วันพระคริสตสมภพ
อิสยาห์ 52:7-10; ฮีบรู 1:1-6; ยอห์น 1:1-18
บทรำพึงที่ 1
แขกยามวิกาล
เราต้องเป็นแสงสว่างส่องโลกของเรา เหมือนกับที่พระเยซูเจ้าทรงเป็นแสงสว่างส่องโลกของพระองค์
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เมืองวอริงตัน ประเทศอังกฤษ เป็นที่ตั้งของค่ายกักกันเชลยสงคราม และเช่นเดียวกับเมืองในอังกฤษทั่วไป ในเวลากลางคืนทั้งเมืองวอริงตันจะดับไฟมืดสนิท เพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีทางอากาศจากศัตรู เมื่อวันคริสต์มาสใกล้เข้ามา ทั้งเมืองจึงไม่มีการประดับไฟสีบนต้นไม้และตามหน้าต่าง
ดังนั้นในคืนก่อนวันคริสต์มาส คาทอลิกในเมืองวอริงตันจึงเดินไปวัดเพื่อฟังมิสซาเที่ยงคืนโดยปราศจากแสงไฟคริสต์มาสช่วยส่องทาง เมื่อถึงเวลาห้าทุ่มครึ่ง วัดก็เต็มไปด้วยสัตบุรุษ ยกเว้นม้านั่งสามแถวแรกทั้งสองด้าน เมื่อถึงเวลาห้าทุ่มห้าสิบนาที เชลยศึกชาวเยอรมัน และอิตาเลียน ก็เดินเรียงแถวเข้ามาในวัด ขนาบข้างด้วยทหารติดอาวุธ และเข้าไปนั่งบนม้านั่งที่ว่างอยู่
เวลาห้าทุ่มสิบห้านาที คุณพ่อร็อกฟอร์ด พระสงฆ์ประจำวัดปรากฏตัวขึ้น และประกาศว่าท่านมีข่าวร้ายจะแจ้งให้ทราบ พวกเขาจะต้องประกอบพิธีมิสซาโดยไม่มีเสียงดนตรี เพราะนักเล่นออร์แกนเพียงคนเดียวของวัดได้ล้มป่วย มีเสียงพึมพำดังออกมาจากกลุ่มสัตบุรุษ
เวลานั้นเอง เชลยศึกชาวเยอรมันคนหนึ่งหันไปพูดอะไรบางอย่างกับทหารที่คุมตัวพวกเขา ทหารคนนั้นเดินขึ้นไปพูดกับคุณพ่อร็อคฟอร์ด พระสงฆ์พยักหน้าแสดงความเห็นชอบ เชลยศึกคนนั้นลุกขึ้นเดินไปนั่งลงที่ออร์แกน เขาเริ่มต้นเล่นออร์แกนช้า ๆ และด้วยความเคารพจนทำให้ทุกคนในวัดน้ำตาไหล
คืนนั้น แม้ว่าถนนและหน้าต่างบ้านในเมืองนี้จะมืดสนิท แต่จิตแห่งคริสต์มาสส่องสว่างทั่วเมืองวอริงตันอย่างที่ชาวเมืองจะไม่มีวันลืม
คืนนั้นในวอริงตัน มนุษย์ – ทั้งที่เป็นมิตร และศัตรู – มองกันและกันอย่างที่พระเจ้าต้องการให้เขาเป็น คือเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน
คืนนั้นในวอริงตัน แสงสว่างของดาวดวงใหม่ – คือพระจิตของพระเยซูเจ้า – ส่องสว่างพื้นที่ชนบทอันมืดสนิท
คืนนั้นในวอริงตัน ประชาชนระลึกถึงถ้อยคำของประกาศกอิสยาห์ ในบทอ่านที่หนึ่งของมิสซาเที่ยงคืน อิสยาห์เขียนว่า
ประชาชนผู้เดินในความมืดได้เห็นแสงสว่างยิ่งใหญ่
เขาเคยอยู่ในดินแดนแห่งเงามืด
แต่บัดนี้ แสงสว่างกำลังส่องลงบนตัวเขา (อสย 9:2)
หนึ่งในคริสตชนยุคใหม่ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดคือโตโยฮิโกะ คากาวา แห่งประเทศญี่ปุ่น ภรรยาหม้ายของเขาต้องต้อนรับแขกจากประเทศตะวันตกบ่อย ๆ คนเหล่านี้ต้องการรู้เรื่องของสามีผู้น่าทึ่งของเธอให้มากขึ้น
บิดามารดาของคากาวาเสียชีวิตตั้งแต่เขายังเล็ก เขาได้รับการเลี้ยงดูจากญาติ ผู้ทำร้ายเขาต่าง ๆ นานา ต่อมาเขาป่วยเป็นวัณโรคและกำลังจะตาย วันหนึ่งเขามีประสบการณ์เหมือนกับประสบการณ์ของนักบุญเปาโลระหว่างทางไปยังเมืองดามัสกัส มีแสงสว่างจ้าส่องไปทั่วห้องที่เขาอยู่ ความรู้สึกถึงการประทับอยู่ของพระเจ้าไหลท่วมตัวคากาวา
