พระเยซูเจ้าสิ้นพระชนม์
ข่าวดี ยน 19:28-30
(28)หลังจากนั้น พระเยซูเจ้าทรงทราบว่าทุกสิ่งสำเร็จแล้ว จึงตรัสว่า “เรากระหาย”
พระคัมภีร์ตอนนี้จึงเป็นจริงด้วย
(29)ที่นั่นมีภาชนะใบหนึ่งบรรจุน้ำองุ่นเปรี้ยวเต็มวางอยู่ ทหารจึงใช้ฟองน้ำชุบน้ำองุ่นเปรี้ยวเสียบปลายกิ่งหุสบ ยื่นถึงพระโอษฐ์ (30)พระเยซูเจ้าทรงจิบน้ำองุ่นเปรี้ยวแล้ว ตรัสว่า “สำเร็จบริบูรณ์แล้ว” พระองค์ทรงเอนพระเศียร สิ้นพระชนม์
“เรากระหาย”
ยอห์นเขียนพระวรสารประมาณ ค.ศ. 100 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ลัทธิ Gnosticism เริ่มเผยแพร่เข้ามาในพระศาสนจักร คำสอนหลักของลัทธินี้คือ “วิญญาณเป็นสิ่งดี วัตถุเป็นสิ่งชั่ว”
ข้อสรุปที่ตามมาคือ พระเจ้าผู้ทรงเป็นจิตล้วนจะรับเอากายเป็นมนุษย์ไม่ได้ เพราะกายเป็นวัตถุและชั่ว พระเยซูเจ้าจึงไม่เคยมีร่างกายแบบมนุษย์จริง ๆ พระองค์เป็นเพียง “เงา” ที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์เท่านั้น
ในเมื่อพระองค์ไม่มีร่างกายแบบมนุษย์ เวลาเดินจึงไม่ปรากฏรอยเท้าบนพื้น อีกทั้งไม่เคยรู้สึกเจ็บปวดจริงและไม่ได้สิ้นพระชนม์จริง
ผู้ที่นิยมลัทธินี้ เชื่อว่าพวกเขากำลังยกย่องและให้เกียรติพระเยซูเจ้าสูงสุด แต่จริง ๆ แล้วพวกเขากำลังทำลายพระองค์
ถ้าพระองค์จะไถ่กู้มนุษย์ พระองค์ต้องเป็นมนุษย์
พระองค์จำต้องเป็นเหมือนเราเพื่อทำให้เราเป็นเหมือนพระองค์ !
ด้วยเหตุนี้ยอห์นจึงตอกย้ำคำพูดของพระองค์บนไม้กางเขนซึ่งมีอยู่เพียงไม่กี่คำว่า
“เรากระหาย” ! (ยน 19:28)
พระองค์ทรงรู้สึกกระหายและต้องทนทุกข์ทรมานบนไม้กางเขนเพราะพระองค์ทรงเป็นมนุษย์จริง ๆ เหมือนเรา....
“สำเร็จบริบูรณ์แล้ว”
หากเปรียบเทียบพระวรสารทั้งสี่ที่กล่าวถึงลมหายใจเฮือกสุดท้ายของพระเยซูเจ้าดังนี้
มธ 27:50 “พระเยซูเจ้าทรงเปล่งเสียงดังอีกครั้งหนึ่ง แล้วสิ้นพระชนม์”
มก 15:37 “พระเยซูเจ้าทรงเปล่งเสียงดัง แล้วสิ้นพระชนม์”
ลก 23:46 “พระเยซูเจ้าทรงร้องเสียงดังว่า ‘พระบิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้ามอบจิตของข้าพเจ้าไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์’ เมื่อตรัสดังนี้แล้ว ก็สิ้นพระชนม์”
ยน 19:30 “พระเยซูเจ้าทรงจิบน้ำองุ่นเปรี้ยวแล้ว ตรัสว่า “สำเร็จบริบูรณ์แล้ว” พระองค์ทรงเอนพระเศียร สิ้นพระชนม์”
จะเห็นว่ามียอห์นเพียงผู้เดียวที่ไม่ได้เล่าว่าพระเยซูเจ้าทรงร้องเสียงดัง เพียงแต่ตรัสว่า “สำเร็จบริบูรณ์แล้ว” จึงสิ้นพระชนม์
สาเหตุคงเป็นเพราะยอห์นเห็นว่า “เสียงร้องอันดัง” กับ “สำเร็จบริบูรณ์แล้ว” เป็นเสียงเดียวกัน !
