แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

or44295 e1476278222272

ขอทรงโปรดให้เป็นหนึ่งเดียวกัน
    พระเยซูเจ้าทรงสวดภาวนาเพื่อบรรดาศิษย์ว่า “ข้าแต่พระบิดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ โปรดเฝ้ารักษาบรรดาผู้ที่ทรงมอบให้ข้าพเจ้าไว้ในพระนามของพระองค์ เพื่อเขาจะได้เป็นหนึ่งเดียวกันเหมือนกับพระองค์และข้าพเจ้า” (ยน. 17:11) เปาโลสอนเกี่ยวกับพระศาสนจักรว่า “มีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว ความเชื่อหนึ่งเดียว ศีลล้างบาปหนึ่งเดียว พระเจ้าหนึ่งเดียว ผู้ทรงเป็นพระบิดาของทุกคน พระองค์ทรงอยู่เหนือทุกคน ทรงกระทำการผ่านทุกคน และสถิตอยู่ในทุกคน” (อฟ. 4:5-6) “เดชะพระจิตเจ้าพระองค์เดียว เราทุกคนจึงได้รับการล้างมารวมเข้าเป็นร่างกายเดียวกัน” (1คร. 12:13) “มีปังก้อนเดียว แม้ว่าจะมีหลายคนเราก็เป็นกายเดียวกัน เพราะเราทุกคนมีส่วนร่วมกินปังก้อนเดียวกัน” (1คร. 10:17) พระเยซูเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้บรรดาศิษย์ในโลกสร้างพระศาสนจักรหนึ่งเดียว โดยทางความเชื่อหนึ่งเดียว มีศีลล้างบาปหนึ่งเดียว มีศีลมหาสนิทหนึ่งเดียว และรักซึ่งกันและกัน แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าสามัคคีธรรมที่ควรเป็นหนึ่งเดียวกันของพระศาสนจักรถูกทำลายลงเพราะบาปของชาวคริสต์ทั้งหลาย นับตั้งแต่ยุคแรกของพระศาสนจักรมาจนถึง ค.ศ. 1000 แต่ถึงแม้ว่ามีความแตกแยกเกิดขึ้นบ้างในหลายที่หลายแห่ง ชาวคริสต์ส่วนใหญ่ยังคงรักษาพระศาสนจักรให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้