ประสบการณ์นั้นเปลี่ยนสภาพของเขา ไม่เพียงด้านจิตวิญญาณ แต่ด้านกายภาพด้วย คากาวาตอบสนองต่อประสบการณ์นั้นคล้ายกับการตอบสนองของนักบุญเปาโล เขาอุทิศชีวิตที่เหลืออยู่ของเขาเพื่อช่วยเหลือคนยากจน และคนที่ถูกทอดทิ้งในประเทศญี่ปุ่น คากาวาต้องการให้คนเหล่านี้ได้แบ่งปันความหวังอันยิ่งใหญ่ที่เข้ามาสู่ชีวิตของเขาในวันนั้น เมื่อห้องของเขาเต็มไปด้วยแสงสว่างของพระคริสตเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ
แสงสว่างขับไล่ความมืดออกไปจากโลกของเขา และนำความหวังเข้ามาสู่โลกของเขาอย่างไร เขาก็ต้องการทำเช่นเดียวกันให้แก่คนยากจน และคนที่ถูกทอดทิ้งทั้งในสลัมของญี่ปุ่นอย่างนั้น
ก่อนพระเยซูเจ้าเสด็จมายังโลกของเรา มนุษย์เหมือนกับคากาวาในห้องของเขา คือ ป่วย ใกล้ตาย และปราศจากความหวัง ชีวิตของพวกเขาเต็มไปด้วยความมืด และความสิ้นหวัง
หลังจากพระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามาในโลกของเรา มนุษย์เหมือนกับคากาวาภายหลังประสบการณ์ทางศาสนา คือเปลี่ยนไป และเต็มไปด้วยความหวัง และความยินดี
ประมาณหนึ่งเดือนก่อนวันคริสต์มาสในปี 1965 ได้เกิดไฟฟ้าดับทั่วเมืองนิวยอร์ก เหตุการณ์ร้ายแรงครั้งนี้เกิดขึ้นระหว่างชั่วโมงเร่งด่วนในตอนเย็นกลางฤดูหนาว เมื่อความมืดเริ่มปกคลุมเมืองนี้ คนหลายพันคนที่กำลังเดินทางต้องติดอยู่ในอุโมงค์ และบนรถไฟ คนจำนวนมากติดอยู่ในตึกระฟ้า คนหลายพันคนติดอยู่ในลิฟท์ที่แน่นขนัดที่ค้างอยู่ระหว่างชั้นภายในตึกสูง
สิ่งที่ทำให้ชาวเมืองนิวยอร์ก และโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจของเมืองนี้ ประหลาดใจมากก็คือปฏิกิริยาของประชาชนต่อเหตุการณ์ไฟฟ้าดับครั้งนี้
บางคนโกรธ และบางคนฉวยโอกาสจากสถานการณ์นี้ แต่คนส่วนใหญ่ตอบสนองด้วยความเอื้ออาทรอย่างน่าพิศวง เขาช่วยเหลือกันและกัน เขาร่วมมือกันช่วยเหลือคนชราเป็นพิเศษ
คุณสามารถได้ยินเสียงร้องเพลงบนรถไฟ และบนทางเดินที่มืดมิดของตึกระฟ้า สิ่งที่น่าพิศวงมากยิ่งกว่าก็คือ แทบไม่มีการก่ออาชญากรรมระหว่างช่วงเวลานั้น
เหตุการณ์ไฟฟ้าดับ และช่วงเวลาที่ใกล้คริสต์มาส ช่วยให้ประชาชนค้นพบมิติหนึ่งในตนเองที่เขาไม่รู้มาก่อนว่ามีอยู่ในตัวเขา ผู้สื่อข่าวคนหนึ่งอธิบายอัศจรรย์นี้ด้วยถ้อยคำของอิสยาห์
ประชาชนผู้เดินในความมืดได้เห็นแสงสว่างยิ่งใหญ่
เขาเคยอยู่ในดินแดนแห่งเงามืด
แต่บัดนี้ แสงสว่างกำลังส่องลงบนตัวเขา
เทศกาลพระคริสตสมภพเป็นคำเชิญให้เราแต่ละคนค้นพบว่าในตัวเรามีมิติแห่งความดี ซึ่งเราเรียกว่าพระเยซูคริสตเจ้า และเป็นคำเชิญให้เรายินยอมให้มิตินั้นส่องแสงขับไล่ความมืดในโลกทุกวันนี้
ถ้าพระเยซูเจ้าจะประสูติมาอีกครั้งหนึ่งได้ในโลกยุคใหม่ของเรา พระองค์จะต้องประสูติผ่านตัวเรา เราต้องยอมให้แสงสว่างส่องโลกนี้ ส่องผ่านตัวเราก่อน เราจึงจะกลายเป็นแสงสว่างส่องโลกของเราได้
เราสนใจคำเชิญของวันพระคริสตสมภพมากเท่าใด โลกยุคใหม่ของเราก็จะได้รับของขวัญคริสต์มาสมากเท่านั้น ของขวัญนั้นคือสันติสุขบนแผ่นดิน และความปรารถนาดีต่อทุกคน
เราจะสรุปบทรำพึงนี้ด้วยบทสดุดีสำหรับมิสซารุ่งอรุณในวันพระคริสตสมภพ กรุณารับฟังและอ่านในใจไปพร้อมกับข้าพเจ้า
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นกษัตริย์
โลกเอ๋ย จงยินดีเถิด
จงเปรมปรีดิ์เถิด เกาะแก่งทั้งหลายในทะเล...