นั่นคือ พระองค์ทรงร้อง “สำเร็จบริบูรณ์แล้ว” ด้วยเสียงอันดังอย่างผู้มีชัยชนะ ไม่ใช่บ่นพึมพำอยู่ในลำคอเหมือนคนหมดหนทางสู้ “จบเห่กัน” !!!
นอกจากนั้น ยอห์นยังเล่าว่า “พระองค์ทรงเอนพระเศียร สิ้นพระชนม์” (ยน 19:30) โดยใช้คำ klinas (คลีนาส – เอน) ซึ่งมีความหมายเดียวกันกับเอนศีรษะบนหมอนเพื่อพักผ่อน
แสดงว่าตลอดชีวิตของพระเยซูเจ้า พระองค์ทรงต่อสู้ดิ้นรนเพื่อปฏิบัติภารกิจที่พระบิดาทรงมอบหมายจนสำเร็จบริบูรณ์ บัดนี้ พระองค์สามารถเอนศีรษะพักผ่อนด้วยความสุข
พระองค์ทรงจากโลกนี้ไปอย่างผู้มีชัยพร้อมกับสันติสุข !
กิ่งหุสบ
ยอห์นเล่าว่าเมื่อพระเยซูเจ้าทรง “กระหาย” ทหารใช้ฟองน้ำชุบน้ำองุ่นเปรี้ยวเสียบปลายกิ่งหุสบ ยื่นถึงพระโอษฐ์ (ยน 19:29)
กิ่งหุสบมีลักษณะเป็นก้านใบหญ้า แม้จะแข็งพอควรแต่ยาวไม่เกิน 2 ฟุต จึงไม่น่าจะเหมาะสำหรับเสียบฟองน้ำชุบน้ำองุ่นเปรี้ยวส่งให้ถึงพระโอษฐ์ของพระองค์
นักวิชาการด้านพระคัมภีร์บางคนจึงตั้งสมมุติฐานว่ายอห์นเขียนผิด คำที่ถูกควรเป็น “หอก” หรือ “ทวน” มากกว่าจะเป็น “กิ่งหุสบ”
แต่นี่คือความล้ำลึกของยอห์น ท่านจงใจใช้คำ “กิ่งหุสบ”
ในงานเลี้ยงปัสกาครั้งแรกก่อนที่ชาวอิสราเอลจะอพยพออกจากประเทศอียิปต์ โมเสสเรียกประชุมผู้อาวุโสทั้งปวงของชาวอิสราเอล พูดว่า “จงไปเลือกลูกแกะหรือลูกแพะสำหรับครอบครัวของท่าน และฆ่าเป็นเครื่องบูชาสำหรับฉลองปัสกา จงเอากิ่งหุสบ จุ่มลงในชามเลือดของสัตว์นั้น พรมที่กรอบประตูด้านข้างและด้านบน อย่าให้ผู้ใดออกนอกบ้านจนกระทั่งเช้า เมื่อพระยาห์เวห์เสด็จผ่านมาลงโทษประเทศอียิปต์ พระองค์จะทอดพระเนตรเห็นเลือดที่กรอบประตู ทั้งด้านข้างและด้านบน พระยาห์เวห์จะเสด็จผ่านประตูไป จะไม่ทรงอนุญาตให้ผู้ทำลายเข้าไปประหารคนในบ้านของท่าน” (อพย 12:21-23)
ยอห์นจงใจใช้ “กิ่งหุสบ” เพื่อเชิญชวนเราให้หวนกลับไปคิดถึงเลือดของลูกแกะที่เคยช่วยประชากรของพระเจ้าให้รอดพ้นจากการเป็นทาสในอียิปต์
เพียงแต่ครั้งนี้เป็น “เลือดของพระเยซูเจ้า” ผู้ทรงเป็น “ลูกแกะของพระเจ้า” ที่ได้ช่วย “มนุษย์ทั้งโลก” ให้เป็นอิสระจาก “บาป” !!!