คำว่าพระศาสนจักรนั้นมาจากภาษากรีกว่า พระศาสนจักรคาทอลิก (หมายถึงความเป็นสากล) เพราะว่าตามความคิดของชาวยุโรปในยุคนั้นพระศาสนจักรได้แผ่ขยายออกไปทั่วโลกแล้ว แต่ต่อมาในศตวรรษที่ 11 ปัญหาด้านการเมืองและวัฒนธรรมทำให้เกิดความแตกแยกขึ้นระหว่างพระศาสนจักรออร์ธอดอกซ์ ที่มีที่มาจากวัฒนธรรมกรีก ทางตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน กับพระศาสนจักรละตินที่สืบต่อมาจากวัฒนธรรมละตินทางยุโรปตะวันตก ชาวคริสต์ยังไม่สามารถแก้ไขความแตกแยกนั้นได้แม้จนปัจจุบันนี้ หลังจากเกิดความแตกแยกครั้งนั้น พระศาสนจักรถูกแบ่งออกเป็นสองขั้ว คือฝ่ายที่ยอมรับพระสันตะปาปาในฐานะผู้นำสูงสุด เรียกว่าพระศาสนจักรคาทอลิก และอีกฝ่ายที่ไม่ยอมรับในเรื่องนี้ ซึ่งได้แก่พระศาสนจักรทางด้านตะวันออก เรียกว่าพระศาสนจักรออร์ธอดอกซ์
    นอกจากนั้น ในช่วงศตวรรษที่ 16 มีการปฏิรูปศาสนาโดยการนำของกลุ่มคริสเตียนโปรเตสแตนท์ ซึ่งมีสาเหตุจากความเสื่อมเสียของพระศาสนจักรในยุคกลาง พวกเขามีเจตนาดีในการปฏิรูปพระศาสนจักร แต่การกระทำบางอย่างของพวกเขาเกินเลยไป พวกเขาลบล้างสิ่งที่พระศาสนจักรคาทอลิกเชื่อว่าเป็นแก่นของศาสนาคริสต์มาก่อน อย่างเช่นหน้าที่ของพระสันตะปาปา พระสังฆราช พระสงฆ์ และพิธีบูชาขอบพระคุณ แต่ในที่สุดก็เกิดความแตกแยกขึ้นภายในพระศาสนจักรโปรเตสแตนท์อีก ทำให้พระศาสนจักรโปรเตสแตนท์แบ่งแยกเป็นหลายกลุ่ม หลายคณะ และแยกออกจากพระศาสนจักรคาทอลิกโดยเด็ดขาด ปัจจุบันไม่ใช่เรื่องสำคัญที่จะต้องแสวงหาว่าใครควรรับผิดชอบในความแตกแยกครั้งนั้น เพราะต่างก็ผิดพลาดด้วยกันทั้งนั้น ที่สำคัญคือไม่ควรถือว่าการกระทำผิดของพระศาสนจักรต่างๆ ในสมัยนั้นเป็นสิ่งที่พระศาสนจักรในปัจจุบันจะต้องรับผิดชอบ พระศาสนจักรในยุคปัจจุบันถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ
    พระศาสนจักรคาทอลิกถือว่า ผู้เชื่อพระเยซูในพระศาสนจักรออร์ธอดอกซ์ หรือพระศาสนจักรโปรเตสแตนท์ด้วยความจริงใจได้รับศีลล้างบาป อ่านพระคัมภีร์ด้วยใจหิวกระหาย ตลอดจนดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความเชื่อ ความหวัง ความรัก เหล่านี้ล้วนเป็นพี่น้องที่รักในพระคริสต์ ไม่ใช่ศัตรูหรือคู่แข่งแต่อย่างใด แท้ที่จริง พระศาสนจักรคาทอลิกมั่นใจว่าพระศาสนจักรต่างก็มีข้อบกพร่อง ไม่ว่าจะเป็นในด้านคำสอน องค์กรหรือพิธีกรรม แต่สภาพการณ์ของโลกปัจจุบันทำให้เราต้องยึดมั่นว่าการสามัคคีธรรมสำคัญกว่าความแตกแยกในทุกๆ ด้าน เราต้องรักษาบาดแผลของความแตกแยก โดยการสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกัน เพราะฉะนั้น ชาวคริสต์ส่วนมากโดยเฉพาะพระศาสนจักรคาทอลิกจึงสวดภาวนาและพยายามสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยการทรงนำของพระจิตตามพระประสงค์ของพระคริสต์ ทั้งนี้เพื่อให้ชาวคริสต์ทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน แน่นอนว่าการประนีประนอมทางการเมืองไม่สามารถทำให้เกิดความสามัคคีธรรมแท้จริงได้ การที่ทุกคนที่เรียกตัวเองว่า ชาวคริสต์แต่ละกลุ่มแต่ละนิกายพยายามรักและเข้าใจกันและกัน รวมทั้งปฏิบัติตามพระวาจาด้วยความเชื่อฟังให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เหล่านี้แหละคือบ่อเกิดของความสามัคคีธรรมของบรรดาชาวคริสต์เชื่อฟังข่าวประเสริฐและการทรงนำของพระจิต เราจะสามารถทำให้การสามัคคีธรรมเกิดขึ้นจริงได้ทีละเล็กทีละน้อย แล้วในที่สุดวันหนึ่งเราก็จะเห็นว่าแสงสว่างของความจริงและสายลมอุ่นของความรักได้ละลายกำแพงน้ำแข็งอันใหญ่ยิ่งที่แบ่งแยกพวกเรา กำแพงอันประกอบด้วยความอคติ ความไม่เข้าใจกัน ความโกรธ ความไม่ใส่ใจซึ่งกันและกัน ก็จะถูกทำลายลง ในที่สุดพระศาสนจักรที่เป็นพระกายของพระคริสต์ก็จะเป็นหนึ่งเดียวกันและแผ่นดินของพระเจ้าจะถูกก่อให้เป็นร่างขึ้นทีละเล็กทีละน้อยจนเสร็จสมบูรณ์ได้ในที่สุด บ่อเกิดของการสามัคคีธรรมและการมาตั้งอยู่ของแผ่นดินของพระเจ้าโดยสมบูรณ์ของพระศาสนจักรคือการสักการะบูชา (พิธีกรรมต่างๆ) ด้วยการสักการะบูชานั้น ชาวคริสต์ได้สวดภาวนาร่วมกับพระเยซู โดยการทรงนำของพระจิตจนถึงวันที่พระอาณาจักรเสร็จสิ้นสมบูรณ์ และหัวใจของการสักการบูชานั้น ศีลศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงตั้งไว้นั่นเอง

ที่มา หนังสือชีวิตและคำสอนของพระเยซูเจ้า โดยบาทหลวงเปโตร เนเมเซะงิ SJ.