แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

มก 10:28-31…

28เปโตรทูลพระเยซูเจ้าว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายได้สละทุกสิ่งและติดตามพระองค์แล้ว” 29พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า ไม่มีใครที่ละทิ้งบ้านเรือน พี่น้องชายหญิง บิดามารดา บุตรหรือไร่นาเพราะเห็นแก่เรา และเพราะเห็นแก่ข่าวดี 30จะไม่ได้รับการตอบแทนร้อยเท่าในโลกนี้ เขาจะได้บ้านเรือน พี่น้องชายหญิง มารดา บุตร ไร่นา พร้อมกับการเบียดเบียนและในโลกหน้าจะได้ชีวิตนิรันดร 31หลายคนที่เป็นกลุ่มแรกจะกลับเป็นกลุ่มสุดท้าย และกลุ่มสุดท้ายจะกลับกลายเป็นกลุ่มแรก”


32บรรดาศิษย์กำลังเดินทางขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม พระเยซูเจ้าเสด็จนำเขาไป เขาต่างประหลาดใจ ผู้ติดตามต่างมีความกลัว พระองค์ทรงพาอัครสาวกสิบสองคนออกไปอีกครั้งหนึ่ง ทรงบอกเขาถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับพระองค์ว่า 33”บัดนี้ พวกเรากำลังจะขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม บุตรแห่งมนุษย์จะถูกมอบให้บรรดามหาสมณะและบรรดาธรรมาจารย์ จะถูกตัดสินประหารชีวิต และถูกมอบให้คนต่างชาติ34สบประมาทเยาะเย้ย ถ่มน้ำลายรด โบยตี และฆ่าเสีย แต่หลังจากนั้นสามวัน เขาจะกลับคืนชีพ”


อรรถาธิบายและไตร่ตรอง
• พี่น้องที่รัก พระวาจาของพระเจ้า จากพระวรสารนักบุญมาระโก บทที่ 8:27 ถึงบทที่ 10:52 นี้ นักพระคัมภีร์ทั้งหลายเรียกว่า “จากกาลิลีสู่เยรูซาเล็ม” (the Journey from Galilee to Jerusalem) นักพระคัมภีร์เกินร้อยเปอร์เซนต์ด้วยซ้ำยอมรับ... โดยเฉพาะอาจารย์ เคลเมนต์ สต๊อก Clemens Stock ชาวเยอรมัน วันนี้ขอเอ่ยชื่ออาจารย์ และอธิการบดีสถาบันพระคัมภีร์สมัยที่พ่อเรียนหน่อยครับ... ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญพระวรสารนักบุญมาระโก ต้องเรียกว่าศาสตร์จารย์จึงจะถูก แต่จะดีกว่าถ้าเรียกว่า “คุณพ่อ” เพราะท่านเป็นพระสงฆ์ที่ถ่อมตนเรียบง่าย ท่านเป็นคนที่พ่อได้มีโอกาสเรียนกับท่าน... 


• Clemens Stock ชี้ให้เห็นชัดว่า พระวาจาจากมาระโกในพระวรสารช่วงนี้ คือช่วงเวลาที่พระเยซูเจ้าเสด็จละจากแคว้นกาลิลีภาคเหนือของแผ่นดินอิสราเอล และเดินทางลงสู่ภาคใต้ไปกรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งพระคัมภีร์ใช้คำว่า “เสด็จขึ้น” (going up) ถึงแม้ว่าพระองค์เสด็จจากภาคเหนือลงสู่ภาคใต้ แต่พระคัมภีร์รายงานว่า “เสด็จขึ้นไปกรุงเยรูซาเล็ม” พระคัมภีร์ มาระกา อีกทั้งมัทธิวและลูกา หรือแม้แต่ยอห์น ไม่ได้หลงทิศทางภูมิศาสตร์แต่ประการใด เพราะพวกท่านทราบดีว่า 

