แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

อาทิตย์ที่ 9 เทศกาลธรรมดา

ข่าวดี    มัทธิว 7:21-27
(21)“คนที่กล่าวแก่เราว่า ‘พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า’ นั้นมิใช่ทุกคนจะได้เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์นั่นแหละจะเข้าสู่สวรรค์ได้  (22)ในวันนั้นหลายคนจะกล่าวแก่เราว่า ‘พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ประกาศพระวาจาในพระนามของพระองค์ ขับไล่ปีศาจในพระนามของพระองค์ และได้กระทำอัศจรรย์หลายประการในพระนามของพระองค์มิใช่หรือ’  (23)เมื่อนั้น เราจะกล่าวแก่เขาว่า ‘เราไม่เคยรู้จักท่านทั้งหลายเลย ท่านผู้กระทำความชั่ว จงไปให้พ้นหน้าเรา’
(24)“ผู้ใดฟังถ้อยคำเหล่านี้ของเราและปฏิบัติตาม ก็เปรียบเสมือนคนมีปัญญาที่สร้างบ้านไว้บนหิน  (25)ฝนจะตก น้ำจะไหลเชี่ยว ลมจะพัดโหมเข้าใส่บ้านหลังนั้น บ้านก็ไม่พัง เพราะมีรากฐานอยู่บนหิน  (26)ผู้ใดที่ฟังถ้อยคำเหล่านี้ของเรา และไม่ปฏิบัติตามก็เปรียบเสมือนคนโง่เขลาที่สร้างบ้านไว้บนทราย  (27)เมื่อฝนตก น้ำไหลเชี่ยว ลมพัดโหมเข้าใส่บ้านหลังนั้น มันก็พังทลายลงและเสียหายมาก”


1. ผู้ที่ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้าจะเข้าสู่สวรรค์
    “ในวันนั้นหลายคนจะกล่าวแก่เราว่า ‘พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ประกาศพระวาจาในพระนามของพระองค์ ขับไล่ปีศาจในพระนามของพระองค์ และได้กระทำอัศจรรย์หลายประการในพระนามของพระองค์มิใช่หรือ’” (มธ 7:22)
    ดูเหมือนพระเยซูเจ้ากำลังยอมรับว่ามีประกาศกเทียมที่สามารถพูดและกระทำสิ่งแปลกประหลาดมหัศจรรย์ได้
    อันที่จริง มหัศจรรย์เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ จนเป็นเรื่องปกติธรรมดาในโลกสมัยโบราณ เพราะคนสมัยก่อนเชื่อว่าโรคภัยไข้เจ็บเกิดจากปีศาจ หากปีศาจมีอิทธิพลเหนือผู้ใดหรือสามารถเข้าไปในส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายได้ ผู้นั้นจะล้มป่วย  การรักษาสามารถทำได้โดยการขับไล่ปีศาจออกไปจากผู้นั้น  ผลจากความเชื่อเช่นนี้คือเกิดโรคภัยไข้เจ็บจำนวนมากที่ปัจจุบันเราเรียกว่า “โรคจิต”  หากผู้ใดแน่ใจหรือหลอกตัวเองจนเชื่อว่ามีปีศาจสิงอยู่หรือตนตกอยู่ใต้อำนาจของปีศาจ ผู้นั้นจะล้มป่วย  และหากมีผู้ใดสามารถทำให้เขาแน่ใจว่าหลุดพ้นจากอำนาจของปีศาจแล้ว เขาก็จะหายจากโรค
