฟื้น และการประกาศถึงอนาคตของเหตุการณ์แห่งความรอด เช่นเดียวกับศีลศักดิ์สิทธ์อื่นๆ “ในฐานะที่เป็นอนุสรณ์ ศีลสมรสมอบพระหรรษทานและมอบหน้าที่ให้แก่คู่สมรสเฉลิมฉลองมหัศจรรย์ซึ่งพระเจ้าทรงกระทำในอดีตและให้เป็นพยานยืนยันถึงมหัศจรรย์เหล่านี้ต่อบุตร ในฐานะที่เป็นการรื้อฟื้นเหตุการณ์แห่งความรอด ศีลสมรสมอบพระหรรษทานและมอบหน้าที่ที่จะปฏิบัติต่อกันและต่อลูกๆ ให้สำเร็จลุล่วงในปัจจุบันให้จงได้ตามความเรียกร้องของความรักที่รู้จักให้อภัยและสร้างจิตใจใหม่ ในฐานะที่เป็นการประกาศถึงอนาคต ศีลสมรสมอบพระหรรษทานและมอบหน้าที่ที่จะดำเนินชีวิตได้ด้วยความหวังอันแน่วแน่ว่า จะได้ประสบกับพระเยซูคริสต์ในอนาคต และที่จะเป็นพยานยืนยันถึงความหวังนั้น”
“เช่นเดียวกับศีลศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 7 ประการ ศีลสมรสก็เป็นสัญลักษณ์ที่แท้จริงถึงเหตุการณ์แห่งความรด แต่ยังมีลักษณะเฉพาะอีกด้วย สามีภรรยามีส่วนร่วมเป็นพิเศษในความรอดในฐานะที่คน 2 คน รวมกันเป็นคู่หนึ่ง จนกระทั่งต้องเข้าใจว่า ผลโดยตรงที่เกิดจากศีลสมรส (Res et Sacramentum) หาใช่พระหรรษทานเองไม่ แต่เป็นพันธะระหว่างสามีภรรยาตามแบบคริสตชน และเป็นความสัมพันธ์ระหว่าง 2 คน ซึ่งเป็นความสัมพันธ์แบบเฉพาะคริสตชน เพราะเป็นเครื่องหมายถึงธรรมล้ำลึกแห่งการบังเกิดเป็นมนุษย์และธรรมล้ำลึกแห่งพันธสัญญาของพระคริสตเจ้า ชีวิตร่วมกับพระคริสตเจ้าก็มีเนื้อหาสาระโดยเฉพาะเหมือนกัน ความรักฉันสามีภรรยาเรียกร้องให้ทุกๆ ส่วนของบุคคลรวมตัวกันอย่างครบบริบูรณ์ อันได้แก่ การกระตุ้นของร่างกายและสัญชาติญาณ แรงแห่งความรู้สึกและอารมณ์ ความทะเยอทะยานของจิตใจและเจตจำนง ความรักฉันสามีภรรยามุ่งถึงเอกภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างบุคคลซึ่งเป็นเอกภาพที่นอกจากจะเป็นเนื้อเดียวกันแล้วยังนำไปสู่การหล่อหลอมให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันด้วย ความรักยังเรียกร้องให้สามีภรรยาหย่าร้างกันไม่ได้และให้ซื่อสัตย์ต่อการอุทิศตัวแก่กันจนถึงที่สุด และความรักเปิดโอกาสให้มีการเจริญพันธุ์ (ดู สมณสารชีวิตมนุษย์ ข้อ 9) สรุปแล้ว ทุกสิ่งที่กล่าวมานี้บ่งถึงคุณลักษณะพื้นฐานของความรักระหว่างสามีภรรยาทั่วไปก็จริง แต่ยังแสดงว่าประกอบด้วยความหมายใหม่ ซึ่งไม่เพียงชำระลักษณะเหล่านั้นให้บริสุทธิ์ขึ้นหรือทำให้มันแกร่งกล้าขึ้นเท่านั้น แต่เชิดชูให้สูงขึ้นจนกระทั่งสมกับที่ได้เป็นการแสดงออกถึงคุณค่าของพระคริสต์โดยเฉพาะ”