สารที่มีความหมายยิ่งสำหรับมนุษย์
116 พระวาจาของพระเป็นเจ้า ที่กลับกลายมาเป็นมนุษย์ได้รับเอาธรรมชาติทุกอย่างของมนุษย์ยกเว้นบาป แนวทางนี้เองที่ทำให้พระเยซูคริสตเจ้าผู้ทรงเป็น “ภาพลักษณ์ของพระเป็นเจ้าที่เรามองไม่เห็น” (คส 1:15) ทรงเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ด้วย จากความจริงนี้สิ่งที่ตามมาก็คือ “ในความเป็นจริง มีเพียงพระธรรมล้ำลึกเกี่ยวกับพระวจนาตถ์ทรงรับเอากายนี้เท่านั้น ที่จะทำให้พระธรรมล้ำลึกเกี่ยวกับมนุษย์ปรากฏชัดเจนอย่างแท้จริง” (GS 22a)
ในการนำเสนอสารคริสตชนนั้น การสอนคำสอนไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นว่าพระเป็นเจ้าเป็นใคร และแผนการช่วยให้รอดของพระองค์คืออะไร แต่อย่างที่พระเยซูเจ้าเองทรงกระทำก็คือ การสอน คำสอนเป็นการเปิดเผยความเป็นมนุษย์ให้แก่มนุษย์ และช่วยให้มนุษย์ตระหนักถึงกระแสเรียกอันสูงส่งของเขาดียิ่งขึ้น (GS 22a) อันที่จริง การเปิดเผยของพระเป็นเจ้า “...มิได้...ถูกแยกออกจากชีวิตมนุษย์ หรือถูกนำมาเชื่อมโยงกับชีวิตอย่างไม่เป็นธรรมชาติ แต่เกี่ยวข้องกับความหมายสูงสุดของชีวิตและทำให้เข้าใจชีวิตแบบองค์รวมได้ง่ายขึ้นหลังจากที่ได้พิจารณาพระวรสารแล้ว เพื่อทำให้เกิดชีวิตแบบองค์รวมหรือสืบหาความรู้เกี่ยวกับชีวิตแบบองค์รวม (CT 22c, อ้างถึง EN 29)
ความสัมพันธ์ระหว่างสารคริสตชนกับประสบการณ์ชีวิตมนุษย์มิได้เป็นปัญหาที่เกี่ยวกับระเบียบวิธีสร้างความสัมพันธ์อย่างธรรมดา ความสัมพันธ์นี้เกิดจากขั้นท้ายที่สุดของการสอนคำสอนซึ่งมุ่งนำเอามนุษย์เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสตเจ้า ในชีวิตบนมนุษย์โลกของพระองค์นั้น พระองค์ดำเนินชีวิตแบบมนุษย์ของพระองค์อย่างสมบูรณ์คือ “พระองค์ทรงทำงานด้วยมือแบบมนุษย์ พระองค์ทรงคิดด้วยจิตใจแบบมนุษย์ พระองค์ทรงทำภารกิจด้วยความตั้งใจอย่างมนุษย์และทรงรักด้วยหัวใจอย่างมนุษย์” (GS 22b) ดังนั้น “พระคริสตเจ้าจึงทรงกระทำเพื่อให้เราสามารถดำเนินชีวิตอย่างที่พระองค์ได้ทรงดำเนินมาแล้ว และพระองค์ก็ทรงดำเนินชีวิตเช่นเดิมในเรา” (CCC 521) การสอนคำสอนได้พยายามกระทำหลายสิ่งตามลักษณะเฉพาะของประสบการณ์แบบมนุษย์ระหว่างพระเยซูเจ้ากับศิษย์ของพระองค์ และสอนให้คิดอย่างพระองค์ กระทำอย่างพระองค์ รักอย่างพระองค์ (อ้างถึง CT 20b) และดำเนินชีวิตเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสตเจ้าคือ มีประสบการณ์ชีวิตใหม่แห่งพระหรรษทาน (อ้างถึง รม 6:4)
