ข้อคิดข้อรำพึง
สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลปัสกา ปี C
"จงรักกันและกัน"
เรามีความรักต่อนักกีฬาหรือทีมโปรดที่เราเชียร์ หรือวัยรุ่นก็มักมีดาราหรือนักร้องคนโปรดที่เป็นขวัญใจของเขา เรามักภูมิใจที่จะทำตามแบบเขา หรือเลียนแบบเขา บางทีเราใส่เสื้อ หรือหมวก หรือชุดเหมือนกับที่เขาสวมใส่
พระเยซูเจ้าทรงต้องการให้เราเป็นเหมือนกับพระองค์ และทีมงานของพระองค์ด้วยเช่นกัน แต่ในสมัยนั้นไม่มีชุดเครื่องแบบ หรือหมวก หรือเสื้อยืด ฯลฯ ดังเช่นปัจจุบัน ถึงกระนั้นพระองค์ก็ทรงให้ผู้ติดตามทำตามแบบซื่อๆ โดยตรัสว่าประชาชนจะรู้ว่าเราเป็นศิษย์ติดตามพระองค์ ถ้าเรารักกันและกัน ทุกคนจะรู้ว่าใครเป็นศิษย์ของพระองค์ก็ด้วยเครื่องหมายพิเศษนี้เท่านั้น ไม่ต้องเขียนชื่อปักไว้บนหมวก หรือบนเสื้อผ้า ถ้าเราทำให้คนอื่นๆ มีความสุข ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน ที่ทำงาน หรือที่โรงเรียน ก็เท่ากับเป็นการทำให้อาณาจักรของพระเจ้าถูกสร้างขึ้นมานั่นเอง
"จงรักคนอื่น" ฟังดูเหมือนง่าย แต่ปฏิบัติให้ได้จริงๆ กลับเป็นสิ่งที่ยากมากทีเดียว นักหนังสือพิมพ์ชาวอเมริกันได้เฝ้าดูการทำงานของคุณแม่เทเรซา แห่งกัลกัตตา(บัดนี้เป็นนักบุญแล้ว) ในขณะที่ท่านกำลังเอาใจใส่คนที่กำลังจะตายอย่างน่าสมเพช เขาพูดกับท่านนักบุญว่า "ฉันจะไม่ทำสิ่งนี้ แม้จะได้เงินหนึ่งล้านดอลล่าร์" ท่านนักบุญก็ตอบกลับในทันทีว่า "ฉันก็จะไม่ทำเหมือนกัน แต่สิ่งที่ฉันกำลังทำนี้ ทำเพื่อความรักของพระคริสตเจ้า"
"ทหารอเมริกันคนหนึ่งได้กลับบ้านหลังจากมารบที่เวียดนาม เขาโทรศัพท์หาพ่อแม่จากเมืองซานฟรานซิสโก "แม่ครับ พ่อครับ ผมกำลังจะกลับไปบ้าน แต่ผมมีสิ่งหนึ่งอยากขอร้องคือ ผมมีเพื่อนคนหนึ่งจะพาไปที่บ้านด้วย" พวกเขาตอบว่า "ได้สิลูก เราจะดีใจที่ได้พบเขา" ลูกพูดต่อว่า "แต่มีสิ่งหนึ่งที่พ่อแม่ควรรู้ก่อนนะครับ คือเขาได้รับบาดเจ็บมากจากการไปรบ และเขาเสียแขนและขาไปอย่างละข้างจากการเหยียบกับระเบิด เขาไม่มีที่ไหนที่จะไป ผมอยากให้เขามาอาศัยอยู่กับเรา" พวกเขาตอบว่า "เราเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ แต่เราสามารถช่วยเขาโดยการหาที่อื่นให้เขาไปอาศัยอยู่" ลูกตอบว่า "ไม่ครับ ผมต้องการให้เขาอยู่กับเรา" พ่อเขาพูดว่า "ลูกเอ๋ย ลูกไม่รู้ว่ากำลังขออะไร คนที่พิการอย่างนี้จะเป็นภาระหนักหนาสำหรับเรานะ เราต้องมีชีวิตตามแบบของเรา อย่าให้สิ่งนี้มารบกวนชีวิตของเรา พ่อคิดว่าลูกควรกลับมาบ้าน