ฟ้าสวรรค์ป่าวร้องความชอบธรรมของพระองค์
และชนชาติทั้งหลายมองเห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์...
แสงสว่างส่องลงบนผู้ชอบธรรม
และความยินดีส่องลงบนคนดี
ท่านผู้ชอบธรรมทั้งหลาย
จงยินดีเพราะสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงได้กระทำเถิด!
จงจดจำสิ่งที่พระเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ทรงได้กระทำ
และขอบพระคุณพระองค์เถิด (สดด 97:1, 6, 11-12)
บทรำพึงที่ 2
ยอห์น 1:1-18
สำหรับคนทั่วไป ทั้งที่เป็นคริสตชนและไม่ใช่คริสตชน เทศกาลพระคริสตสมภพหมายถึงรางหญ้า คนเลี้ยงแกะ พระนางมารีย์ และ “พระกุมารเยซู” ... ทั้งหมดนี้มีอยู่จริง เพราะเราได้ยินข้อความจากพระวรสารของนักบุญลูกาที่ประกาศเรื่องนี้ระหว่างมิสซาเที่ยงคืน และมิสซารุ่งอรุณ
แต่ธรรมล้ำลึกที่เราเฉลิมฉลองกันในวันนี้มีความหมายอย่างอุดมบริบูรณ์ จนเราต้องอ่านพระวรสารหลายฉบับเพื่อให้เข้าใจเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโฉมหน้าของโลกนี้ให้ลึกซึ้งมากขึ้น และหลังจากเวลาผ่านไปแล้วสองพันปี เหตุการณ์นี้ก็ยังเป็นที่ประทับใจชายและหญิงทั่วโลก นี่คือเรื่องการเกิดของเด็กน้อยคนหนึ่ง...
ดังนั้น ระหว่าง “มิสซาประจำวัน” เราจึงอ่านอารัมภบทของพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญยอห์น
เมื่อแรกเริ่มนั้น พระวจนาตถ์ทรงดำรงอยู่แล้ว พระวจนาตถ์ประทับอยู่กับพระเจ้า และพระวจนาตถ์เป็นพระเจ้า พระองค์ประทับอยู่กับพระเจ้าแล้วตั้งแต่แรกเริ่ม
ถูกแล้ว ก่อนการประสูติของพระเยซูเจ้าในเมืองเบธเลเฮม ภายในกาลเวลา และในสถานที่แห่งหนึ่ง มี “กำเนิด” อีกครั้งหนึ่ง ตั้งแต่ก่อนจุดเริ่มต้นของกาลเวลา! ... นักบุญยอห์นนำเราย้อนกลับไปสู่ “จุดเริ่มต้นของกาลเวลา” และในบทข้าพเจ้าเชื่อ เราสวดว่า “ทรงบังเกิดจากพระบิดาก่อนกาลเวลา ทรงเป็นพระเจ้าจากพระเจ้า ทรงเป็นพระเจ้าแท้จากพระเจ้าแท้”...
เพื่อแสดงออกถึงธรรมล้ำลึกนี้ ยอห์นใช้คำว่า “พระวจนาตถ์ (Word)” ดังนั้น เขาจึงเสนอว่าในองค์พระเจ้ามีการเสวนา (dialogue) บางอย่าง ... ในประสบการณ์ของเราก็เช่นกัน ก่อนที่ “วาจา” ใด ๆ ของเราจะเป็นที่สังเกตของอีกบุคคลหนึ่ง ก่อนที่เราจะเอ่ยวาจานั้นออกมา วาจานั้นก็อยู่ภายในตัวเราแล้ว ในรูปของ “คำปราศรัยภายใน (interior discourse)” เป็นความคิดหนึ่ง...
พระเยซูเจ้าทรงเป็น “พระวจนาตถ์ของพระเจ้า” ผู้จะทรงแสดงพระเจ้าให้เรารู้จัก ... ผู้จะทรงทำให้เรามองเห็นพระเจ้า ... เพราะพระองค์คือ “ความคิดของพระเจ้า” – ทรงเป็นองค์พระเจ้าเอง ... ตั้งแต่ก่อนพระองค์เสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ให้เรามองเห็นได้ ก่อนที่พระองค์จะแสดงพระองค์ในรางหญ้าที่เบธเลเฮม พระวจนาตถ์ก็ทรงดำรงอยู่ก่อนแล้วภายในพระตรีเอกภาพ ... และขณะที่เราเพ่งพินิจพระเยซูเจ้าเมื่อพระองค์ทรงบังเกิดบนโลกนี้ เราต้องไม่ลืมว่าพระเจ้าทรงเผยพระองค์ให้เราเห็นในเหตุการณ์นี้ “ผู้ที่เห็นเราก็เห็นพระบิดาด้วย” (ยน 12:45, 14:9)
พระกุมารในรางหญ้ากำลังตรัสอะไรกับข้าพเจ้า ... พระองค์ทรงเป็น “พระวาจา” ใดสำหรับข้าพเจ้า
พระองค์ทรงเปิดเผยอะไรเกี่ยวกับพระเจ้าให้ข้าพเจ้ารู้...
พระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่งอาศัยพระวจนาตถ์ ไม่มีสักสิ่งเดียวที่พระเจ้าไม่ทรงสร้างโดยทางพระวจนาตถ์
หลังจาก “กำเนิด” นิรันดรของพระวจนาตถ์ หรือพระวาจาของพระเจ้า เราจึงเห็นภาพของ “กำเนิดของโลก” ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นในพระองค์ และไม่มีสิ่งสร้างใดถูกสร้างโดยไม่ผ่านทางพระองค์ ... ดังนั้น การเนรมิตสร้างนั่นเองเป็นการแสดงออกภายนอกเป็นครั้งแรกของพระเจ้า ... เอกภพ “บรรยาย” พระเจ้าให้เรารู้จัก ... จักรวาลทั้งระบบพูดกับเราเรื่องพระผู้สร้าง...
เมื่อมองดูดวงดาว ดอกไม้ โลก ความอัศจรรย์ของอะตอม และเซลที่มีชีวิต เมื่อมองดูมนุษย์ชาย และหญิง และเด็ก เมื่อมองดูชีวิต และแสงสว่าง ... เราพอจะเข้าใจได้บ้างแล้วว่าพระเจ้าเป็นใคร พระองค์ทรงแสดงพระองค์ออกมา พระองค์ทรงบอกบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับพระวจนาตถ์ของพระองค์ในทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง ... และไม่มีสิ่งใดที่ดำรงอยู่นั้นจะอยู่ได้โดยปราศจากพระองค์ ... พระเยซูเจ้าทรงเป็น “บุตรหัวปีของสิ่งสร้างทั้งปวง”...
ชีวิตอยู่ในพระองค์ และชีวิตเป็นแสงสว่างสำหรับมนุษย์ แสงสว่างส่องในความมืด และความมืดกลืนแสงสว่างนั้นไม่ได้
หลังจาก “กำเนิดนิรันดร” และ “กำเนิดของโลก” บัดนี้ ยอห์นกล่าวถึง “กำเนิดของกระบวนการความรอดพ้น – ชีวิต และแสงสว่างสำหรับมนุษย์” ดังนั้น คำแปลที่ถูกต้องที่สุดคงจะเป็น “สิ่งที่ถูกสร้างขึ้นในพระองค์คือชีวิต และชีวิตคือแสงสว่างสำหรับมนุษย์”...
ทั้งนี้เพราะในพระวรสารของยอห์น คำว่า “ชีวิต” ที่ปรากฏขึ้นแทบทุกครั้งหมายถึง “ชีวิตนิรันดร” ชีวิตเหนือธรรมชาติ และชีวิตพระเจ้า – มิใช่ชีวิตที่เจริญรอยตามค่านิยมของโลกนี้ ... “สิ่งที่ถูกสร้างขึ้นในพระองค์คือชีวิต” นี่คืองานของพระเยซูเจ้า เราจะพบชีวิตแท้หนึ่งเดียวสำหรับมนุษย์ได้ในพระองค์ ในการบังเกิดของพระองค์ในวันพระคริสตสมภพ ในคำสั่งสอนของพระองค์ ในอัศจรรย์ที่พระองค์ทรงกระทำ ในการสิ้นพระชนม์ และการกลับคืนพระชนมชีพของพระองค์ ...
ในห้าข้อความแรกของพระวรสารของยอห์น เขาบรรยายให้เราเห็นภาพอลังการของแผนการของพระเจ้า กล่าวคือ พระตรีเอกภาพ ... การเนรมิตสร้าง ... การไถ่กู้ ... นับตั้งแต่นิรันดรกาล และจากภายในธรรมล้ำลึกแห่งความรักของพระองค์ พระเจ้าทรงฝันว่าพระองค์จะทรงทำให้เรามีส่วนร่วมในชีวิตของพระองค์เอง...
การเนรมิตสร้างเป็นโครงการมโหฬารของ “การบันดาลเทวภาพ (divinization)” กล่าวคือพระเจ้าผู้ทรงชีวิตทรงวางแผนสร้างบุคคลที่มีชีวิต ... ความมืดจะไม่หยุดยั้งแสงสว่าง ... ความตาย และความชั่วจะไม่เป็นฝ่ายชนะ...
พระคริสตสมภพ ... พระคริสตสมภพ ... ชีวิต ... แสงสว่าง
พระเจ้าทรงส่งชายผู้หนึ่งมา เขาชื่อยอห์น เขามาในฐานะพยานเพื่อเป็นพยานถึงแสงสว่าง เขาไม่ใช่แสงสว่าง แต่เป็นพยานถึงแสงสว่าง
หลังจากบรรลุถึงจุดสูงสุดในการเพ่งพินิจแล้ว ผู้นิพนธ์พระวรสารฉบับที่สี่จึงเริ่มต้นอีกครั้งหนึ่งจากศูนย์ ... เพราะในคำบอกเล่าที่เริ่มต้นในวันนี้ เขาต้องการบอกเล่าเรื่องราวของพระเยซูเจ้า – และเป็นความจริงทางประวัติศาสตร์ที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ว่าการเสด็จมาของพระเยซูเจ้าได้รับการเตรียมการด้วยการเทศน์สอนของยอห์น ผู้ทำพิธีล้าง...
