วันอาทิตย์ที่ 5 เทศกาลปัสกา
ข่าวดี ยอห์น 13:31-33ก; 34-35
(31)เมื่อยูดาสออกไปแล้ว พระเยซูเจ้าตรัสว่า
“บัดนี้บุตรแห่งมนุษย์ได้รับพระสิริรุ่งโรจน์
และพระเจ้าทรงได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ในบุตรแห่งมนุษย์ด้วย
(32)ถ้าพระเจ้าทรงได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ในบุตรแห่งมนุษย์
พระเจ้าจะทรงให้บุตรแห่งมนุษย์ได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ในพระองค์ด้วย
และจะทรงให้บุตรแห่งมนุษย์ได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ในทันที
(33)ลูกทั้งหลายเอ๋ย
เราจะอยู่กับท่านอีกไม่นาน
ท่านจะแสวงหาเรา
(34)เราให้บทบัญญัติใหม่แก่ท่านทั้งหลาย
ให้ท่านรักกัน
เรารักท่านทั้งหลายอย่างไร
ท่านก็จงรักกันอย่างนั้นเถิด
(35)ถ้าท่านมีความรักต่อกัน
ทุกคนจะรู้ว่า
ท่านเป็นศิษย์ของเรา”
**********************
หลังจากทรงล้างเท้าให้บรรดาอัครสาวกระหว่างงานเลี้ยงอาหารค่ำครั้งสุดท้ายแล้ว พระเยซูเจ้าทรงทำนายถึงผู้ที่จะทรยศต่อพระองค์โดยตรัสเป็นนัยว่าคือ “ผู้ที่เราจะจุ่มขนมปังส่งให้” (ยน 13:26) แล้วทรงจุ่มขนมปังชิ้นหนึ่งส่งให้ยูดาส เมื่อยูดาสรับชิ้นขนมปังแล้วก็ออกไปทันที (ยน 13:30)
เมื่อยูดาสออกไปแล้ว พระองค์ทรงกล่าวคำปราศรัยอำลาบรรดาอัครสาวก โดยตรัสถึง “พระสิริรุ่งโรจน์” และ “บัญญัติใหม่”
พระองค์ทรงให้หนทางสู่ “พระสิริรุ่งโรจน์” ไว้ 3 แนวทางด้วยกันคือ
1. กางเขน พระองค์ทรงทราบดีว่ายูดาสออกไปเพื่อนำทหารมาจับกุมพระองค์ ซึ่งเท่ากับว่า “กางเขน” อยู่ใกล้พระองค์แค่เอื้อม แต่พระองค์กลับตรัสว่า “บัดนี้ บุตรแห่งมนุษย์ได้รับพระสิริรุ่งโรจน์” (ยน 13:31)
แปลว่า “พระสิริรุ่งโรจน์” ของพระองค์อยู่ที่ “กางเขน” !
และนี่คือความจริงของทุกชีวิต !
ความจริงที่ว่าความรุ่งโรจน์สูงสุดอยู่ที่ “กางเขน” ดังเช่น กรณีเกิดสงคราม เกียรติยศสูงสุดย่อมเป็นของผู้ที่พลีชีพเพื่อชาติ หาใช่ผู้ที่รอดชีวิตไม่
เพราะฉะนั้น หนทางแรกที่จะนำเราไปสู่พระสิริรุ่งโรจน์จึงได้แก่ “หนทางของไม้กางเขน”
2. ความนบนอบ พระเยซูเจ้าตรัสว่า “พระเจ้าทรงได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ในบุตรแห่งมนุษย์” (ยน 13:31)
พระองค์ตรัสเช่นนี้เพราะว่า พระองค์ทรงนบนอบพระบิดา จนกระทั่งยอมสิ้นพระชนม์ แม้เป็นการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน
ความนบนอบของพระองค์ทำให้พระบิดาได้รับเกียรติฉันใด เด็กที่นบนอบเชื่อฟังบิดามารดา ก็ทำให้บิดามารดาได้รับเกียรติฉันนั้น
เช่นเดียวกัน สามีภรรยาที่เคารพเชื่อฟังซึ่งกันและกันก็ให้เกียรติแก่กันและกัน และผู้ที่นบนอบเชื่อฟังผู้บังคับบัญชาก็ให้เกียรติแก่ผู้บังคับบัญชาฉันนั้นด้วย
3. พระเจ้า พระองค์คือที่มาของความรุ่งโรจน์สูงสุด !
