ข่าวดี ยน 15:9-17
9พระบิดาของเราทรงรักเราอย่างไร เราก็รักท่านทั้งหลายอย่างนั้น จงดำรงอยู่ในความรักของเราเถิด 10ถ้าท่านปฏิบัติตามบทบัญญัติของเรา ท่านก็จะดำรงอยู่ในความรักของเรา เหมือนกับที่เราปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระบิดาของเรา และดำรงอยู่ในความรักของพระองค์ 11เราบอกเรื่องเหล่านี้แก่ท่านทั้งหลายแล้ว เพื่อให้ความยินดีของเราอยู่กับท่าน และความยินดีของท่านจะสมบูรณ์ 12นี่คือบทบัญญัติของเรา ให้ท่านทั้งหลายรักกันเหมือนดังที่เรารักท่าน 13ไม่มีใครมีความรักยิ่งใหญ่กว่าการสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหาย 14ท่านทั้งหลายเป็นมิตรสหายของเราถ้าท่านทำตามที่เราสั่งท่าน 15เราไม่เรียกท่านว่าเป็นผู้รับใช้อีกต่อไป เพราะผู้รับใช้ไม่รู้ว่านายของตนทำอะไร เราเรียกท่านเป็นมิตรสหายเพราะเราแจ้งให้ท่านรู้ทุกสิ่งที่เราได้ยินมาจากพระบิดาของเรา 16มิใช่ท่านทั้งหลายได้เลือกเรา แต่เราได้เลือกท่าน มอบภารกิจให้ท่านไปทำจนเกิดผล และผลของท่านจะคงอยู่ เพื่อว่าท่านจะขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา พระบิดาจะประทานแก่ท่าน 17เราสั่งท่านทั้งหลายดังนี้ว่า ท่านทั้งหลายจงรักกัน
การดำรงอยู่ใน “ความรัก” ของพระเยซูเจ้า นอกจากจะทำให้ชีวิตของเราเจริญงอกงามและบังเกิดผลอย่างอุดมสมบูรณ์ เสมือนกิ่งองุ่นที่ติดอยู่กับเถาแล้ว ยังทำให้พระบิดาเจ้าได้รับพระสิริรุ่งโรจน์จากผลแห่งกิจการดีของเราอีกด้วย (ยน 15:7-8)
โดยมี “ความรัก” เดียวกันนี้เองเป็นแรงจูงใจ พระเยซูเจ้าทรงเปิดประเด็นใหม่ซึ่งเป็นศูนย์กลางของข่าวดีตอนนี้
“มิใช่ท่านทั้งหลายได้เลือกเรา แต่เราได้เลือกท่าน” ! (ยน 15:16)
ด้วยความรัก พระเยซูเจ้าทรงเลือกเราเพื่อ
1. “ให้ความยินดีของเราอยู่กับท่าน และความยินดีของท่านจะสมบูรณ์” (ยน 15:11) การดำเนินชีวิตเยี่ยงคริสตชนแม้จะเต็มไปด้วยความยากลำบากก็จริง แต่เราไม่ยินดีดอกหรือที่ได้ทำสิ่งที่ถูกต้องและควรทำ ?
เราไม่ยินดีที่ได้ “รักและให้” ซึ่งเท่ากับว่า “เราพอแล้ว เราสุขแล้ว” ดอกหรือ ?
และถึงแม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าเราเป็นคนบาป แต่เราไม่ยินดีดอกหรือที่ได้รับการไถ่กู้ให้รอดโดยพระเยซูเจ้าแล้ว ?
ยิ่งไปกว่านั้น เราไม่ยินดีมากขึ้นไปอีกหรือในเมื่อพระองค์ตรัสว่าความยินดีในโลกหน้าของเราจะสมบูรณ์ยิ่งกว่านี้อีก ?
เพราะฉะนั้น ผู้ที่ดำเนินชีวิตจมอยู่ในความทุกข์โศกเศร้าหรือชอบตีหน้าเศร้าอยู่เสมอ จึงต้องถือว่าสวนทางกับการเป็นคริสตชนโดยสิ้นเชิง
2. “ให้ท่านทั้งหลายรักกัน เหมือนดังที่เรารักท่าน” (ยน 15:12) พระองค์ทรงเลือกสรรเราเพื่อให้เรา “รักกันและกัน” ไม่ใช่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน ถกเถียงกัน หรือทะเลาะเบาะแว้งกัน
และเมื่อพระองค์ตรัสว่า “ไม่มีความรักใดยิ่งใหญ่กว่าการสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหาย” พระองค์ไม่เพียงแต่พูดเท่านั้น แต่ทรงกระทำเป็นแบบอย่างแก่เรา โดยทรงยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อเราทุกคน
ในเมื่อพระองค์ทรงแสดงความรักอันยิ่งใหญ่ต่อเราก่อน พระองค์จึงมีสิทธิเต็มที่ที่จะเรียกร้องให้เราทุกคนรักกันและกัน
หลายครั้ง การเทศน์สอนหรือการประกาศข่าวดีของเราไม่บังเกิดผล เพราะเราเรียกร้องให้ผู้อื่นรักกัน ในขณะที่ตัวเราเองดำเนินชีวิตราวกับว่าการแสดงความรักต่อผู้อื่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่เราจะทำ !