    แม้ในยุคพระศาสนจักรเริ่มแรกก็ยังปรากฏผู้ป่วยทางจิตเพราะปีศาจสิงอยู่ ซ้ำร้ายไปกว่านั้นยังมีบางคนแสวงหาผลประโยชน์จากโรคนี้ดังที่นักบุญลูกาบันทึกไว้ว่า “ชาวยิวบางคนผู้มีอาชีพเดินทางขับไล่ปีศาจ พยายามเรียกขานพระนามของพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าเหนือผู้ที่ถูกปีศาจร้ายสิงอยู่ สั่งว่า ‘เดชะพระนามของพระเยซูเจ้าที่เปาโลเทศน์สอน ข้าพเจ้าสั่งเจ้าให้ออกไป’” (กจ 19:13)
    แต่พระเยซูเจ้าทรงเตือนบรรดาผู้ที่ใช้พระนามของพระองค์ในทางที่ผิดเพื่อ “หลอกลวง” ผู้อื่นว่าสักวันหนึ่งจะมีการคิดบัญชี แรงจูงใจที่แท้จริงของพวกเขาจะถูกเปิดเผย และพระองค์จะกล่าวแก่พวกเขาว่า “เราไม่เคยรู้จักท่านทั้งหลายเลย ท่านผู้กระทำความชั่ว จงไปให้พ้นหน้าเรา” (มธ 7:23)
    อนึ่ง หนทางเดียวที่จะพิสูจน์ “ความจริงใจ” และ “ไม่หลอกลวง” ของเราได้คือ “การปฏิบัติ”  เหตุว่าคำพูดคำจาอันแสนไพเราะ แม้ในพระนามของพระเยซูเจ้า ก็ไม่มีทางแทนที่การประพฤติดีประพฤติชอบของเราไปได้เลย
    และเช่นกัน หนทางเดียวที่จะพิสูจน์ “ความรัก” ของเราได้ก็คือ “ความนบนอบ”  เพราะลำพังคำพูดว่า “รัก” จะไม่มีความหมายอันใดเลยหากพฤติกรรมของเรายังย่ำยีหัวใจของคนรักอยู่ร่ำไป
    ด้วยหลักการดังกล่าว พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “คนที่กล่าวแก่เราว่า ‘พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า’ นั้นมิใช่ทุกคนจะได้เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์นั่นแหละจะเข้าสู่สวรรค์ได้” (มธ 7:21)
    ซึ่งหมายความว่า “การปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้า” คือหนทางเดียวที่สามารถพิสูจน์ “ความจริงใจ” และ “ความรัก” ที่เรามีต่อพระองค์ได้  และยังเป็นเพียงหนทางเดียวที่จะนำเราเข้าสู่พระอาณาจักรสวรรค์
    แต่น่าเสียดายที่หลายครั้งเรายืนยันความเชื่อในพระเจ้าด้วยปาก แต่ปฏิเสธพระองค์ด้วยชีวิต !!
    เราพูดแต่ไม่ทำ !
    เราอาจเสแสร้งหลอกลวงมนุษย์ด้วยกันเองได้ แต่เราจะหลอกลวงพระเจ้าไม่ได้เพราะ “พระองค์ทรงเข้าใจความคิดของเราแม้อยู่ห่างไกล” (สดด 139:2)

2. ผู้ใดฟังถ้อยคำของเราและปฏิบัติตามก็เปรียบเสมือนสร้างบ้านไว้บนหิน
    ภาพของบ้านที่มั่นคง ไม่พัง กับภาพของบ้านที่พังทลายลงเมื่อน้ำไหลเชี่ยวและลมโหมพัดเข้าใส่ ได้มาจากหนังสือสุภาษิต “เมื่อมรสุมพัดกระหน่ำ คนชั่วร้ายก็สิ้นไป แต่คนชอบธรรมยืนหยัดมั่นคงเป็นนิตย์” (สภษ 10:25)
    แสดงว่าพระเยซูเจ้าทรงรอบรู้และเชี่ยวชาญพระคัมภีร์เป็นอย่างดียิ่ง
    นอกจากเชี่ยวชาญเรื่องพระคัมภีร์แล้ว พระองค์ยังทรงเชี่ยวชาญเรื่องสร้างบ้านอีกด้วยเพราะทรงเคยเป็นช่างก่อสร้างมาก่อน
    คำอุปมาเรื่องนี้จึงกลั่นกรองออกมาจากชีวิตจริงของพระองค์เอง !