o การไปเยรูซาเล็มคือการขึ้นไปยังที่ประทับของพระเจ้า ต้องขึ้นเขาในช่วงสุดท้ายของการเดินทาง... เมื่อมาถึงเยรีโค และขึ้นเขายาวเกือบสามสิบกิโลเมตร ช่วงสุดท้ายต้องมุ่งไต่ระดับจากลุ่มน้ำจอร์แดนและเยรีโค ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลปานกลาง ขึ้นสูงไปอีกมากกวาเจ็ดร้อยเมตรจากระดับน้ำทะเล เป็นการเดินมุ่งหน้าขึ้นไปตลอดจนถึงเยรูซาเล็ม

o ประการสำคัญคือ “ไม่ว่ามาจากทิศไหนทุกคนต้องเดินทาง “ขึ้น” ไปเยรูซาเล็ม” เพราะเหตุที่เยรูซาเล็มสำหรับชาวยิว และพระเยซูเจ้าเอง บนเขานั้น เป็นที่ตั้งของเมืองหลวงและสำคัญที่สุด “เป็นที่ตั้งของพระวิหาร” เป็น “ที่ประทับของพระเจ้า” ทุกคนจะต้อง “ขึ้น” ไปหาพระเจ้าเท่านั้น พระเจ้าสูงสุด...

• ขณะเดินทางกับบรรดาศิษย์ อัครสาวกทั้งสิบสอง 

o พระองค์สอนพวกเขาสามครั้ง ถึงเรื่องการที่พระองค์จะเสด็จขึ้นไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อรับทรมาน สิ้นพระชนม์และกลับคืนพระชนม์...

o พระองค์สอนสามครั้งเพื่ออบรมพวกเขาให้เดินตามพระองค์... ไม่ง่าย เพราะพวกเขาคิดว่าพระองค์จะไปเป็นกษัตริย์ จะทรงยิ่งใหญ่ที่นั่น และที่สำคัญ ถ้าพระองค์เป็นกษัตริย์ พวกเขา (คนบ้านนอกจากกาลิลีส่วนใหญ่ และชาวประมงด้วย ก็จะได้เป็นใหญ่กันหมดในเยรูซาเล็ม เราต้องไม่ลืมว่า สมัยนั้น ชาวยิวเป็นเมืองขึ้นของโรม การครั้งนี้จะเป็นอิสระจากโรม นั่นคือสิ่งที่พวกเขาคิดและใฝ่วันแน่นอน ในการติดตามพระองค์)

o สรุปให้เข้าใจได้ง่ายๆ คือ “พระองค์คิดถึงกางเขนที่จะต้องสิ้นพระชนมและสอนพวกเขา แต่พวกเขาคิดถึงบัลลังก์และมงกุฏ”

• พระวาจาวันนี้จึงชัดเจน... ที่เราอ่านต่อจากเมื่อวานที่ทรงได้พบกับเศรษฐีหนุ่มคนนั้น... เมื่อเขาจากไป เขาไม่ได้ตามเป็นศิษย์เหมือน 12 คนนี้... เพราะเขาเป็นคนดี และร่ำรวย และก็คงไปดำเนินชีวิตเป็นคนร่ำรวยที่ดีต่อไป... เหลือแต่อัครสาวก 12 คนนี้ เรามาตีความกันต่อเลยครับ

• เปโตร จึงเริ่มถามพระองค์ (อย่าลืมว่าพวกเขาได้ตามพระองค์มา และคิดว่าพระองค์จะเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล กลับไปอ่าน ลก 24 เรื่องการเดินทางไปเอมมาอูส จะพบว่า พวกเขาหวังว่าจะเป็นกษัติรย์ เป็นพระแมสซียาห์ แต่ทรงสิ้นพระชนมเพราะถูกประการ) เปโตรจึงถาม... ถามว่าพวกเขาได้ละทิ้งทุกสิ่งตามพระองค์ พวกเขาจะได้อะไร “ข้าพเจ้าทั้งหลายได้สละทุกสิ่งและติดตามพระองค์แล้ว” เหมือนกับตั้งคำถามเป็นนัยๆ ว่าจะได้อะไร ได้สมบัติ ได้ตำแหน่ง ความร่ำรวยด้วยใช่ไหม???