อันที่จริง พระเยซูเจ้าทรงได้รับเกียรติสูงสุดแล้วเมื่อทรงยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนตามพระประสงค์ของพระเจ้า
แต่พระองค์ยังตรัสอีกว่า “พระเจ้าจะทรงให้บุตรแห่งมนุษย์ได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ในพระองค์ด้วย และจะทรงให้บุตรแห่งมนุษย์ได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ในทันที” (ยน 13:32)
พระสิริรุ่งโรจน์ที่พระเจ้าจะประทานให้แก่พระบุตรในทันทีคือ การกลับคืนพระชนมชีพ และการเสด็จสู่สวรรค์
และที่จะประทานให้อีกในอนาคตคือ การเสด็จกลับมาครั้งที่สองเพื่อพิพากษาทั้งผู้เป็นและผู้ตาย และเพื่อเป็นกษัตริย์แห่งสากลจักรวาล !
สำหรับพระเยซูเจ้าแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่า พระเจ้าเท่านั้นคือที่มาของพระสิริรุ่งโรจน์สูงสุด !
แล้วคริสตชนอย่างเรายังมัวแสวงหาเกียรติยศจอมปลอมที่โลกหยิบยื่นให้อยู่อีกหรือ ?
หนึ่งในคำอำลาที่ฟังแล้วหดหู่ใจอย่างยิ่งคือ “ลูกทั้งหลายเอ๋ย เราจะอยู่กับท่านอีกไม่นาน” (ยน 13:33)
จริง ๆ แล้วเวลาของพระองค์เหลืออีกไม่กี่นาที พระองค์กำลังจะถูกจับกุมและจะต้องเดินทางตามลำพังไปยังสถานที่ที่บรรดาอัครสาวกยังไม่อาจติดตามไปได้
ในห้วงเวลาแห่งการอำลาอาลัยนี้เอง พระองค์ทรงประทาน “บัญญัติใหม่” ให้แก่ทุกคน
พระองค์ทรงสั่งให้เรา “รักกันและกัน เหมือนที่พระองค์ทรงรักเรา” (เทียบ ยน 13:34)
แล้วพระองค์ทรงรักเราอย่างไร ?
1. อย่างไม่เห็นแก่ตัว
ปกติความรักตามประสามนุษย์มักมี “ความเห็นแก่ตัว” เจือปนอยู่ด้วยเสมอ เมื่อเรารักใครสักคนหนึ่ง ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม เรามักคิดถึงตัวเองเป็นลำดับแรก เช่น เขาจะให้ความสุขและความมั่นคงแก่เราได้หรือไม่ หรือถ้าเขาปฏิเสธความรักของเรา เราจะอับอาย โดดเดี่ยว เจ็บปวด หรือทรมานมากเพียงใด
เรามักคิดถึงประโยชน์ที่เราจะได้จาก “ความรัก” จนอาจกล่าวได้ว่าเบื้องหลังของความรักก็คือ “ความสุข” ของตัวเรานั่นเอง
แต่ความรักของพระเยซูเจ้าไม่มีความเห็นแก่ตัวเจือปนอยู่แม้แต่นิดเดียว ไม่มีครั้งใดที่พระองค์ทรงคิดถึงตัวพระองค์เองเลย…
ทุกสิ่งที่ทรงมี แม้กระทั่งชีวิตของพระองค์เอง พระองค์ทรงมอบแก่เราทั้งหมด !
2. อย่างเสียสละ
หากเราคิดว่าความรักคือความสุข เราคิดผิด เพราะที่ถูกคือ ความรักย่อมมีทั้งความสุขและความทุกข์คลุกเคล้ากันไป !
มีแต่ “ความเสียสละ” เท่านั้นที่ช่วยคลุกเคล้าความทุกข์ให้เป็นความสุขจริง ๆ ได้ !
สำหรับพระเยซูเจ้าแล้ว ความเสียสละของพระองค์ไม่มีขีดจำกัด !
หากความรักเรียกร้องให้พระองค์ “เสียสละ” แม้กระทั่งชีวิตของพระองค์เอง พระองค์ไม่ทรงลังเลพระทัยเลยที่จะมอบชีวิตนั้นเพื่อเรา !