    ในปาเลสไตน์ คนสร้างบ้านจำเป็นต้องดูทำเลให้รอบคอบเพราะมีเส้นทางน้ำไหลผ่านจำนวนมากที่แลดูเป็นผืนทรายราบเรียบในฤดูร้อน แต่กลายเป็นสายน้ำเชี่ยวกรากในฤดูหนาว  หากผู้ใดหลงคิดว่าทำเลนี้สวยงามเหมาะแก่การสร้างบ้าน ก็เท่ากับว่าเขากำลังสร้างบ้านกลางลำน้ำแห้ง เมื่อฤดูหนาวมาถึง บ้านก็จะพังทลายไหลกระจัดกระจายไปตามสายน้ำ
    แม้ในทำเลที่ปลอดภัยจากสายน้ำเชี่ยวกราก ก็ยังมีคนสร้างบ้านจำนวนไม่น้อยที่ไม่ยอมขุดทรายลงไปจนถึงชั้นหินด้านล่าง  แต่เลือกที่จะสร้างบ้านบนพื้นทรายที่มีแต่หายนะรออยู่เบื้องหน้า
    บ้านที่มีฐานรากมั่นคงเท่านั้นจึงจะสามารถยืนหยัดสู้พายุได้ฉันใด ชีวิตที่มีรากฐานมั่นคงเท่านั้นจึงจะสามารถทนทานมรสุมที่พัดผ่านเข้ามาในชีวิตได้ฉันนั้น
    พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ผู้ใดฟังถ้อยคำเหล่านี้ของเราและปฏิบัติตาม ก็เปรียบเสมือนคนมีปัญญาที่สร้างบ้านไว้บนหิน” (มธ 7:24)
    เท่ากับพระองค์ทรงเสนอแนวทาง 2 ประการในอันที่จะทำให้รากฐานชีวิตของเรามั่นคง กล่าวคือ
    1.    ฟังพระวาจา  ปัญหาใหญ่ของเราทุกวันนี้คือมีคนจำนวนมากที่ไม่รู้ว่าพระเยซูเจ้าและพระศาสนาจักรสอนอะไร  ซ้ำร้ายไปกว่านั้น มีคนจำนวนไม่น้อยที่เข้าใจคำสอนของพระองค์ผิด ๆ
        อย่าลืมว่าเราไม่ได้มีหน้าที่ตำหนิคนหรือสถาบันที่ไม่รู้หรือเข้าใจคำสอนของพระองค์ผิด ๆ  แต่เราต้องพยายามทุกวิถีทางทำให้พระเยซูเจ้ามีโอกาส “พูด” และทุกคนมีโอกาส “ฟัง”
    2.    ปฏิบัติตามพระวาจา  เป็นไปได้ว่าคนคนหนึ่งอาจสอบจริยธรรมคริสต์ได้ที่หนึ่งแต่ไม่ได้เป็นคริสตชน  ความรู้ของเขาจึงไม่เกิดประโยชน์อันใด
        เพราะฉะนั้น เราต้องทำให้ความรู้กลายเป็นกิจการ  ทฤษฎีกลายเป็นการปฏิบัติ  และเทววิทยากลายเป็นชีวิต
        จะมีประโยชน์อันใดที่จะไปหาหมอหากเราไม่พร้อมจะทำสิ่งที่หมอบอกเรา หรือจะมีประโยชน์อันใดที่จะไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหากเราไม่พร้อมจะปฏิบัติตามคำแนะนำของเขา
        กระนั้นก็ตาม ยังมีคริสตชนจำนวนมากที่ฟังพระเยซูเจ้าทุกวันอาทิตย์ และเข้าใจสิ่งที่พระองค์ทรงสอนอย่างดี แต่ไม่เคยพยายามนำไปปฏิบัติแม้แต่นิดเดียว
        ขอให้พระวาจานี้ดังก้องอยู่ในจิตใจของเราเสมอ “ผู้ใดที่ฟังถ้อยคำเหล่านี้ของเรา และไม่ปฏิบัติตามก็เปรียบเสมือนคนโง่เขลาที่สร้างบ้านไว้บนทราย” (มธ 7:26)
    หากเราคิดจะเป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้า เราต้องพร้อมที่จะ “ฟัง” และ “ปฏิบัติ” ตามคำสอนของพระองค์
    การ “ฟัง” และ “ปฏิบัติ” ตามคำสอนของพระองค์คือ “การนบนอบพระเจ้า”
    “การนบนอบพระเจ้า” คือ “รากฐานที่มั่นคงของชีวิต”
    “ฝนจะตก น้ำจะไหลเชี่ยว ลมจะพัดโหมเข้าใส่ บ้านก็ไม่พัง ชีวิตก็มั่นคง เพราะมีรากฐานอยู่บนหินคือการนบนอบพระเจ้า” (เทียบ มธ 7:25) !!