• พระเยซูตอบทันทีและคำทำให้พวกเขาชื่นใจ.... “ไม่มีใครที่ละทิ้งบ้านเรือน พี่น้องชายหญิง บิดามารดา บุตรหรือไร่นาเพราะเห็นแก่เรา และเพราะเห็นแก่ข่าวดี จะไม่ได้รับการตอบแทนร้อยเท่าในโลกนี้ เขาจะได้บ้านเรือน พี่น้องชายหญิง มารดา บุตร ไร่นา พร้อมกับการเบียดเบียนและในโลกหน้าจะได้ชีวิตนิรันดร” 

o เราเห็นชัดว่า พระวาจาที่ตอบทำให้พวกเขาเคลิ้มเลย.. ชาวประมงต่ำต้อย จะได้ร้อยเท่าพันทวี... ต้องขอยิ้มยินดี และชื่นใจตาม เรียกว่า “เคลิ้มตาม” ได้เลย... ถ้าได้ละทิ้งทุกสิ่งตามพระองค์จะได้ร้อยเท่า... 

o (555 ขอหัวเราะหน่อย) เพราะพระเยซูเจ้าสัญญาจะได้รับ “ร้อยเท่าในโลกนี้” และ ที่ต้องหัวเราะคือ “พร้อมการเบียดเบียนและในโลกหน้าจะได้ชีวิตนิรันดร” คือ พระองค์สัญญามากมาย แต่ต้องผ่านการเบียดเบียนและความตายเช่นเดียวกับพระองค์... แต่มีชีวิตนิรันดรนะ..หลังความตาย... ยิ้มกันไม่ออกละทีนี้ถ้าไม่รักและไม่อยากติดตามพระองค์จริงๆ

o สัญญาของพระองค์ คือ รางวัลร้อยเท่าแน่นอนในโลกนี้ แต่จะต้องได้รับการเบียดเบียนและต้องตายแบบพระองค์ คือ สิ้นพระชนม์เพราะการเบียดเบียน...

o ดังนั้น ไม่แปลกที่พระองค์สอนสามครั้ง ตลอดการเดินทางจากกาลิลีสู่เยรูซาเล็ม สอนสามครั้งถึงเรื่องการสิ้นพระชนม์บนไม้กางขน ทรงสอนเขา ในมาระโกบทที่ 8, 9 และ 10 ครอบคลุมตลอดการเดินทางเลยว่าอย่างนั้นเถอะ หนีไม่พ้นถ้าจะติดตามพระองค์ ต้องเดินทางกางเขน คือทางแห่งความรักและความจริงเช่นเดียวกับพระองค์...

• ชัดมากที่สุด เพราะพระองค์กล่าวชัดเจนว่าจะไปรับทรมานที่เยรซาเล็ม อ่านพระวาจาตอนต่อไปนี้ดีๆสิครับ 

o “บรรดาศิษย์กำลังเดินทางขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม

o พระเยซูเจ้าเสด็จนำเขาไป เขาต่างประหลาดใจ ผู้ติดตามต่างมีความกลัว 

o พระองค์ทรงพาอัครสาวกสิบสองคนออกไปอีกครั้งหนึ่ง ทรงบอกเขาถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดพระองค์ว่า “บัดนี้ พวกเรากำลังจะขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม บุตรแห่งมนุษย์จะถูกมอบให้บรรดามหาสมณะและบรรดาธรรมาจารย์ จะถูกตัดสินประหารชีวิต และถูกมอบให้คนต่างชาติ สบประมาทเยาะเย้ย ถ่มน้ำลายรด โบยตี และฆ่าเสีย แต่หลังจากนั้นสามวัน เขาจะกลับคืนชีพ””


• คำตีความที่ชัดเจนคือ...