117 ด้วยเหตุนี้เอง การสอนคำสอนจึงนำเสนอสารคริสตชนโดยมีพระเยซูคริสตเจ้าเป็นศูนย์กลางอย่างเด่นชัด เพราะฉะนั้น “จึงควรมีผลให้มนุษย์รับฟังหรือเฝ้าดูประสบการณ์ทั้งด้านส่วนตัวและที่เกี่ยวกับสังคมของพวกเขาอันมีความสำคัญยิ่งขึ้นด้วยความสนใจ และการสอนคำสอนยังมีหน้าที่ช่วยจัดวางปัญหาต่างๆ ที่เกิดจากประสบการณ์เหล่านั้นหลังจากที่พิจารณาตามพระวรสารแล้ว เพื่อว่ามนุษย์จะได้รับการกระตุ้นให้เกิดความปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของตนเองอย่างถูกต้อง” (GCD (1971) 74, อ้างถึง CT 29) โดยอาศัยแนวทางต่อไปนี้
- ในการประกาศพระวรสารขั้นแรก ซึ่งเหมาะกับช่วงเตรียมตัวเป็นคริสตชนหรือช่วงก่อนเรียนคำสอน การประกาศพระวรสารจะต้องเชื่อมต่ออย่างแนบแน่นกับธรรมชาติของมนุษย์และความปรารถนาตามธรรมชาติของมนุษย์ และจะต้องแสดงให้เห็นว่าพระวรสารทำให้จิตใจมนุษย์มีความชื่นชมยินดีอย่างเต็มเปี่ยมได้อย่างไร (อ้างถึง AG 8a)
- ในการสอนคำสอนแบบอิงพระคัมภีร์ เป็นการสอนคำสอนที่ช่วยให้ความหมายที่พิเศษแก่ชีวิตมนุษย์ยุคปัจจุบันด้วยการพิจารณาจากประสบการณ์ชีวิตของชนชาติอิสราเอล ของพระเยซูคริสตเจ้าและชุมชนของพระศาสนจักรซึ่งพระจิตของพระเยซูผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ ทรงดำเนินชีวิตอยู่และทำงานอยู่อย่างต่อเนื่อง
- ในการอธิบายเกี่ยวกับข้อความเชื่อ (the Creed) การสอน คำสอนจะช่วยแสดงให้เห็นว่าหัวข้อเรื่องสำคัญๆ ของความเชื่อ (เช่นการสร้างโลก บาปกำเนิด การบังเกิดเป็นมนุษย์ ปัสกา พระจิตเสด็จลงมา การเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่ง) ยังคงเป็นบ่อเกิดของชีวิตและแสงสว่างสำหรับมนุษย์ชาติอยู่เสมอๆ
- การสอนคำสอนในเชิงศีลธรรม โดยการนำเสนอสิ่งที่ทำให้ชีวิตมีค่าควรแก่พระวรสาร (อ้างถึง ฟป 1:27) และการส่งเสริมความสุขแท้จริง (the Beatitude) ในฐานะที่เป็นทัศนคติที่จะต้องซึมซาบเข้าสู่บัญญัติ 10 ประการ ก็จะเป็นการวางสิ่งดังกล่าวนี้ไว้เป็นรากฐานของคุณธรรมมนุษย์ที่ต้องมีในจิตใจของคนเรา (อ้างถึง CCC 1697)
- การสอนคำสอนแบบอิงพิธีกรรม จะอ้างอิงกับประสบการณ์ของมนุษย์ที่สำคัญยิ่ง ซึ่งถูกแทนโดยเครื่องหมายและสัญลักษณ์ต่างๆของการกระทำทางพิธีกรรมที่มีกำเนิดในวัฒนธรรมของชาวยิวและวัฒนธรรมของคริสตชนเสมอ (อ้างถึง CCC 1145-1152)