นางนิวแมนเป็นแม่หม้ายคนหนึ่ง ลูกชายเพียงคนเดียวของเธอตายในสงคราม เธออาศัยอยู่เพียงลำพังในบ้านหลังหนึ่งซึ่งอยู่รอบนอกของเมืองมิวนิค
เย็นวันหนึ่งเธอได้ยินเสียงกระดิ่งที่ประตูบ้านของเธอ เธอออกไปดูและพบหญิงสาวในชุดพยาบาลกำลังยืนรอเธอ หญิงสาวกล่าวกับเธอว่า “คุณนิวแมนคะ ลูกชายของคุณกำลังอยู่ในสภาพที่เป็นตายเท่ากัน เขาถูกส่งไปที่โรงพยาบาลและเขาอยากจะพบคุณ”
นางนิวแมนตอบว่า “ลูกชายของฉันหรือ เขาตายมาได้ 2 ปีแล้วที่รัสเซีย ฉันมีลูกชายเพียงคนเดียว” นางพยาบาลกล่าวว่า “แต่ชายหนุ่มได้พูดถึงชื่อของแม่ของเขา คือ นางนิวแมน และบอกกับเราว่าแม่ของเขาอยู่ในบริเวณนี้ ตามความเห็นของแพทย์ มีเพียงแม่ของเขาที่จะช่วยเขาได้”
ทันทีนางนิวแมนคิดได้ว่าในถนนสายเดียวกันนี้มีครอบครัวนิวแมนอีกครอบครัวหนึ่ง ครอบครัวนี้มีลูกชายสองคนเป็นทหารในกองทัพ และเนื่องจากกลัวการทิ้งระเบิด ครอบครัวนี้จึงอพยพไปอยู่ในหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกล แต่จะติดต่อกับพ่อแม่ของทหารคนนั้นได้อย่างไร เนื่องจากมีเวลาที่จำกัด พยาบาลกล่าวอีกครั้งหนึ่งว่า “คุณนิวแมนคะ ฉันควรจะทำอย่างไรเพื่อจะได้พบกับพ่อแม่ของทหารคนนั้น”
นางนิวแมนตัดสินใจไปที่โรงพยาบาลกับพยาบาล เธอนั่งลงใกล้ๆ เตียงของทหารหนุ่ม เขาเรียกชื่อแม่ของเขา นางนิวแมนจับมือของเขา เช็ดเหงื่อที่หน้าผากของเขา ลูบหลังของเขา และกล่าวว่า “ลูกเอ๋ย ลูกจะต้องดีขึ้น แม่มั่นใจว่าลูกทำได้ ไม่ต้องกลัว แม่อยู่ที่นี่กับลูกแล้ว” โดยไม่ได้เปิดตา เขากล่าวว่า “แม่ครับ ผมดีขึ้นแล้ว จับมือผม ผมรู้สึกว่าผมมีไข้สูง” นางนิวแมนนั่งอยู่ใกล้ๆ เตียงของทหารหนุ่ม ปลอบโยนและบรรเทาใจเขา ในไม่ช้าเขาได้หลับไป อีกไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น แม่ที่แท้จริงของเขาได้มาถึงที่โรงพยาบาล
แพทย์ขอบคุณนางนิวแมนและกล่าวกับเธอว่า “มันเป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ ที่คุณมาดูแลคนแปลกหน้าที่คุณไม่รู้จัก” นางนิวแมนตอบว่า “ไม่เลย เพราะฉันคิดว่าทุกคนเป็นพี่เป็นน้อง เป็นลูกชาย ลูกสาวของฉัน”
ชวนคิดสะกิดใจ
เมื่อเรารักพระเจ้า และมองว่าทุกคนเป็นลูกของพระองค์ เป็นพี่น้องของเรา สิ่งนี้ผลักดันให้เราปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างดี ด้วยความเมตตากรุณาต่อเขา แม้เขาจะเป็นผู้ต่ำต้อยที่สุด หรือเป็นคนแปลกหน้าที่เราไม่รู้จัก ดังที่พระเยซูเจ้าทรงสอนเราว่า “จงเป็นผู้เมตตากรุณาดังที่พระบิดาของท่านทรงพระเมตตากรุณาเถิด” (ลก 6:36)