การสมรสและการถือพรหมจรรย์
16. การถือพรหมจรรย์หรือการถือความเป็นโสดเพราะเห็นแก่พระอาณาจักรของพระเจ้านั้น มิได้ขัดแย้งกับศักดิ์ศรีของการสมรส การสมรสและการถือพรหมจรรย์ต่างก็เป็นวิถีทางสองแบบในการแสดงออกและในการดำเนินชีวิตตามธรรมล้ำลึกอันหนึ่งอันเดียวกันแห่งพันธสัญญาระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ ถ้าการสมรสมิได้รับการยกย่อง การถือพรหมจรรย์เพื่อเห็นแก่พระเจ้าก็ไม่สามารถดำรงอยู่ได้ ถ้าเพศมนุษย์มิได้รับการยอมรับว่าเป็นคุณค่าอันยิ่งใหญ่ซึ่งพระผู้สร้างมอบให้แล้ว การสละเรื่องเพศเพื่อพระอาณาจักรสวรรค์ก็เป็นสิ่งที่ไร้สาระ
นักบุญยอห์น คริสโซสโธม กล่าวไว้ได้ถูกต้องว่า “ผู้ใดสบประมาทการสมรสผู้นั้นก็สบประมาทพรหมจรรย์ด้วย ผู้โดยยกย่องการสมรส ผู้นั้นก็ทำให้พรหมจรรย์ได้รับการยกย่องและโชติช่วงมากยิ่งขึ้น อะไรที่ถูกมองว่าดีโดยเปรียบเทียบกับสิ่งเลวก็หาใช่ความดีจริงไม่ แต่สิ่งที่ดีกว่าสิ่งที่ทุกคนยอมรับว่าดีแล้ว ย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุด”
ในการถือพรหมจรรย์ มนุษย์แม้แต่ฝ่ายร่างกายกำลังรอคอยการสมรสระหว่างพระคริสต์กับพระศาสนจักรในวาระสุดท้ายของโลก มอบตนเองทั้งหมดต่อพระศาสนจักรโดยหวังอย่างยิ่งว่า พระคริสต์จะมอบตัวพระองค์เองให้กับพระศาสนจักรตามความจริงที่สมบูรณ์ซึ่งจะปรากฏในชีวิตนิรันดร ดังนั้น แม้แต่ร่างกายของผู้ถือพรหมจรรย์ก็ยังสะท้อนให้เห็นภาพเบื้องต้นของโลกที่จะเกิดขึ้นหลังจากการกลับคืนชีพ
โดยการเป็นพยานเช่นนี้ การถือพรหมจรรย์จึงเป็นการรักษาสำนึกแห่งธรรมล้ำลึกของการสมรสให้มีชีวิตชีวาในพระศาสนจักรอยู่เสมอและปกป้องการสมรสมิให้ถูกลดค่าเสื่อมโทรมลง
นอกเหนือจากว่า จะอำนวยให้จิตใจมนุษย์เป็นอิสระอย่างน่าอัศจรรย์ “จนกว่าจะร้อนรนด้วยความรักของพระเจ้าและต่อมนุษย์ทั้งมวล” แล้ว การถือพรหมจรรย์ก็ยังยืนยันว่า อาณาจักรของพระเจ้าและความศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์เหมือนไข่มุกที่ล้ำค่าซึ่งต้องเลือกสรรไว้เหนืออื่นใด ไม่ว่าสิ่งนั้นจะมีค่าสูงแค่ไหนก็ตาม และต้องแสวงหาให้ได้เพราะเป็นคุณค่าที่แน่นอนและถาวรแต่เพียงสิ่งเดียว ด้วยเหตุนี้เองพระศาสนจักรจึงได้ปกป้องความสูงส่งของพระคุณนี้มากกว่าของการสมรสเพราะพระคุณนี้มีความเชื่อมโยงเป็นพิเศษกับอาณาจักรพระเจ้า
แม้ว่าเขาได้เสียสละการเจริญพันธุ์ทางร่างกาย แต่ผู้ถือพรหมจรรย์กลับเจริญพันธุ์ได้ทางจิตใจ คือเป็นพ่อเป็นแม่ของบุตรมากมาย และดังนั้นเขาจึงมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์สถาบันครอบครัวให้ตรงกับแผนการของพระเจ้า
คู่สมรสคริสตชนมีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องให้ผู้ถือพรหมจรรย์เป็นตัวอย่างที่ดีและเป็นพยานถึงความซื่อสัตย์ต่อกระแสเรียกของตนจนกระทั่งตาย บางครั้ง คู่สมรสเองต้องประสบกับความยากลำบากที่จะถือความซื่อสัตย์ต่อกัน และเขาได้อุตส่าห์พยายามที่จะอุทิศตัว ยับยั้งใจและปฏิเสธตัวเอง เรื่องทั้งหมดนี้อาจจะเกิดกับผู้ถือพรหมจรรย์ได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น ความซื่อสัตย์ของการถือพรหมจรรย์ในยามที่ยากลำบากจึงต้องเป็นสิ่งที่ช่วยอุดหนุนความซื่อสัตย์ของคู่สมรส
ที่สุด การพิจารณาไตร่ตรองในเรื่องการถือพรหมจรรย์สามารถให้ความสว่างและช่วยเหลือผู้ที่ไม่สามารถแต่งงานโดยไม่ตั้งใจ แต่ต่อมายอมรับสภาพของตนด้วยจิตตารมณ์พร้อมที่จะรับใช้คนอื่น