• พวกเขากำลังขึ้นไปเยรูซาเล็มจริงๆ และที่สำคัญมากๆ มากจริงๆ คือมาระโกบันทึกว่า “พระองค์เสด็จนำพวกเขาไป” มีความหมายว่าจะไปสิ้นพระชนม์ ทรงมุ่งมั่นมากที่จะไปรับทรมานเพื่อทำให้พระประสงค์ของพระบิดาในการไถ่บาป มนุษย์สำเร็จ หรือทำให้ความรักของพระเจ้าชัดเจนเป็นจริงๆบนไม้กางเขน จะทรงไปครองราชย์บนกางเขน สวมมงกุฏหนามเป็นราชาแท้จริง ถือคฑาคือไม้อ้อในพระหัตถ์ และประทับและรักจนโลกหิตหยาดสุดท้ายบนบัลลังก์นิรันดรคือ “บนกางเขน” 


• (พี่น้องเคยสังเกตไหมว่า ทำไมบนกางเขน ต้องมีกางเขนอีกสองอันข้างซ้ายและข้างขวา... บัลลังก์กษัตริย์ต้องมีซ้ายและขาวเช่นนี้สำหรับชาวยิวอย่างไรล่ะครับ ความจริงน่าจะเป็นยากอบและยอห์นที่มาของนั่งข้างซ้ายและข้างขาว หรือเป็นเปโตรก็ได้... แต่ตามพระวรสารนักบุญมาระโกนั้น...พบว่าพวกเขาหนีไปหมดเมื่อทรงถูกจับ)


• “พระเยซูเจ้าเสด็จนำเขาไป เขาต่างประหลาดใจ ผู้ติดตามต่างมีความกลัว” ไม่ต้องแปลกใจครับ... ไม่ต้องแปลกใจ พระองค์ทรงมุ่งมั่นมากที่จะไปเยรูซาเล็มเพื่อตายตามพระประสงค์ของพระบิดา เจ้า.. นั่นคือสิ่งที่ทรงมุ่งมั่นและทรงสอนบรรดาศิษย์ เพียงแต่พวกเขาคิดและหวังสิ่งที่เป็นไปตามกระแสโลก อำนาจ เงิน ความร่ำรวย เท่านั้น.. แต่สำหรับพระองค์คือการเป็นกษัตริย์แห่งความรักที่สุดที่ยอมสละชีวิตเพื่อ ทุกคนที่เป็นของพระองค์


• สุดท้ายของพระวรสารวันนี้คือครั้งที่สามที่พระองค์สอนและบอกให้พวกเขารู้... พระองค์พา 12 คนเท่านั้น แยกออกไปเพื่อสอนพิเศษเพื่อบอกความจริงแก่พวกเขาเท่านั้น คือ พระหนทางแห่งไม้กางเขนขอพระองค์ (แต่พี่น้องทราบไหม ขนาดบอกชัดแบบนี้ “บุตรแห่งมนุษย์จะถูกมอบให้บรรดามหาสมณะและบรรดาธรรมาจารย์ จะถูกตัดสินประหารชีวิต และถูกมอบให้คนต่างชาติ สบประมาทเยาะเย้ย ถ่มน้ำลายรด โบยตี และฆ่าเสีย แต่หลังจากนั้นสามวัน เขาจะกลับคืนชีพ” พวกเขายังไม่ฟัง ไม่เข้าใจ และสองพี่น้องจะขอนั่งข้างซ้ายและข้างขวาทันทีเลย อ่านต่อไปภายหลัง)


• แต่ข้อที่ไม่น่ากังวลคือ... พระองค์ไม่เคยทำนายถึงพระทรมาน การสิ้นพระชนม์ โดยไม่กล่าวถึงการ “กลับคืนชีพ” สบายใจได้ถ้าจะติดตามพระองค์ “พระทรมานเป็นเครื่องหมายถึงความรักที่สุด” และการกลับคืนชีพ คือ “รางวัลนิรันดร" ครับ

• พ่อสรุปไตร่ตรองครับ

o เรื่องนี้สอนพ่อเอง สอนพวกเราบรรดาพระสงฆ์นักบวช และพระสังฆราช (อัครสาวก) ได้อย่างพิเศษจริงๆ ติดตามพระคริสตเจ้าต้องพร้อมกับการเบียดเบียนหรือความอยุติธรรมในโลกนี้ ใช่เราได้รับสิ่งต่างๆ มากมายทุกวัน