ยอห์น ผู้ทำพิธีล้าง เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง และเขาไม่ใช่ “แสงสว่าง” (ผู้นิพนธ์พระวรสารย้ำจุดนี้ ด้วยเกรงว่าจะมีมนุษย์คนใดอ้างตัว หรือได้รับยกย่องขึ้นเป็นพระเจ้า หรือพระคริสตเจ้าของพระองค์) ... แต่พระเจ้าทรงจำเป็นต้องใช้มนุษย์ ... พระเยซูเจ้าทรงจำเป็นต้องใช้ยอห์น ผู้ทำพิธีล้าง และเพื่อจะประสูติในวันพระคริสตสมภพ พระองค์ทรงจำเป็นต้องใช้พระนางมารีย์ หลังจากทรงตัดสินใจสร้างมนุษย์ให้รู้จักรับผิดชอบและมีเสรีภาพ พระองค์ทรงต้องการให้มนุษย์เป็นหุ้นส่วนอย่างแท้จริง พระเจ้าทรงเคารพกติกา ... ตามปกติ ไม่มีใครเข้าถึงความเชื่อในพระเยซูคริสตเจ้าโดยตรงได้โดยไม่ผ่านคนกลาง โดยปราศจากผู้ที่เป็นพยานถึงพระองค์ คือ โดยปราศจากชาย หรือหญิงที่เตรียมทางสำหรับแสงสว่าง...
ท่านทั้งหลายที่กำลังเฉลิมฉลองวันพระคริสตสมภพในวันนี้ ท่านเป็นพยานแท้ผู้ยืนยันถึงพระคริสตสมภพหรือเปล่า ... ชีวิตของท่านสื่อสารข้อเดียวกันกับสารที่พระเยซูเจ้าทรงสื่อจากรางหญ้าหรือเปล่า...
แสงสว่างแท้จริงซึ่งส่องสว่างแก่มนุษย์ทุกคนกำลังจะมาสู่โลก
พระเยซูเจ้าเพียงผู้เดียวทรงเปิดเผยความลึกล้ำที่สุดของทุกสิ่งทุกอย่าง และความหมายของการเนรมิตสร้าง...
ในวันพระคริสตสมภพนี้ เมื่อแม้แต่บุคคลที่ไม่ค่อยไปวัดก็ยังก้าวเข้ามาในพระนิเวศของพระเจ้า เราได้รับความบรรเทาใจเมื่อได้ยินยอห์นบอกเราว่า แสงสว่างสำหรับโลกนี้ส่องถึงทุกคนโดยไม่เว้นใครเลย ... พระเจ้าตรัสกับหัวใจของมนุษย์ชายหญิงทุกคนอย่างที่เราไม่เข้าใจ...
วันพระคริสตสมภพส่งสารถึงหัวใจทุกดวง ระหว่างเทศกาลนี้ คลื่นความดีโถมเข้าใส่โลก มนุษย์แต่ละคนได้ยินเสียงเรียกในส่วนลึกของหัวใจของเขาให้เขารักให้มากยิ่งขึ้น ... พระเจ้าผู้ทรงซ่อนพระองค์ประทับอยู่ไม่ไกลจากทุกคน เพราะพระองค์ทรงเป็น “แสงน้อย ๆ” นั้น ซึ่งบ่อยครั้งส่องทะลุความมืดในชีวิตของเรา...
พระวจนาตถ์ประทับอยู่ในโลก และโลกถูกสร้างโดยอาศัยพระองค์ แต่โลกไม่รู้จักพระองค์ พระองค์เสด็จมาสู่บ้านเมืองของพระองค์ แต่ประชากรของพระองค์ไม่ยอมรับพระองค์
ตลอดพระวรสารของยอห์น เต็มไปด้วยทางเลือกที่น่าหดหู่ใจนี้ บางคนยึดมั่นในพระเยซูเจ้า และบางคนปฏิเสธที่จะทำเช่นนั้น ... บางคนเชื่อ และบางคนยังไม่ยอมเชื่อ...
ท่านผู้เฉลิมฉลองวันพระคริสตสมภพในวันนี้ ... ท่านจะทำให้วันนี้เป็นวันที่ท่านแสดงความเชื่ออย่างแท้จริงหรือไม่ ... ท่านจะพยายามยึดมั่นในพระเยซูเจ้าให้ลึกซึ้งมากขึ้นหรือไม่...
ขอให้เราถามตนเองว่าเรายอมรับพระเยซูเจ้าในชีวิตประจำวันของเราอย่างแท้จริงหรือไม่ ... คำตอบอาจไม่เห็นได้ชัดเจนนัก การยอมรับพระเยซูเจ้าไม่ใช่จะทำได้ง่าย “ประชากรของพระองค์ไม่ยอมรับพระองค์” ... กางเขนได้ถูกร่างไว้คร่าว ๆ เหนือรางหญ้านั้นแล้ว คือ เมื่อมนุษย์ปฏิเสธที่จะเชื่อในความรัก เขาก็ปฏิเสธแสงสว่าง และชีวิตด้วย...
