เดินทางรอนแรมลี้ภัยการเมืองอยู่กลางป่า
พอได้เวลาอาหาร ลูกศิษย์เตรียมตักข้าวใส่จานพร้อมสำรับอาหาร
ขณะกำลังตักข้าวอยู่ห่างๆ นั้น ท่านขงจื๊อสังเกตเห็นว่า
ลูกศิษย์หยิบข้าวจากจานของท่านขึ้นมาใส่ปากเคี้ยว
ท่านจึงสอนและชี้ให้เห็นว่า
การหยิบอาหารจากสำรับของครูบาอาจารย์
มารับประทานก่อนได้รับอนุญาตนั้น
แสดงถึงความ "อนารยะ" ที่น่าตำหนิอย่างยิ่ง
ลูกศิษย์จึงขอโอกาสชี้แจง
"อาจารย์ครับ ที่กระผมหยิบข้าวจากจานของอาจารย์ขึ้นมารับประทานก่อน
หาใช่กระทำไปด้วยความเขลาหรือขาดคารวะก็หาไม่
แต่ที่เป็นเช่นนั้นเพราะในจานข้าวของอาจารย์
มีผงถ่านสีดำปนเปื้อนข้าวอยู่
ครั้นจะยกมาให้อาจารย์เลยก็เกรงว่าคงไม่เหมาะ
จะหยิบข้าวที่เปื้อนนั้นทิ้งก็เสียดาย
เพราะข้าวหายากและจำเป็นมาก สำหรับการอยู่รอดในยามวิกฤติ
กระผมก็เลยหยิบข้าวที่เปื้อนนั้นขึ้นมารับประทานเสียเองขอรับ"
แววตาที่ฉายแววดุของผู้เป็นอาจารย์
ค่อยๆ ทอประกายอ่อนโยนด้วยเมตตา
ก่อนเอ่ยวาจาขอโทษผู้เป็นศิษย์อย่างไม่ถือตัว
- บ่อยครั้งที่เรามักตัดสินอะไรผิดพลาดอย่างง่ายดาย
- จนเสียทั้งคน เสียทั้งงาน และบางทีก็เสียผู้เสียคน
- เสียเกียรติภูมิที่สู้สั่งสมมาทั้งชีวิตในชั่วพริบตา
- เพียงเพราะเราเชื่อในสิ่งที่สายตารายงาน
- ขณะที่บางด้านของความจริงกลับเป็นอีกอย่างหนึ่ง
สามีทะเลาะกับภรรยา พ่อแม่ทะเลาะกับลูก
นายเข้าใจผิดลูกน้อง เพื่อนแตกจากเพื่อน
คนรักหันหลังให้กันทั้งที่ต่างฝ่ายก็แสนดี
เพียงเพราะต่างก็เชื่อใน "สิ่งที่ตาเห็น"
แต่ละเลยการ "เมียงมอง" อย่างพินิจแยบคาย
โดยใช้ "ปัญญาจักษุ" อันสุขุม
เราจึงติดอยู่ใน "ภาพลวงตา" อันเป็นมายาคติ
พลอยทำให้หลงลืม "ความจริง"
ที่เป็นจริงอีกด้านหนึ่งไปอย่างน่าเสียดาย
- จงมองด้วย "ตา" แล้วปล่อยให้ "ปัญญา" เป็นผู้วินิจฉัย
- สิ่งที่ตาเห็นกับสิ่งที่ปัญญาประจักษ์
- ไม่แน่ว่าจะสอดคล้องกันเสมอไป
จงใช้ตานอกสำหรับ "ดู" แล้วจงใช้ตาในสำหรับการ "เห็น"