แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2017
สัปดาห์ที่ 6 เทศกาลธรรมดา
มก 9:14-29
เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จลงจากภูเขาพร้อมกับศิษย์ทั้งสามคนมาพบศิษย์คนอื่น ทรงเห็น ประชาชนจำนวนมากห้อมล้อมบรรดาศิษย์ ธรรมาจารย์บางคนกำลังถกเถียงกับเขาเหล่านั้น 15ทันทีที่เห็นพระองค์ ประชาชนทั้งหลายต่างประหลาดใจและและวิ่งเข้ามาทักทายพระองค์ 16พระองค์ตรัสถามบรรดาศิษย์ว่า “ท่านกำลังถกเถียงเรื่องอะไรหรือ” 17คนหนึ่งในกลุ่มชนตอบว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า ข้าพเจ้าพาบุตรชายที่ปีศาจสิงให้เป็นใบ้มาเฝ้าพระองค์

18เมื่อปีศาจสิง มันผลักเขาให้ล้มลง น้ำลายฟูมปาก กัดฟัน และตัวแข็งทื่อ ข้าพเจ้าได้ขอให้ศิษย์ของพระองค์ขับไล่มัน แต่เขาทำไม่สำเร็จ” 19พระองค์ตรัสตอบว่า “คนหัวดื้อ เชื่อยาก เราจะต้องอยู่กับท่านอีกนานเท่าใด จะต้องทนท่านอีกนานเท่าใด จงพาเด็กมาพบเราเถิด” 20เขาจึงพาเด็กนั้นมาเฝ้าพระองค์ เมื่อเห็นพระองค์ ปีศาจก็ทำให้เด็กชักล้มลงกับพื้นดิน กลิ้งไปมา น้ำลายฟูมปาก 21พระเยซูเจ้าทรงถามบิดาของเด็กว่า “เป็นดังนี้นานเท่าไรแล้ว” เขาทูลตอบว่า “ตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็ก ๆ 22ปีศาจได้ผลักเด็กลงในกองไฟหลายครั้ง บางครั้งผลักลงในน้ำเพื่อให้ตาย ถ้าพระองค์ทรงทำสิ่งใดได้ ก็ทรงกรุณาช่วยเราด้วยเถิด” 23พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ถ้าทำได้น่ะหรือ ทุกสิ่งเป็นไปได้ทั้งนั้นสำหรับผู้มีความเชื่อ” 24ทันใดนั้นบิดาของเด็กก็ร้องว่า “ข้าพเจ้าเชื่อ โปรดช่วยความเชื่ออันเล็กน้อยของข้าพเจ้าด้วยเถิด” 25เมื่อพระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นประชาชนเข้ามามากยิ่งขึ้น พระองค์จึงตรัสสำทับปีศาจว่า “เจ้าปีศาจหนวกใบ้ เราสั่งเจ้าให้ออกจากเด็กคนนี้ และอย่ากลับเข้ามาอีกเลย” 26ปีศาจจึงร้องเสียงดังและทำให้เด็กมีอาการชักอย่างรุนแรง แล้วปีศาจก็ออกไป เด็กนอนนิ่งเหมือนคนตาย จนคนส่วนมากพูดกันว่า “เขาตายแล้ว” 27แต่พระเยซูเจ้าทรงจับมือเด็ก ทรงช่วยพยุงให้ลุกขึ้น เขาก็ยืนขึ้น 28เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง บรรดาศิษย์ทูลถามพระองค์เป็นการส่วนตัวว่า “ทำไมพวกเราจึงขับไล่มันไม่ได้” 29พระองค์ตรัสตอบว่า “ปีศาจชนิดนี้ขับไล่ออกไม่ได้เลย นอกจากด้วยการอธิษฐานภาวนาเท่านั้น”

อรรถาธิบายและไตร่ตรอง...
• บุคคลในตอนนี้ ที่เชิงเขาที่พระองค์ขึ้นไป... มีพระเยซูเจ้า กับ บรรดาศิษย์และประชาชนจำนวนมาที่กำลังห้อมล้อมศิษย์ที่เหลือ

• สถานที่: ที่เชิงภูเขานั้นเอง

• เวลา: เมื่อพระองค์เสด็จกลับลงจากภูเขามาถึงพื้นราบ พระเยซู กับเปโตร ยากอบ และยอห์น กลับลงมาพบบรรดาศิษย์ที่อยู่ที่เชิงเขา ศิษย์เก้าคนที่รออยู่กำลังเกิดปัญหากับประชาชน ในเรื่องเด็กที่เป็นโรคลมบ้าหมู