เพราะความเสียสละอย่างไร้ขีดจำกัดนี้เอง พระองค์จึงได้รับการยกย่องสูงสุด
ความรักอย่างเสียสละ ที่พร้อมเผชิญหน้ากับปัญหาและความทุกข์ยากต่าง ๆ ไม่เว้นแม้แต่ความตายเช่นนี้เอง ที่สามารถนำความสุขแท้จริงมาสู่ชีวิตของเราได้
3. อย่างเข้าใจ
เราเคยได้ยินคำพูดว่า “ความรักคือตาบอด” ซึ่งหมายความว่าเราต้องรู้จักหลับหูหลับตา “มองข้าม” ความบกพร่องหรือความอ่อนแอของคนรักบ้าง
แต่นี่ไม่ใช่วิถีชีวิตแบบพระเยซูเจ้า !
ปกติ ผู้ที่รู้จักกันเพียงผิวเผิน จะพบเห็นเฉพาะส่วนที่ดีที่สุดของกันและกันเท่านั้น แต่พระเยซูเจ้าทรงใช้ชีวิตร่วมหัวจมท้ายกับบรรดาศิษย์เป็นเวลานาน จึงทรงล่วงรู้ปัญหา ความอ่อนแอ และข้อบกพร่องต่าง ๆ ของศิษย์แต่ละคนเป็นอย่างดี
กระนั้นก็ตาม พระองค์ยังทรงรักศิษย์ทุกคน !
ไม่ใช่เพราะพระองค์ทรง “มองข้าม” ข้อบกพร่อง แต่ทรงมองเห็น, “เข้าใจ” และยอมรับข้อบกพร่องของพวกเขาทุกคน
พระองค์ทรงรักพวกเขาอย่างที่พวกเขาเป็น และทรงรักพวกเขาจนถึงที่สุดด้วย !
การปิดหูปิดตาไม่ยอมรับความจริงว่าคนรักของเรามีข้อบกพร่อง แล้วพยายามคิดสร้างภาพว่าเขาเป็นคนดีอย่างที่เราต้องการ ผลที่จะติดตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้นก็คือ ความผิดหวังและความเจ็บปวดแสนสาหัสของตัวเรานั่นเอง
4. อย่างให้อภัย
ในบรรดาศิษย์ของพระองค์ ไม่มีใครเลยที่เข้าใจพระองค์จริง ๆ พวกเขาเรียนรู้ช้าและดื้อ
ยามที่พระองค์ต้องการพวกเขามากที่สุด พวกเขากลับหลบหนีแล้วปล่อยให้พระองค์ตกอยู่ในกำมือของศัตรูตามลำพัง
แม้แต่หัวหน้าของพวกเขาก็ปฏิเสธพระองค์ถึงสามครั้ง
แต่พระองค์ไม่เคยถือโทษพวกเขา เพราะไม่มีความผิดใดที่พระองค์ “ให้อภัย” ไม่ได้ !!
นี่คือความรักแบบพระเยซูเจ้า !
ปกติ มนุษย์เรามีธรรมชาติที่สุดแสนโหดร้ายอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือเรามักแสดงอัธยาศัยไมตรีอันดีแก่ผู้ที่ไม่คุ้นเคย ส่วนผู้ที่เราคุ้นเคยและรักมากที่สุด เรากลับทำร้ายพวกเขาไม่ว่าจะโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม
เช่นเมื่อเหน็ดเหนื่อยหรือมีปัญหานอกบ้าน เรามักพูดกับคนอื่นว่า “ไม่เป็นไร” แต่กับสมาชิกในครอบครัวที่เรารักมากที่สุด พวกเขากลับต้องรองรับอารมณ์ของเราไปเต็ม ๆ ความรักที่พร้อมให้อภัยแบบพระเยซูเจ้าจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเราทุกคน
หากเราไม่เรียนรู้ที่จะ “ให้อภัย” ซึ่งกันและกัน ความรักของเราก็มีแต่จะเหี่ยวแห้งเฉาตายไป
ความรักที่ยืนนานต้องมีพื้นฐานอยู่บนการให้อภัยเสมอ
เพราะความรักที่ไม่รู้จักให้อภัยมีแต่จะเหี่ยวแห้งเฉาตายไป !!!