พ่อค้าผู้ร่ำรวยคนหนึ่งได้ไปเที่ยวเกาะแห่งหนึ่งซึ่งสวยมาก คนพื้นเมืองได้มารับจ้างแบกสัมภาระให้กับเขา ระหว่างทางไปโรงแรมซึ่งมีระยะทางไกลพอสมควร พ่อค้าได้คุยกับคนพื้นเมืองหลายเรื่อง คนพื้นเมืองได้เล่าถึงคุณพ่อมิสชันนารีที่เข้ามาแพร่ธรรมที่เกาะนี้ และชาวเกาะได้กลับใจมานับถือศาสนาคริสต์ พ่อค้ายิ้มเยาะกล่าวกับคนพื้นเมืองว่า “ฉันไม่เห็นว่ามิสชันนารีพวกนี้จะทำประโยชน์อะไร นอกจากจะโน้มน้าวให้คนเปลี่ยนศาสนา”
คนพื้นเมืองเงียบเสียงในทันทีเขาก้มหน้าแบกสัมภาระและเดินต่อไป จนมาถึงหลักหินใหญ่สองสามก้อนที่วางอยู่กลางเกาะนั้น ด้วยความแปลกใจพ่อค้าจึงถามคนพื้นเมืองว่า “ท่านหยุดทำไม?” “เพราะฉันอยากให้ท่านทราบบางเรื่องที่เคยเกิดขึ้นที่นี่” คนพื้นเมืองตอบ “ไหนลองเล่าให้ฉันฟังซิ” พ่อค้ากล่าวด้วยสีหน้าสงสัย
“คุณทราบไหมว่าก่อนที่คุณพ่อมิสชันนารีจะมาแพร่ธรรมที่นี่ พวกเราเป็นเผ่าที่กินเนื้อมนุษย์ ทันทีที่เราพบคนแปลกหน้าที่เกาะของเรา เราจะจับเขา มัดมือ มัดเท้า และนำมาที่กองหินสามก้อนที่ท่านเห็นนี้ เราจะถลกหนังเขา และต้มเขาถวายเทพเจ้า และเราจะกินเนื้อของเขา แต่เมื่อคุณพ่อมิสชันนารีมาที่เกาะของเรา คุณพ่อได้สอนเราให้เข้าใจถึงคำสอนแห่งความรักของพระเยซูเจ้า และช่วยให้เราเลิกประเพณีที่โหดร้ายและป่าเถื่อนต่าง ๆ ท่านสอนให้เรารักพระเจ้าและรักเพื่อนมนุษย์ ถ้าไม่มีพวกท่านที่สอนเรา เชื่อได้เลยว่าป่านนี้คุณคงจะถูกต้มในหม้อเรียบร้อยแล้ว”
ชวนคิดสะกิดใจ
คำสอนของพระเยซูทำให้โลกของเราน่าอยู่ ไม่ว่าเราจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม อันที่จริงโลกเราอยู่รอดจนถึงทุกวันนี้ก็เพราะความรักของพระ และมีชายหญิงผู้ดำเนินชีวิตที่ดีงามหลายต่อหลายคนที่ประคับประคองโลกใบนี้ไว้ ลองคิดเล่นๆ ดูก็ได้ ถ้าหากทุกคนในโลกนี้เป็นคนเห็นแก่ตัว กอบโกย เห็นแก่ได้ และคิดถึงแต่ตนเอง โลกใบนี้จะอยู่ได้ไหม? แล้วคุณล่ะ คุณจะเป็นคนที่ทำลายโลก หรือจะทำให้โลกของเราน่าอยู่ยิ่งขึ้น