3. “เราเรียกท่านเป็นมิตรสหาย” (ยน 15:14) นั่นคือพระองค์ทรงเลือกเรามาเพื่อเป็น “เพื่อน” ของพระองค์
พระองค์ตรัสว่า “เราไม่เรียกท่านเป็นผู้รับใช้อีกต่อไป” คำ “ผู้รับใช้” ตรงกับภาษากรีก Doulos (ดูลอส) ซึ่งแปลว่า “ทาส”
คำว่า “ผู้รับใช้ของพระเจ้า” หรือ “ทาสของพระเจ้า” เป็นคำที่บรรดามหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ใช้เรียกตนเองด้วยความภาคภูมิใจ เช่น โมเสส (ฉธบ 34:5), โยชูวา (ยชว 24:29), ดาวิด (สดด 89:20), เปาโล (ทต 1:1), และ ยากอบ (ยก 1:1) เป็นต้น
ขนาดบุคคลระดับนี้ยังภูมิใจที่ได้เป็น “ทาสของพระเจ้า” แล้วเราจะไม่ภูมิใจได้อย่างไรในเมื่อพระองค์ทรงเรียกเราเป็น “สหาย” ไม่ใช่ “ทาส”
โอ้ ช่างเป็นสิทธิพิเศษยิ่งใหญ่เหนือคำบรรยายใด ๆ !
สมัยก่อน ในราชสำนักของจักรพรรดิโรมันและกษัตริย์ทางตะวันออก จะมีบุคคลกลุ่มหนึ่งได้รับคัดเลือกให้เป็น “พระสหาย” บุคคลเหล่านี้ใกล้ชิดและสนิทสนมกับจักรพรรดิหรือกษัตริย์มากที่สุด สามารถเข้านอกออกในได้ทุกแห่งและทุกเวลาแม้ในห้องบรรทม ทุก ๆ เช้าจักรพรรดิหรือกษัตริย์จะสนทนากับ “พระสหาย” ก่อนออกพบปะกับบรรดาแม่ทัพนาย กองเสียอีก
เมื่อพระเยซูเจ้าทรงเลือกเราเป็น “สหายของพระเจ้า” จึงเป็นข้อเสนอยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับเรามนุษย์ เพราะนับจากนี้ไป เราไม่ต้องชะเง้อมองพระเจ้าจากไกล ๆ อีกต่อไป เราไม่เหมือนทาสซึ่งไม่มีสิทธิปรากฏกายต่อหน้านาย และเราไม่เหมือนฝูงชนที่มีโอกาสพบเห็นกษัตริย์ของตนเพียงชั่วครู่ชั่วยามเฉพาะเมื่อมีพิธีการสำคัญเท่านั้น
ตรงกันข้าม เราเป็นพระสหายที่สนิทและใกล้ชิดพระเจ้ามากที่สุด !
หรือเรายังจะมัวทำตัวเป็น “ทาส” ของปีศาจอยู่อีก ?
4. นอกจากเป็น “เพื่อน” แล้ว พระองค์ยังเลือกเรามาเป็น “หุ้นส่วน” ของพระองค์อีกด้วย เพราะพระองค์ทรงตรัสว่า “เราแจ้งให้ท่านรู้ทุกสิ่งที่เราได้ยินมาจากพระบิดาของเรา” (ยน 15:15)
ตามกฎหมายกรีก “ทาส” เป็นเพียง “เครื่องมือที่มีชีวิต” เท่านั้น หน้าที่ของทาสคือปฏิบัติตามคำสั่งโดยที่ผู้เป็นนายไม่จำเป็นต้องชี้แจงหรืออธิบายเหตุผลใด ๆ ทั้งสิ้น
นับเป็นเกียรติยิ่งใหญ่สูงสุดที่พระองค์ทรงเลือกสรรเรา มิใช่เพื่อเป็น “ทาส” แต่เพื่อเป็น “หุ้นส่วน” ของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงบอกแผนการทุกอย่างที่พระองค์กำลังจะทำ และทรงอธิบายด้วยว่าทำไมจึงทำเช่นนั้น
เรียกว่าทุกอย่างที่ทรงทราบจากพระบิดา พระองค์บอกเราผู้เป็น “หุ้นส่วน” จนหมด !