ผู้ใดที่ยอมรับพระองค์คือผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ประทานอำนาจให้ผู้นั้นกลายเป็นบุตรของพระเจ้า เขามิได้เกิดจากสายเลือด มิได้เกิดจากความปรารถนาตามธรรมชาติ มิได้เกิดจากความต้องการของมนุษย์ แต่เกิดจากพระเจ้า
แต่ในข้อความเดียวกันที่เปิดเผยให้เรารู้เรื่อง “กำเนิดนิรันดร” ของพระวจนาตถ์ ยอห์นเปิดเผยด้วยว่าเราก็เกิดได้สองครั้ง คือเกิดมาเป็นมนุษย์ที่รู้จักตายและมีข้อจำกัดผ่านทางบิดามารดาของเรา เกิดจาก “ความต้องการของมนุษย์” เกิดจาก “สายเลือด” และเรารู้ดีว่าสภาพมนุษย์ของเราอ่อนแออย่างไร ... แต่ความเชื่อทำให้เรายอมรับกำเนิดอีกประเภทหนึ่ง คือกำเนิดจากพระเจ้า เรา “เกิดจากพระเจ้า” ... ดังนั้น ในแก่นแท้ของภวันต์อันอ่อนแอของเรามีชีวิตพระเจ้า ซึ่งยอห์นย้ำโดยตลอดว่า เป็นชีวิตนิรันดร (ยน 3:15, 16, 36, 4:14, 36, 5:24, 39, 6:27, 40, 47, 54, 68, 10:28, 12:25, 50, 17:2, 3)...
สิ่งที่น่าพิศวงที่สุดจากการตีความประโยคนี้ของนักบุญยอห์น ก็คือ ในตัวมนุษย์แต่ละคนมีกำเนิดจากพระเจ้าในสองระดับ ซึ่งยอห์นอธิบายด้วยสองวลีคือ “เกิดจากพระเจ้า” และ “บุตรของพระเจ้า”...
1) “เกิดจากพระเจ้า” ดังนั้น มนุษย์ทุกคนจึงมีความสัมพันธ์แรกกับพระเจ้าในฐานะบุตรของพระองค์ ไม่มีมนุษย์ชายหญิงคนใดที่อยู่ภายนอกชีวิตที่พระเจ้าประทานแก่เรา ไม่มีมนุษย์คนใดที่พระเจ้าไม่ประทับอยู่กับเขาเลย ต่อมา นักบุญเปาโลจะอธิบายข้อคิดนี้อย่างชัดเจนว่า แม้แต่บุคคลที่ไม่รู้จักพระเจ้าก็ยัง “เกิดจากพระเจ้า” และอาจได้รับความรอดพ้นได้ด้วยการปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ “ที่จารึกไว้ในดวงใจมนุษย์” (ยรม 31:33; 2 คร 3:2-3) พระเจ้าทรงต้องการให้มนุษย์ทุกคนที่ “เกิดจากพระองค์” ได้รับความรอดพ้น และพระองค์ประทานพระพรแห่งความรอดพ้นแก่คนเหล่านี้ด้วยการช่วยเหลือเขาให้ประพฤติตามข้อกำหนดของธรรมบัญญัติจากสามัญสำนึก (รม 2:14-16)...
2) “บุตรของพระเจ้า” นี่เป็นอีกระดับหนึ่ง ซึ่งแม้จะแตกต่าง แต่ก็พัฒนาขึ้นโดยมีระดับแรกเป็นรากฐาน เรา “กลายเป็น” บุตรของพระเจ้าอาศัยความเชื่อ เมื่อเราเชื่อในพระนามของพระเยซูเจ้า ข้อความนี้เชิญชวนทุกคนที่ “ดำเนินชีวิตตามธรรมบัญญัติของพระเจ้า” อย่างไม่เปิดเผย ให้กลายเป็นบุตรของพระองค์อย่างเปิดเผย โดยการศึกษาหลักธรรมคำสอนของคริสตศาสนา และรับศีลล้างบาป ซึ่งเป็นการเข้าสู่พระศาสนจักร เป็นประชากรของพระเจ้า และเป็นบุตรของพระเจ้า...
ทำไมจึงมีชายหญิงจำนวนมากที่อยากมาวัดในวันพระคริสตสมภพ เมื่อเขาแทบจะไม่เข้าวัดในเวลาปกติ ... ทำไมเขาจึงมาเฉลิมฉลองวันพระคริสตสมภพ ... เขารู้สึกได้หรือไม่ว่ายอห์นกำลังบอกอะไรกับเราผ่านตัวบทพระวรสารนี้...
