(19)“ท่านทั้งหลายจงอย่าสะสมทรัพย์สมบัติบนแผ่นดินนี้เลย ที่นี่ทรัพย์สมบัติทั้งหลายถูกสนิมและขมวนกัดกิน และถูกขโมยเจาะช่องเข้ามาขโมยไปได้ (20) แต่จงสะสมทรัพย์สมบัติในสวรรค์เถิด ที่นั่นไม่มีสนิมหรือขมวนกัดกิน และขโมยก็เจาะช่องเข้ามาขโมยไปไม่ได้ (21) เพราะทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ใด ใจของท่านก็จะอยู่ที่นั่นด้วย”
เป็นธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนที่จะเลือกซื้อเลือกหาสิ่งของที่มีคุณภาพดี แข็งแรงและคงทน พระเยซูเจ้าเองทรงปรารถนาให้เราเลือกสมบัติที่คงทนยาวนานเช่นเดียวกัน
พระองค์ทรงยกตัวอย่างของทรัพย์สมบัติที่มีค่ามากในสมัยของพระองค์ 3 ประเภทด้วยกัน คือ
1. สิ่งที่ถูก(สนิม)กัดกิน
ภาษากรีก brw/sij, ewj หมายถึง “การกินจนหมดไป” ไม่เคยพบว่าใช้ในใจความของ “สนิม”
ในสมัยของพระเยซูเจ้า ชาวยิววัดความมั่งคั่งกันที่จำนวนข้าวโพดหรือข้าวสาลีที่อยู่ในยุ้งฉาง ถ้ามีเต็มหรือมีหลายยุ้งฉางก็แสดงว่าร่ำรวยมาก
แต่ทั้งเมล็ดข้าวโพดและข้าวสาลีอาจถูกหนู ขมวน หรือสัตว์อื่น ๆ แทะกินจนเสียหายใช้ประโยชน์ไม่ได้ หรืออาจถูกกินไปจนหมดยุ้งฉางก็ได้
2. สิ่งที่แมลงกินผ้ากัดกินได้
คำภาษากรีก sh,j, shto,j, o` หมายถึงแมลงกินผ้า (moth, a small butterflylike insect whose larva feeds on cloth) ไม่ใช่ขมวน ซึ่งเป็นแมลงพวกด้วงปีกแข็งที่กินปลาแห้ง เนื้อแห้ง และอาหารแห้งอื่น ๆ โดยทิ้งรอยให้เห็นเป็นขุยเล็ก ๆ ออกมา
นอกจากวัดฐานะกันที่จำนวนเมล็ดข้าวแล้ว ชาวยิวยังถือว่าเสื้อผ้าเป็นของมีค่าที่ใช้วัดความมั่งคั่งของผู้สวมใส่อีกด้วย ตัวอย่างเช่น
- เกหะซีซึ่งเป็นคนใช้ของประกาศกเอลีชา แอบไปขอรางวัลจากนาอามาน แม่ทัพของซีเรีย เป็นเงินหนึ่งตะลันต์ และเสื้อเที่ยวงาน 2 ตัว (2 พกษ 5:22)
- อาคานจากตระกูลยูดาห์ได้ยักยอกเสื้อคลุม จนถูกหินทุ่มและถูกไฟเผาตายในที่สุด (ยชว 7:21)
3. สิ่งที่ขโมยเจาะเข้ามาเอาไปได้
ชาวยิวมักซ่อนทรัพย์สมบัติมีค่าเช่นทองไว้ในบ้าน ซึ่งกำแพงส่วนใหญ่ทำด้วยดินตากแห้ง ไม่มีความมั่นคงแข็งแรง ขโมยจึงสามารถเจาะช่องเข้ามาขโมยสมบัติไปได้โดยง่าย
จะเห็นว่าทรัพย์สมบัติที่ถือว่ามีค่าที่สุดของชาวยิวในสมัยนั้น ล้วนหาความมั่นคงถาวรไม่ได้ และจากตัวอย่างสมบัติทั้ง 3 ประเภท พระเยซูเจ้าทรงเตือนเราดังนี้
1. เมล็ดข้าวที่เก็บไว้นาน ๆ ย่อมเสีย หรือถูกหนูและแมลงกัดกิน แปลว่าสมบัติในโลกนี้ถ้าไม่ถูกทำลายไปเสียก่อน ก็สามารถ “ร่วงโรยไปตามกาลเวลา” ได้ ยิ่งเก็บนานก็ยิ่งเสื่อมคุณค่าหรือเสียไป
ความสุขหรือความพึงพอใจก็เช่นเดียวกับสมบัติ สิ่งของอย่างหนึ่งอาจให้ความสุขแก่เราในวัยเด็ก แต่เมื่ออายุมากขึ้นเราอาจไม่สนใจ หรือสังขารของเราไม่เหมาะกับสิ่งที่ครั้งหนึ่งเราเคยคลั่งไคล้หลงใหลก็เป็นได้
เราจึงไม่ควรใส่ใจกับความสนุกสนานร่าเริงที่กาลเวลาสามารถช่วงชิงไปได้ แต่ควรแสวงหาความสุขที่กาลเวลาไม่อาจบ่อนทำลายได้
2. สมบัติบางอย่างเป็นเหมือนเสื้อผ้า แม้จะรอดจากการถูกแมลงกัดกิน แต่หากเราใส่เสื้อผ้าชุดนั้นบ่อย ๆ คุณค่าของเสื้อผ้าชุดนั้นก็จะ “ร่วงโรยไปเพราะความซ้ำซากจำเจ”
ความสนุกสนานตื่นเต้นครั้งที่สองย่อมน้อยกว่าครั้งแรก และจะลดน้อยลงเรื่อย ๆ ในครั้งต่อ ๆ ไป
เราจะเป็นคนโง่สักปานใด หากเรามุ่งมั่นแสวงหาความสนุกตื่นเต้นในโลกนี้ที่มีแต่จะลดน้อยถอยลงเรื่อย ๆ
3. ทรัพย์สมบัติที่เป็นวัตถุทุกชนิด อาจถูกขโมยหรือสูญหายหรือถูกทำลายไปได้ทุกเวลา ไม่มีสิ่งใดมั่นคงถาวรเลย
หากเราสร้างความสุขบนพื้นฐานของวัตถุสิ่งของ เช่นเงินทอง บ้าน รถยนต์ เกิดวันหนึ่งไฟไหม้ หรือเราล้มละลาย ความสุขของเราก็พลอยสูญสิ้นไปพร้อมกับทรัพย์สมบัตินั้นด้วย
ผู้ที่ชาญฉลาดย่อมสร้างความสุขบนพื้นฐานของสิ่งที่ไม่อาจสูญหาย หรือถูกเซาะทำลายไปเพราะกาลเวลา
สิ่งนั้นคือ ทรัพย์สมบัติในสวรรค์
ถ้าเราให้คุณค่ากับสิ่งของของโลกนี้ จิตใจของเราจะยึดติดอยู่กับโลกนี้ และไม่อยากจากโลกนี้ไป
แต่ถ้าเราให้คุณค่ากับสมบัติสวรรค์ ใจเราจะยึดติดกับสวรรค์และเราจะพร้อมจากโลกนี้ไปด้วยความยินดี