• มีเรื่องเปรียบเทียบกับหนังสืออพยพ: อพย 32 เรื่องราวเกี่ยวกับโคทองคำ ที่โมเสสลงมาพบ จากการขึ้นไปพบพระเจ้า เหตุการณ์สองเหตุการณ์นี้มีลักษณะและเนื้อหาคล้ายๆกัน น่าอ่านคู่ขนานกันไปทั้งเนื้อหา ลักษณะภูมิศาสตร์ และลักษณะเรื่องราวคล้ายกันอย่างมากกับพระวรสาร ***ตัวบทจากหนังสืออพยพนี้คัดลอกมาเพียงบางส่วน
32 1เมื่อประชากรเห็นว่าโมเสสอยู่บนภูเขาเป็นเวลานานนัก ยังไม่ลงมา เขาจึงมาชุมนุมกันรอบอาโรนกล่าวว่า 'เร็วเข้า ท่านจงสร้างเทวรูปให้เราสักองค์หนึ่งเพื่อเป็นผู้นำทางพวกเราเถิด เราไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับโมเสสคนนั้น ผู้ที่นำเราออกมาจากแผ่นดินอียิปต์' .........4อาโรนรับต่างหูจากมือของประชาชน แล้วนำมาหลอมในเบ้า หล่อเป็นรูปลูกโคตัวหนึ่ง ประชาชนต่างร้องว่า 'ชาวอิสราเอลทั้งหลาย นี่แหละเป็นพระเจ้าของท่าน ผู้ทรงนำท่านทั้งหลายออกมาจากแผ่นดินอียิปต์!'
7พระยาห์เวห์ตรัสแก่โมเสสว่า 'จงรีบลงไปข้างล่างเถิด เพราะประชาชนของท่านซึ่งท่านได้นำออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ได้ทำผิดอย่างสาหัส 8เขาเปลี่ยนวิถีทางอย่างรวดเร็วออกจากทางที่เราได้สั่งให้เขาเดิน เขาหล่อรูปลูกโคขึ้น แล้วกราบนมัสการ ทั้งยังถวายบูชาแก่รูปนั้น พร้อมกับกล่าวว่า "ชาวอิสราเอลทั้งหลาย นี่แหละเป็นพระเจ้าของท่านผู้ทรงนำท่านออกมาจากแผ่นดินอียิปต์"' 9พระยาห์เวห์ตรัสแก่โมเสสต่อไปว่า 10'เรารู้จักคนเหล่านี้ดี เขาดื้อดึงเหลือเกิน! อย่าห้ามเราเลย ความโกรธของเราจะเผาผลาญเขาทั้งหลาย และเราจะทำลายเขาเสีย...
15โมเสสกลับลงมาจากภูเขา ถือแผ่นศิลาจารึกสองแผ่นที่จารึกพระบัญญัติไว้ทั้งสองด้าน คือด้านหน้าและด้านหลัง 16ศิลาจารึกนั้นเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า ตัวอักษรที่จารึกนั้นเป็นตัวอักษรที่พระเจ้าทรงจารึกลงบนแผ่นศิลา
17โยชูวาได้ยินเสียงประชากรร้องตะโกน ก็บอกโมเสสว่า 'มีเสียงรบกันดังมาจากค่าย!' 18โมเสสตอบว่า
นั่นไม่ใช่เสียงร้องของผู้ชนะ
ไม่ใช่เสียงคร่ำครวญของผู้แพ้
แต่ข้าพเจ้าได้ยินเสียงเพลงฉลอง!
19เมื่อโมเสสเข้ามาใกล้ค่าย เขาก็เห็นรูปลูกโคและเห็นประชากรกำลังเต้นรำ โมเสสโกรธมาก ทุ่มแผ่นศิลาที่ถืออยู่ลงไปจนแตกที่เชิงเขา

ประเด็นสำคัญ:
• ธรรมาจารย์บางคนกำลังถกเถียงกับเขาเหล่านั้น
o สภาพที่เชิงเขานั้นเป็นดังหนังสืออพยพคือมีความวุ่นวาย หลายสิ่งไม่ลงตัวเมื่อพระองค์ยังไม่กลับลงมาจากภูเขา