จึงขึ้นกับเราแต่ละคนว่าจะ “ตอบรับ” หรือ “ปฏิเสธ” การเป็น “หุ้นส่วน” กับพระองค์ในอันที่จะทำให้โลกรู้จักและหันกลับมาหาพระเจ้า
5. พระองค์ทรงเลือกเรามาเพื่อ “มอบภารกิจให้ไปทำ” (ยน 15:16) นั่นคือให้เราเป็น “ทูต” หรือเป็น “ผู้แทนพระองค์” เพื่อนำพระองค์ไปสู่ประชาชนที่ยังไม่รู้จักพระองค์
วงจรชีวิตของคริสตชนจึงได้แก่การเข้ามาหาพระเยซูเจ้า เพื่อวอนขอพระองค์โปรดส่งเราไปทำภารกิจ และวนเวียนอยู่เช่นนี้ทุกวัน
คนที่คิดจะตัดขาดตัวเองจากโลก ก็คือคนที่คิดจะปฏิเสธภารกิจที่พระองค์ทรงมอบหมายให้
6. พระองค์ทรงเลือกเรามาเพื่อให้ “เกิดผล” (ยน 15:16) และเป็นผลที่คงอยู่ชั่วนิรันดร
ทุกวันนี้ เราจะเห็นว่าบริษัทที่ประสบความสำเร็จ คือบริษัทที่สามารถทำโฆษณาจนสามารถดึงดูดผู้อ่าน ผู้ฟัง หรือผู้ชมให้สนใจ “ผลผลิต” ของตนได้
เช่นเดียวกันเพื่อจะกระทำภารกิจของพระเยซูเจ้าให้ประสบความสำเร็จ เราก็ต้องโฆษณาด้วยการดำเนินชีวิตคริสตชนให้เกิด “ผลผลิต” ที่ดี เพื่อว่าผลผลิตนั้นจะ“ดึงดูด” และทำให้ผู้อื่นปรารถนาเป็นคริสตชนเช่นเดียวกับเรา
การเอาชนะกันด้วยการถกเถียงทางปัญญา ด้วยสิ่งก่อสร้างใหญ่โต ด้วยการติดสินบน หรือด้วยการข่มขู่ใด ๆ ก็ตาม ล้วนไม่ใช่หนทางของพระเยซูเจ้า
7. พระองค์ทรงเลือกเรามาเพื่อให้ “มีสิทธิพิเศษในฐานะสมาชิกของครอบครัวพระเจ้า” จนพระองค์กล้าตรัสว่า “เพื่อว่าท่านจะขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา พระบิดาจะประทานแก่ท่าน” (ยน 15:16)
พระธรรมใหม่ได้วางเงื่อนไขในการ “วอนขอ” ไว้ดังนี้คือ
7.1 ต้องวอนขอด้วยความเชื่อ (ยก 5:15) ถ้าเราวอนขอพระเจ้าโปรดให้เราเป็นคนดีโดยที่ตัวเราเองไม่เชื่อว่าจะเป็นคนดีได้ คำวอนขอนั้นย่อมไม่เกิดผล
เราจึงต้องพยายามหลีกเลี่ยงการท่องบทสวดแบบซ้ำซากหรือด้วยความเคยชิน แล้วหันมาภาวนาวอนขอด้วยความเชื่อและความวางใจในความรักของพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม
7.2 ต้องวอนขอในนามของพระเยซูเจ้า นั่นคือต้องมั่นใจว่าพระองค์จะเห็นชอบหรืออนุมัติให้เราทูลขอจากพระบิดาได้
หากเราวอนขอสิ่งที่ผิดกฎหมาย หรือวอนขอด้วยความทะเยอทะยานส่วนตัวที่ต้องแลกมาด้วยความเดือดร้อนของผู้อื่น หรือวอนขอให้ศัตรูของเราพินาศไป แน่นอนว่าพระองค์ย่อมไม่อนุมัติให้เราส่งคำวอนขอเหล่านี้ไปยังพระบิดา และดังนั้นคำวอนขอของเราย่อมไม่เกิดผล
7.3 ต้องวอนขอให้น้ำพระทัยจงสำเร็จไป เพราะไม่มีใครมีปรีชาญาณเทียบเท่าพระเจ้า การวอนขอให้เราพร้อมน้อมรับน้ำพระทัยของพระเจ้าจึงเป็นคำวอนขอที่ดีที่สุดสำหรับเราทุกคน
7.4 ต้องวอนขออย่างไม่เห็นแก่ตัว เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสว่า “ถ้าท่านสองคนในโลกนี้พร้อมใจกันอ้อนวอนขอสิ่งหนึ่งสิ่งใด พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์จะประทานให้” (มธ 18:19) พระองค์ไม่ได้หมายความว่าหากเราเกณฑ์คนมามาก ๆ แล้วจะทรงฟังคำวอนขอของเรา แต่ทรงหมายความว่าเราต้องรู้จักคำนึงถึงความต้องการของคนอื่นด้วย คำภาวนาของเราจึงจะเกิดผล
ลองคิดดูสิว่าอะไรจะเกิดขึ้น หากวันนี้เราตั้งใจจะออกไปทำธุระนอกบ้านจึงอธิษฐานขอให้ฝนไม่ตก ในขณะที่ชาวนาข้างบ้านต้องการฝนใจจะขาด ?
ทางออกคือ เราแต่ละคนต้องเชื่อและวางใจในพระปรีชาญาณและความรักของพระเจ้า และพร้อมน้อมรับทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงโปรดประทานแก่เรา
ยิ่งรักพระเจ้ามากเท่าใด เรายิ่งพร้อมน้อมรับน้ำพระทัยของพระองค์มากเท่านั้น !