แล้วลืมเพื่อนคนนี้เสีย เขาคงจะมีวิธีดำเนินชีวิตด้วยตัวของเขาเอง" พูดถึงแค่นี้ ลูกชายก็วางสายโทรศัพท์ไปแล้ว จนกระทั่งอีกหลายวันต่อมา พวกเขาได้รับโทรศัพท์จากตำรวจของเมืองซานฟรานซิสโก แจ้งให้ทราบว่า ลูกชายของเขาเสียชีวิตแล้วจากการตกลงจากตึกสูง ตำรวจสันนิษฐานว่าเป็นการฆ่าตัวตาย พ่อแม่โศกเศร้ามาก บินไปที่ซานฟรานซิสโกเพื่อไปชี้ยืนยันและขอรับศพ พวกเขาจำได้ว่าผู้ตายคือลูกของเขา แต่สิ่งที่น่ากลัวที่พวกเขาค้นพบโดยไม่เคยรู้มาก่อนเลยคือ ลูกของพวกเขามีแขนและขาเพียงข้างเดียว
นักบุญเทเรซา แห่งกัลกัตตา เคยตั้งข้อสังเกตว่า (เชื้อ)โรคที่น่ากลัวมากที่สุดในโลกนี้ ไม่ใช่วัณโรค, โรคเรื้อน หรือแม้แต่ A.I.D.S แต่คือการเป็น คนที่ไม่มีใครต้องการ ไม่มีใครเอาใจใส่ ไม่มีใครรัก
มันเป็นเรื่องง่ายที่เราจะรักคนที่หน้าตาดี คนที่สนุกเมื่อได้อยู่ใกล้ คนที่ฉลาด คนที่ไม่สร้างปัญหาให้เรา ไม่ทำให้เราเดือดร้อนหรือชวนทะเลาะ แต่เรามักอยู่ห่างๆจากพวกที่ทำให้เรารู้สึกลำบากและรำคาญใจ แต่คำสั่งของพระเยซูเจ้าต่อชาวเราคริสตชนคือ "ให้ท่านรักกัน เรารักท่านทั้งหลายอย่างไร ท่านก็จงรักกันอย่างนั้นเถิด" ความรักชนิดนี้แสดงตัวออกมาในการรับใช้ เป็นความรักที่สละตนเป็นพลีบูชา
ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง นักโทษคนหนึ่งหลบหนีจากค่ายกักกันที่เมือง เอ๊าสวิตซ์(Auschwitz) ที่ตั้งอยู่ในประเทศโปแลนด์ แต่เป็นค่ายของพวกนาซี เจ้าหน้าที่ทหารที่ควบคุมค่ายจึงสุ่มจับนักโทษออกมา 10 คนเพื่อฆ่า จะได้ไม่มีใครกล้าทำเช่นนี้อีก คนหนึ่งในนั้นเป็นพ่อที่มีลูกหลายคน ในขณะที่ผู้คุมจะนำพวกเขาไปประหารชีวิต พระสงฆ์องค์หนึ่งก้าวออกมาจากแถวและอาสายอมตายแทนที่ชายคนนั้น เจ้าหน้าที่ของนาซีตกตะลึงในความกล้าหาญนั้น แต่ก็ยอมทำตาม พระสงฆ์ฟรังซิสกันองค์นั้น คือคุณพ่อ มักซิมิเลียน กอลเบ ซึ่งบัดนี้ได้รับการแต่งตั้งเป็นนักบุญไปแล้ว (St Maximilian Kolbe) วีรกรรมชั้นยอดที่ท่านทำด้วยความรักต่อเพื่อนนักโทษร่วมค่ายกักกันนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความรักที่พระเยซูเจ้าทรงมีต่อเรา และความรักของพระบิดาที่ทรงมีต่อพระเยซูเจ้า ให้เราพยายามเข้าให้ถึงความรักชนิดดังกล่าวนี้
(แปลความโดย คุณพ่อวิชา หิรัญญการ ลงวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ.2019
จากหนังสือ The Table of the Word, Homilies for Sundays and Solemnities, Cycles A, B & C
เขียนโดย Fr John Pichappilly)