• ข้าพเจ้าได้ขอให้ศิษย์ของพระองค์ขับไล่มัน แต่เขาทำไม่สำเร็จ
o เราเห็นความไม่สามารถของบรรดาศิษย์เมื่อพวกเขาอยู่ตามลำพัง โดยไม่มีพระเยซูเจ้า แน่นอนว่า ผู้ที่นำเด็กมาหาพวกเขาคิดว่าพวกเขาจะทำอะไรได้บ้างอย่างพระเยซูเจ้า และเป็นไปได้ไหมว่าพวกเขาได้พยายามลองทุกวิถีทางแล้ว เพราะพระวรสารบันทึกว่า “แต่เขาทำไม่สำเร็จ”

• “คนหัวดื้อ เชื่อยาก เราจะต้องอยู่กับท่านอีกนานเท่าใด จะต้องทนท่านอีกนานเท่าใด”
o เทียบกับ อาการของโมเสสเมื่อลงมาจากภูเขา และพบสภาพความวุ่นวาย “เมื่อโมเสสเข้ามาใกล้ค่าย เขาก็เห็นรูปลูกโคและเห็นประชากรกำลังเต้นรำ โมเสสโกรธมาก”
o ข้อสังเกตคือ พระเยซูเจ้าไม่ได้ตำหนิความไม่สามารถของพวกเขา แต่เนื้อหาที่พระองค์ตำหนิอย่างแรงคือ “ความหัวดื้อ และเชื่อยาก” ถ้าถามว่าเชื่ออะไร? คำตอบที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดคือ พวกเขายังไม่เชื่อว่าพระองค์เป็นพระคริสต์อย่างครบครันในความหมายของพระองค์ที่เสนอแก่เขานั่นเอง และถ้าเราหันกลับไปพิจารณาสิ่งที่พระเยซูเจ้าสั่งพวกเขาบนภูเขาคือ (Shema) “จงฟัง...”

• “โอ…คนหัวดื้อ..”
o สิ่งที่ภาษาไทยไม่ได้แปล แต่มีในต้นฉบับภาษากรีก คือเสียงแสดงอาการผิดหวัง การร้อง “โอ” “Oh” ซึ่งมีใช้ในพระวรสาร โดยเฉพาะในบริบทของการขาดความเชื่อ (มธ 15:28, ลก 24:25)

• พระเยซูเจ้าถามบิดาของเด็กถึงอาการของเด็กคนนั้น... “เป็นดังนี้นานเท่าไรแล้ว”
o คำถามนี้เพื่อให้เห็นความเข้มข้นของอำนาจปีศาจที่เด็กคนนี้ได้รับ
o และแน่นอนที่สุด คำตอบที่ว่า “ตั้งแต่ยังเด็ก” นั้นเป็นการเร่งให้เห็นถึงความสามารถหรือพระพลังของพระคริสตเจ้าให้ชัดเจนขึ้น

• “ถ้าทำได้น่ะหรือ ทุกสิ่งเป็นไปได้ทั้งนั้นสำหรับผู้มีความเชื่อ”
o เราจะเห็นว่า พระเยซูเจ้าทรงยืนยันถึงความสามารถนั้นมีรากฐานมาจากสิ่งที่สำคัญคือ “ความเชื่อ” และถ้าถามว่าเชื่อในอะไร หรือในใคร คำตอบของพระวรสารก็คือ เชื่อในพระองค์นั้นเอง ความเชื่อในบริบทของการอัศจรรย์นั้นควบคู่กันเสมอ (มก 2:5; 5:34.36; 6:5 ; 9:23; 10:52)

• “ข้าพเจ้าเชื่อ โปรดช่วยความเชื่ออันเล็กน้อยของข้าพเจ้าด้วยเถิด”
o ความจริงแล้วคำอ้อนวอนนี้ หรือคำภาวนานี้น่าจะเป็นคำภาวนาของบรรดาศิษย์ของพระเยซูเจ้าเป็นพวกแรก