o ถามพ่อบวชใหม่ๆ สิครับ... จากวันบวชนั้น ได้อะไรบ้าง ใครๆ ก็อยากให้ ได้เงินทอง ของใช้มากมาย ของขวัญที่แทบทำให้เสียขวัญเพราะมากจริงๆ บ้านได้ไหม ได้ครับ มีวัดให้อยู่ มีรถให้ใช้ มีข้าวให้กิน มีคนเรียกพ่อๆๆๆๆ นับร้อยพัน พี่ๆน้อง ครอบครัวญาติก็มาพบมาหา มาแสดงตนเป็นญาติพี่น้องมากมาย... สรุป ได้หมดตามที่พระเยซูเจ้าบอก... แต่สำคัญมาก ต้องพร้อมกับงานหนัก ต้องพร้อมกับการเบียดเบียนเพื่อความถูกต้อง ความดีและความยุติธรรม (แต่ห้ามไปเบียดเบียนคนอื่นล่ะ และห้ามยึดติด งก สะสม และเอาแต่ได้ อย่าหลงมายาของอำนาจ ตำแหน่ง เพราะอันที่จริงตำแหน่งของพวกเราคือ “คนรับใช้” ถ้าเป็นพระสังฆราชก็เป็น “ทาสรับใช้” เลยครับ อย่าหลงอำนาจ อย่ายึดติดและใช้บารมีตามประสาโลก แต่ต้องรับใช้ด้วยความรักเมตตาและช่วยคนอื่นให้มีความสุขและความหวัง... มิฉะนั้น จะเป็นพวกเราพระสงฆ์นักบวชที่ไม่น่ารักมากๆเลย)

o เรื่องนี้สอนเราทุกคน ถ้าอยากขึ้นไปเยรูซาเล็มกับพระองค์ พี่น้องครับ... การเบียดเบียนมีเสมอจากกระแสโลก สังคม เศรษฐกิจ การเมือง ฯลฯ (สำคัญ อย่าเป็นคนเบียดเบียนเสียเองละ) ศิษย์พระเยซูถูกเบียดเบียนได้ แม้ตายก็จะได้รับชีวิตนิรันดรครับ

• สรุปขอย้ำสอนตนเอง และพี่น้องพระสงฆ์ และบรรดาบิดาของพวกเราคือพระสังฆราชด้วยครับ 

o ศิษย์ติดตามพระเยซูเจ้า ได้สวรรค์แน่นอน ถ้ามอบชีวิต และไม่ยึดติดกับกระแสโล (สำหรับพี่น้องคริสตชนนั้นก็เช่นกัน มีได้สำหรับพี่น้อง ร่ำรวยได้ ดีครับสำหรับคริสตชนฆราวาส) 

o แต่สำหรับพระสงฆ์นักบวช ต้องเลือกดำเนินชีวิตเรียบง่าย พอเพียง ไม่ต้องห่วง พี่น้องคริสตชนดีๆ ร่ำรวย หรือแม้แต่ยากจน เขาพร้อมจะถวายพระเจ้า พร้อมจะเลี้ยงดูพวกเราอยู่แล้ว เราก็ต้องแบ่งปันเช่นกัน... สมถะ เรียบง่าย ไม่สะสมความร่ำรวยเด็ดขาด... ถ้าเช่นนั้นไม่ใช่ศิษย์พระเยซูแน่นอน... 

o สำหรับพ่อสมเกียรติเอง... และสำหรับพระสงฆ์นักบวช ขอเขียนตรงๆ ครับ ถ้าพวกเราสะสมเงินส่วนตัวเป็นล้าน หรือหลายล้านหลายบัญชีแม้มีที่มาจากครอบครัวหรือเหมาะสมนั้น มีมากไปนบาปครับ ความพอเพียงและความยากจนครับ พี่น้องคริสตชนของเรามากมาย... ไม่เคยมีเงินล้าน หรือแม้แต่แสน แม้แต่หมื่นหรือพัน ไม่มีบ้าน ไม่มีที่ดิน เป็นหนี้สินก็มีจำนวนมาก แต่เขายังใส่ถุงทานด้วยศรัทธา... 

o เราควรเป็นศิษย์พระเยซูอย่างไร ชัดเจนนะ เข้าใจตรงกันนะครับ ขอพระเจ้าอวยพรครับ