ข้อคิดข้อรำพึง
อาทิตย์ที่ 26 เทศกาลธรรมดา ปี B
มีภาพยนตร์เรื่องหนึ่งนำเอาเค้าโครงเรื่องมาจากชีวิตของนักบุญโทมัส โมร์ มรณสักขีชาวอังกฤษ (ค.ศ. 1477-1535) ในวัยหนุ่มท่านได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย อ๊อกฟอร์ด เมื่อจบการศึกษาได้เข้ารับราชการ และได้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในตำแหน่งหน้าที่
ในปี ค.ศ.1529 กษัตริย์เฮนรี่ที่ 8 ทรงแต่งตั้งท่านให้ดำรงตำแหน่งมหาเสนาบดีแห่งประเทศอังกฤษ (Chancellor of England) แต่แล้ว โศกนาฏกรรมก็เข้ามาในชีวิตของท่านนักบุญ มันเกิดขึ้นดังนี้ กษัตริย์เฮนรี่ที่ 8 ได้ทรงหย่าร้างกับพระราชินี แล้วอภิเษกสมรสใหม่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้นเพื่อจะต่อสู้กับพวกที่คัดค้านการสมรสนี้ พระองค์ทรงออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่รัฐผู้ทรงเกียรติในตำแหน่งสูงๆ ของรัฐลงลายมือชื่อในเอกสาร โดยสาบานภายใต้คำปฏิญญาว่า การสมรสของพระองค์ครั้งนี้ชอบด้วยกฎหมาย ทรงกำชับด้วยว่าถ้าใครปฏิเสธที่จะลงนามในเอกสาร ผู้นั้นจะถูกจับกุมในข้อหากบฏ
ฉากที่เศร้าสะเทือนใจคือตอนที่ลอร์ด นอร์โฟล์ค นำเอกสารไปให้โทมัส โมร์ ท่านปฏิเสธที่จะลงนามนั้น ไม่ว่าท่านลอร์ดจะเชิญชวนให้ท่านเปลี่ยนใจเช่นไร ที่สุดท่านลอร์ดหมดความอดทน จึงพูดกับเพื่อนว่า
“ฉันสับสนไปหมดแล้ว… ฉันไม่รู้หรอกว่าการสมรสนี้มันจะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ แต่โทมัส ลองดูรายชื่อเหล่านี้สิ เธอรู้จักคนเหล่านี้ทุกคน แล้วเธอจะไม่ทำอย่างที่พวกเราได้ทำ เพื่อร่วมหัวจมท้ายด้วยกันหรือ”
แต่โทมัส โมร์ ยังคงปฏิเสธ ท่านจะไม่ยอมสาบานในสิ่งที่ใจท่านรู้ว่ามันผิด ดังนั้น ต่อมาท่านถูกจับคุมขัง และถูกตัดสินให้ประหารชีวิตในข้อหาเป็นกบฏในวันที่ 6กรกฎาคม ค.ศ. 1535
เรื่องของนักบุญโทมัสสะท้อนให้เห็นคำสอนของพระเยซูคริสตเจ้าในพระวรสารของอาทิตย์นี้
“ถ้ามือข้างหนึ่งของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำบาป จงตัดมันทิ้งเสีย… ถ้าเท้าข้างหนึ่งของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำบาป จงตัดมันทิ้งเสีย… ถ้าตาข้างหนึ่งของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำบาป จงควักมันออกเสีย ท่านจะเข้าพระอาณาจักรของพระเจ้า โดยมีตาข้างเดียว ยังดีกว่ามีตาทั้งสองข้าง แต่ต้องถูกโยนลงนรก…”
แน่นอนครับ พระเยซูเจ้ามิได้ทรงบอกให้เราทำตามตัวอักษร พระองค์เพียงทรงใช้สำนวนโวหารง่ายๆ ที่ผู้คนในสมัยของพระองค์คุ้นเคยเพื่อสื่อความหมายที่สำคัญกว่านั้น กล่าวคือ ผู้ที่ติดตามพระองค์ต้องเต็มใจจะอุทิศถวายแม้สิ่งที่จำเป็นเพื่อจะได้ห่างไกลจากบาป พวกเขาต้องเต็มใจยกถวายแม้สิ่งที่มีค่ามากที่สุดสำหรับเขา เพื่อจะได้เข้าสู่พระอาณาจักรสวรรค์
ในกรณีของนักบุญโทมัส โมร์ นี้ หมายถึงการอุทิศชีวิตของตนเอง บางที เราคิดเอาง่ายๆ ว่า ก็ท่านเป็นนักบุญ การยอมสละชีวิตน่าจะเป็นเรื่องง่ายสำหรับท่าน ลองอ่านจดหมายที่ท่านเขียนถึงลูกสาวไม่นานหลังการจับกุมว่าท่านต้องต่อสู้ภายในจิตใจอย่างหนักหน่วงเพียงไร
“เม็ก ลูกรัก… พ่อจะไม่หมดความไว้วางใจในพระเจ้า แม้จะรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอมากเพียงไร และเกือบพ่ายแพ้ต่อความหวาดกลัว พ่อจะจำในสิ่งที่นักบุญเปโตรได้ทำในขณะที่เผชิญกับลมพายุและรู้สึกว่ากำลังจะจมลงเพราะขาดความเชื่อ พ่อจะทำเช่นเดียวกับท่าน คือร้องเรียกหาพระคริสต์และขอความช่วยเหลือจากพระองค์ และพ่อเชื่อว่าพระองค์จะทรงยื่นพระหัตถ์อันศักดิ์สิทธิ์ดึงพ่อขึ้นมาจากการจมอยู่ในทะเลที่ปั่นป่วน ดังนั้น ลูกสาวที่น่ารักของพ่อ อย่าให้จิตใจของลูกวิตกกังวลกับสิ่งที่กำลังจะเกิดกับพ่อในโลกนี้ ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นได้ถ้าไม่ใช่พระประสงค์ของพระ และพ่อแน่ใจว่า อะไรที่จะเกิดขึ้น แม้ดูเหมือนเป็นสิ่งเลวร้าย แต่ที่สุดแล้วจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด” (Mark Link, SJ; Illustrated Sunday Homilies-Year B; pp. 216-218)
มนุษย์สมัยนี้รวมทั้งเราทุกคนด้วยอาจจะคิดไม่ค่อยเหมือนนักบุญโทมัส โมร์ แล้ว บางทีอาจจะคิดตรงข้ามด้วยซ้ำ บางทีเราเลือกที่จะทำบาปโดยไม่ค่อยหวั่นเกรงสิ่งใด ที่สำคัญมโนธรรมที่เตือนให้เราละอายต่อบาป และละทิ้งบาปนั้นดูเหมือนไม่ค่อยขึงขังเท่าไหร่นัก การที่เราเลือกทำบาปง่ายๆ เท่ากับการที่เราคิดรักษาชีวิต รักษาความพึงพอใจตามราคะตัณหาไว้ โดยไม่ยอมเสียสละสิ่งใดเลย แล้วทราบไหมครับ ว่าผลสุดท้ายที่ตามมาจะเป็นเช่นไร คือการที่เราจะสูญเสียสิ่งที่เรารักษาไว้ไปทั้งหมด ไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ชีวิตแห่งความสุขนิรันดรกับองค์พระผู้เป็นเจ้า
(คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ เขียนลงสารวัดนักบุญยอแซฟ อยุธยา เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2012
Based on : Illustrated Sunday Homilies, Year - B ; by : Mark Link, SJ)