• “เจ้าปีศาจหนวกใบ้”
o ทำไมพระวรสารบันทึกถ้อยคำของพระองค์กล่าวถึงชนิดของผีนี้ว่า “ปีศาจหนวกใบ้”
o ข้อความตอนนี้น่าสนใจที่สุด และถ้าเราพิจารณาบริบทนี้อย่างดีๆ เราเห็นว่า อาการของบรรดาศิษย์ของพระเยซูเจ้าตั้งแต่ต้นมีต่อพระธรรมชาติของพระองค์ หรือต่อ Identity แท้ของพระองค์ว่าพระองค์เป็นพระคริสตเจ้าผู้ต้องผ่านรหัสธรรมปัสกา
o พ่อเชื่อว่าอาการของบรรดาศิษย์ที่ไม่สามารถรักษาเด็กคนนั้น...
o ที่แท้จริงคือ พวกเขาหนวกและใบ้ หนวกเพราะไม่ได้ฟังสิ่งที่พระองค์เปิดเผยถึงพระทรมานของพระองค์ และพวกเขาเป็นใบ้เพราะไม่กล้าถามพระองค์ในเรื่องนี้ แต่กล้าถามเรื่องอื่นเพียงเพื่อสนับสนุนความคิดตน “เอลียาห์ต้องมาก่อน??”

• “เราสั่งเจ้าให้ออกจากเด็กคนนี้ และอย่ากลับเข้ามาอีกเลย”
o (ego epitasso soi) คำสั่งของพระองค์ไม่ใช่คำขอร้อง หรือความเห็น แต่เป็นคำสั่งที่ต้องกระทำตาม คือออกไปและอย่ากลับมาอีก (เทียบ มก 2:11; 5:41)

• เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง
o พระองค์เสด็จเข้าบ้านเป็นการส่วนตัว ตามลำพังกับบรรดาศิษย์ พวกเขาจึงถามพระองค์ถึงเหตุผลของความไม่สามารถของพวกตน

• “ปีศาจชนิดนี้ขับไล่ออกไม่ได้เลย นอกจากด้วยการอธิษฐานภาวนาเท่านั้น”
o ถ้าจะตั้งคำถามว่าการภาวนาในที่นี้น่าจะหมายถึงอะไร??
o โดยพิจารณาพร้อมกับคำตำหนิของพระองค์ “หัวดื้อและเชื่อยาก”
o คำตอบที่เป็นไปได้มากที่สุดคือ ถูกต้องแล้วที่ต้องภาวนา และคำภาวนานั้นต้องเป็นคำภาวนาเพื่อขอความเชื่อ เพราะทุกสิ่งเป็นไปได้สำหรับผู้มีความเชื่อ คำภาวนาของบิดาของเด็กคนนี้เป็นตัวอย่าง “ข้าพเจ้าเชื่อ โปรดช่วยความเชื่ออันเล็กน้อยของข้าพเจ้าด้วยเถิด”

• ความสำคัญของการภาวนา “จงตื่นเฝ้าและภาวนาเถิด จะได้ไม่ตกในการทดลอง” (มก 14:38)

การไตร่ตรอง:
o เมื่อพระเยซูเจ้าไม่อยู่กับบรรดาศิษย์ที่เชิงเขานั้น พวกเขาเกิดความลำบากเพราะการไร้ซึ่งความสามารถเพียงใด และเมื่อพระองค์กลับมานั้น พระองค์เท่านั้นที่สามารถทำสิ่งที่ดูเหมือนเกินกำลังของพวกเขา
o ในการทำหน้าที่ประจำวันของเรา ความสามารถที่แท้จริงของเรามีรากฐานอยู่ในพระองค์ หรืออยู่ในกำลังของเราเอง???
o พวกศิษย์ตกอยู่ในวงล้อมของคนอื่นๆ เพราะขาดความสามารถด้วยว่าพระเยซูเจ้าไม่อยู่กับพวกเขา เราเคยตกอยู่ในสภาพแบบนี้ไหม???
o เราเห็นความจำเป็นที่ชีวิตของเราต้องมีพระองค์ประทับอยู่ด้วยเพียงใด??
o บทภาวนาสำคัญที่สุดของชีวิตของเรานั้นเป็นคำภาวนาเพื่อขอความเชื่อไหม ในเมื่อความเชื่อเป็นพระหรรษทานศักดิ์สิทธิกร ที่เราไม่สามารถสร้างได้เอง??
o ต่อความจริงของพระคริสตเจ้าที่พระองค์ทรงรับทนทรมาน สิ้นพระชนม์ และกลับคืนพระชนมชีพ เราเห็น ได้ฟัง ความจริงนี้ชัดเจนเพียงใด หรือยัง “หนวกใบ้” ต่อความจริงของพระคริสตเจ้า???
o การภาวนาเป็นเครื่องมือสำคัญของเราเพียงใด ในฐานะที่เราประกาศตนเป็นศิษย์ของพระคริสตเจ้า??