ในก้นบึ้งของหัวใจมนุษย์ทุกคนมีความปรารถนาอันเร้นลับอย่างหนึ่ง - “ถ้าทั้งหมดนี้เป็นความจริงเล่า” ... ถ้าเป็นความจริงว่าเราไม่ได้เป็นเพียงมนุษย์ที่รู้จักตาย แต่ในตัวเรามีชีวิตที่จะดำรงอยู่ตลอดนิรันดรจริง ๆ...
พระวจนาตถ์ทรงรับธรรมชาติมนุษย์ และเสด็จมาประทับอยู่ในหมู่เรา เราได้เห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ เป็นพระสิริรุ่งโรจน์ที่ทรงรับจากพระบิดา
เราถูกนำย้อนกลับไปหาพระกุมารในเมืองเบธเลเฮม ในคอกสัตว์ ผู้บรรทมอยู่ท่ามกลางความยากจนประสามนุษย์คล้ายกับสภาพของเรา เราสามารถเพ่งพินิจ “เนื้อหนัง” ที่พระเจ้าทรงรับไว้ ถูกแล้ว พระองค์ทรงทำให้พระองค์เอง “อ่อนแอ” เพื่อจะประทาน “นิรันดรภาพ” ของพระองค์แก่เรา ... พระองค์ทรงทำให้พระองค์เอง “รู้จักตาย” เพื่อประทาน “อมตภาพ” แก่เรา พระองค์ทรงทำให้พระองค์เองเป็น “มนุษย์” เพื่อทำให้เราเป็น “พระเจ้า” เหมือนกับที่ปิตาจารย์รุ่นแรกของพระศาสนจักรกล้ายืนยัน ... ในศตวรรษที่ 4 ในเวลาที่อัตติลา และกองทัพของเขากำลังโจมตีอารยธรรมโรมัน นักบุญเลโอมหาราช ได้เรียกร้องชาวโลกที่กำลังตกอยู่ในวิกฤติทางสังคมที่ดูเหมือนว่ากำลังมุ่งหน้าไปสู่หายนะอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ ด้วยบทเทศน์ในวันพระคริสตสมภพซึ่งเรารู้จักกันดีว่า “โอ คริสตชน จงตระหนักถึงยศศักดิ์ของท่าน ท่านมีส่วนร่วมรับธรรมชาติของพระเจ้าเอง ดังนั้น จงอย่าถดถอยกลับไปสู่ความต่ำช้าด้วยการดำเนินชีวิตอย่างเลวทรามอีกเลย”
ถูกแล้ว พระวจนาตถ์ – พระเอกบุตร – ทรงรับธรรมชาติมนุษย์...
เมื่อยอห์นพูดถึงเรามนุษย์ เขาใช้คำว่า Tekna Theou หรือบุตรของพระเจ้า แต่บัดนี้ เขาใช้วลีที่เขาสงวนไว้สำหรับพระเยซูเจ้าเท่านั้น คือ Uios Theou หรือพระบุตรของพระเจ้า ความเป็นพระบุตรของพระเจ้าเป็นฐานะที่พิเศษไม่เหมือนใคร ความเชื่อเท่านั้นสามารถนำเราเข้าสู่ธรรมล้ำลึกนี้ได้ ยอห์นใช้คำที่ชัดเจนและเปิดเผยว่า eskenosen พระองค์ “พำนัก” อยู่ท่ามกลางเรา พระคัมภีร์เซปตัวยินตา (พันธสัญญาเดิมฉบับแปลภาษากรีก) ได้ใช้คำนี้แปลความหมายของคำว่า Shekinah กล่าวคือ “การพำนักของพระเจ้า” ท่ามกลางประชากรของพระองค์ ... “พลับพลาของพระเจ้า” ท่ามกลางประชากรของพระองค์ในทะเลทราย ... “พระวิหารของพระเจ้า” ในกรุงเยรูซาเล็ม สถานที่ของ “การประทับอยู่อย่างแท้จริง” ของพระองค์ และเป็นสถานที่แห่ง “พระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า”...
ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เนื้อหนังของเด็กน้อยในเบธเลเฮมคนนี้คือที่พำนักของพระเจ้า
ยอห์นเป็นพยานถึงพระองค์ และประกาศว่า “ผู้ที่มาภายหลังข้าพเจ้าได้นำหน้าข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนข้าพเจ้า”
ในย่อหน้าที่สองที่พูดถึงยอห์นผู้ทำพิธีล้าง ผู้นิพนธ์พระวรสารปล่อยให้ความคิดของเขาพัฒนาขึ้นตามกระบวนการทางเทววิทยาอีกครั้งหนึ่ง ยอห์นผู้ทำพิธีล้าง – บุรุษคนสุดท้ายแห่งพันธสัญญาเดิม ประกาศกคนสุดท้าย ... และพยานคนแรกที่ยืนยันถึงพระเยซูคริสตเจ้า – ได้ยืนยันอีกครั้งหนึ่งถึงธรรมชาติที่แตกต่างของพระเยซูเจ้าและตัวเขา กล่าวคือ เราเกิดมาในกาลเวลา พระเยซูเจ้าทรงเกิดมา “ก่อนกาลเวลา” ... เราได้รับเสนอ “การบันดาลเทวภาพ” ซึ่งทำให้เรา “กลายเป็น” บุตรของพระเจ้า – แต่พระเยซูเจ้าทรงเป็น “พระเจ้า” ตั้งแต่นิรันดรกาล...
พระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนข้าพเจ้า...
จากความไพบูลย์ของพระองค์ เราทุกคนได้รับพระหรรษทานต่อเนื่องกัน เพราะพระเจ้าได้ประทานธรรมบัญญัติผ่านทางโมเสส แต่พระหรรษทาน และความจริงมาทางพระเยซูคริสตเจ้า
ประวัติความสัมพันธ์ของพระเจ้าและมนุษยชาติเป็นเรื่องของการทำงานอย่างหนักของพระพรอันอุดม และความรักล้นเหลือ – “พระหรรษทานต่อเนื่องกัน ... ความรักอันต่อเนื่อง ... พระพรอันต่อเนื่อง” ... ธรรมบัญญัติที่พระเจ้าประทานแก่โมเสส (และการผจญภัยของชาวอิสราเอลโบราณ) ก็เป็นนิยายรักที่น่าพิศวงแล้ว เป็นประวัติศาสตร์ของพันธสัญญา ตลอดนิรันดรกาล เราใช้สองคำระบุลักษณะของการทำงานของพระเจ้า คือ “พระหรรษทาน และความจริง” ... แต่ในพระเยซูเจ้า มีพระหรรษทานและความจริงอยู่อย่างล้นเหลือ จนเรียกได้ว่าเป็นความไพบูลย์ ... ตั้งแต่นี้ไป มนุษยชาติจึง “เต็มเปี่ยม” ด้วยพระเจ้า...
ด้วยความเชื่อของพระนางมารีย์ ซึ่งเป็นแบบฉบับสำหรับผู้มีความเชื่อทุกคนในอนาคต มนุษยชาติจึง “เต็มเปี่ยม” ด้วยพระเจ้า ความเชื่อนี้นำพระองค์มาบังเกิดในครรภ์ของพระนาง...
ในวันนี้ เช่นเดียวกับทุกยุคสมัย “สรรพสิ่งต่างกำลังรอคอยอย่างกระวนกระวาย เพื่อพระเจ้าจะได้ทรงบันดาลให้บรรดาบุตรของพระองค์ปรากฏในพระสิริรุ่งโรจน์ ... สรรพสิ่งกำลังร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดราวกับสตรีคลอดบุตร” (รม 8:19-22) ... วันนี้ ในวันฉลองพระคริสตสมภพนี้ “พระหรรษทาน และความจริงมาทางพระเยซูคริสตเจ้า” และกำลังบังเกิดขึ้นมาในหัวใจมนุษย์ทั้งหลาย...
ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าเลย พระบุตรเพียงพระองค์เดียว ผู้สถิตอยู่ในพระอุระของพระบิดานั้น ได้ทรงเปิดเผยให้เรารู้
ความรักของพระเจ้ายิ่งใหญ่จริง ๆ! ... พระองค์ทรงรู้ว่าพระองค์ทรงอยู่เหนือธรรมชาติ และไกลเกินเอื้อมของสิ่งสร้างใด ๆ เราไม่สามารถ “มองเห็น” พระองค์เหมือนกับวัตถุในจักรวาล ... แต่พระองค์ทรง “รับธรรมชาติมนุษย์” ในองค์พระเยซูเจ้า และเมื่อเรามองพระเยซูเจ้า เราสามารถเดาได้ว่าพระเจ้าผู้ทรงซ่อนพระองค์นี้อาจจะมีลักษณะอย่างไร ... เมื่อเราฟังพระเยซูเจ้า เราสามารถรู้ได้ว่า พระเจ้าผู้เงียบสนิทนี้ทรงคิดอะไร และทรงมีพระประสงค์อะไร...
ดังนั้น ข้อความนี้จึงเป็น “อารัมภบท” ของข่าวดีตามคำบอกเล่าของนักบุญยอห์น และเป็นอารัมภบทที่สอดคล้องกลมกลืนกับข้อความทั้งหมดที่จะตามมา คือ พระเจ้าตรัสกับมนุษย์ในองค์พระเยซูเจ้า ทรงเปิดเผยความลับและธรรมล้ำลึกของพระองค์ ... ใครก็ตามที่ “รัก” ไม่ว่าเขาจะเป็นคริสตชนหรือไม่ก็ตาม เขาคนนั้น “สนิทเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า และเกิดจากพระเจ้า” แล้ว ... แต่ใครก็ตามที่ “เชื่อในพระเยซูเจ้า” เขาคนนั้นเข้าสู่ความไพบูลย์ครั้งใหม่ของชีวิต เพราะเขา “รู้จัก” พระเจ้า และ “กลายเป็นบุตรของพระองค์”...
พระเจ้าข้า ในวันพระคริสตสมภพนี้ ขอให้เราเป็นหนึ่งใน “ความเป็นจริงภายใน” ของพระศาสนจักรของพระองค์อาศัยความรักในชีวิตที่เราได้รับจากพระองค์ และขอให้เราเป็นหนึ่งในพระศาสนจักรของพระองค์ “อย่างชัดแจ้งและมองเห็นได้” อาศัยศีลล้างบาป และศีลมหาสนิท...