แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

Jesus after being baptized

พระศาสนจักรสืบเนื่อง และพระคัมภีร์
    สิ่งหนึ่งที่รวบรวมผู้คนไว้ในพระศาสนจักรคือพันธกิจข่าวประเสริฐของพระเยซู ดังนั้น พระศาสนจักรจึงมีหน้าที่ดูแล รักษา และถ่ายทอดข่าวประเสริฐที่พระคริสต์ทรงฝากฝังไว้ด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง (1 ทิโมธี 6:20 ) ข่าวประเสริฐที่ดำรงอยู่ในพระศาสนจักรนี้เราได้รับสืบทอดมาจากอัครสาวก บ่อเกิดคือองค์พระเยซู ฐานรากคือคำสอนของอัครสาวกที่เป็นเหมือนสายน้ำในแม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลรินต่อเนื่องอยู่ในชีวิตของมวลมนุษยชาติจนถึงปัจจุบัน โดยพระจิตทรงเป็นผู้ประทานชีวิตแก่พระศาสนจักร และมีชีวิตของผู้เชื่อ การสวดภาวนา รวมทั้งคำสอนทั้งสิ้นของพระศาสนจักรเป็นองค์ประกอบ

    แต่พระเจ้าทรงปรารถนาให้หัวใจของข่าวประเสริฐเรื่องพระคริสต์ได้รับการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อให้ทุกคนได้รับรู้ในเรื่องเหล่านี้ด้วย พระเจ้าจึงทรงดลใจ และนำให้ผู้ที่พระองค์ทรงเลือกบันทึกเรื่องราวของข่าวประเสริฐจนเสร็จสมบูรณ์เป็นหนังสือหลายเล่มรวมเรียกว่า “พระคัมภีร์ใหม่” ก่อนหน้านั้น ชนชาติอิสราเอลมี “พระคัมภีร์” อยู่แล้วหลายเล่ม ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าเขียนขึ้นจากการดลใจของพระเจ้า เป็นสิ่งที่ชนชาติอิสราเอลเคารพนับถือมากที่สุด และถือว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่าสมควรแก่ความไว้วางใจเหนือสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น
    พระเยซูเองทรงยอมรับพระคัมภีร์ของอิสราเอลในฐานะที่เป็นหนังสือซึ่งเขียนขึ้นโดยการทรงนำของพระจิต (มัทธิว 22:43, ลูกา 22:37) แต่พระองค์ตรัสว่า พระคัมภีร์ที่มีอยู่ก่อนหน้าพระองค์มีไว้เพื่อเตรียมหนทางสู่การเผยแสดงอันสมบูรณ์ของพระเจ้าต่อมนุษย์ พระคัมภีร์ก่อนหน้าพระองค์มีคำสอนที่เหมาะแก่ยุคหนึ่ง พระเยซูตรัสว่า พระบัญญัติบางประการในพระคัมภีร์ของอิสราเอล เขียนขึ้นเพราะใจดื้อดึงหยาบกระด้างของผู้คน (มัทธิว 19:8) หลังจากพันธสัญญาใหม่เกิดขึ้นโดยทางพระเยซู พันธสัญญาระหว่างพระเจ้ากับคนอิสราเอลที่ทำผ่านทางโมเสสก็กลายเป็นพันธสัญญาเดิม และพระคัมภีร์ที่บันทึกเรื่องราวนั้นไว้ก็เรียกว่า พระคัมภีร์เดิม (2โครินทร์ 3:14) พระวาจาที่ว่า พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระวจนาตถ์ ผู้ทรงรับธรรมชาติมนุษย์ (ฮีบรู 1:1) และพระคัมภีร์ที่บันทึกเรื่องราวของพระเยซูนี้เอง คือแก่นแท้และเป็นกุญแจที่จะไขเข้าสู่พระคัมภีร์ทั้งหมดที่มีอยู่ โดยการนำของพระจิต พระศาสนจักรตกลงให้รวบรวมหนังสือต่อไปนี้เป็นพระคัมภีร์ใหม่ ได้แก่ พระวรสารทั้ง 4 เล่ม กิจการอัครสาวก จดหมาย 21 ฉบับของอัครสาวก (ส่วนมากเป็นของเปาโล) และวิวรณ์ของยอห์น ส่วนพระคัมภีร์เดิมนั้นพระศาสนจักรรู้และเข้าใจอย่างถูกต้องว่า พระเจ้าทรงปรารถนาให้พระศาสนจักรจัดรวบรวมหนังสือเล่มไหนไว้เป็นพระคัมภีร์บ้างเช่นเดียวกัน เรื่องนี้เปรียบได้กับนักดนตรีผู้เชี่ยวชาญที่ฟังเพลงบางเพลง แล้วบอกได้ทันทีว่าเพลงนั้นเป็นเพลงของใคร พระศาสนจักรมีโสตประสาทที่ไวต่อเสียงของพระจิต จึงสามารถแยกแยะได้ว่าเสียงไหน ในหนังสือเล่มไหนเป็นเสียงตรัสของพระเจ้าบ้าง
    พระคัมภีร์เป็นทรัพย์สมบัติอันมีค่ายิ่งของพระศาสนจักรของพระคริสต์ พระคัมภีร์ถ่ายทอดสืบเนื่องมาถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลากว่า 2 พันปี เพราะมีการบันทึกด้วยมือและการพิมพ์ด้วยเครื่อง ปัจจุบันพระคัมภีร์ได้รับการแปลเป็นภาษาต่างๆ เกือบทุกภาษาในโลก หนังสือที่มีผู้คนอ่านกันมากที่สุดยังคงเป็นหนังสือพระคัมภีร์ ทั้งๆ ที่เป็นหนังสือเก่าแก่ถึง 2 พันปีแล้ว ทุกครั้งที่อ่านพระคัมภีร์เราได้รับความประทับใหม่ๆเสมอ ทุกวันนี้พระคัมภีร์ยังคงเป็นหนังสือนำทางชีวิต และเป็นบ่อเกิดแห่งความยินดีของผู้คนนับไม่ถ้วน
    แน่นอนที่ว่าพระคัมภีร์เป็นหนังสือศาสนา ไม่ใช่หนังสือวิทยาศาสตร์หรือประวัติศาสตร์ หรือประวัติศาสตร์ ถ้าจะมองในแง่วิทยาศาสตร์ คนที่เขียนพระคัมภีร์ เขียนโดยใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เท่าที่มีอยู่ในสมัยนั้น ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในพระคัมภีร์จึงเป็นเพียงแค่ระดับพื้นฐานสำหรับคนในยุคปัจจุบัน เป็นความรู้ทางวิทยาศาสตร์เท่าที่มีอยู่ในสมัยนั้น เป็นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ของคนในยุค 2 หรือ 3 พันปีก่อนเท่านั้นเอง แต่สำหรับเรื่องของพระเจ้า หรือเรื่องความรอดพ้นของมนุษย์ไม่ใช่อย่างนั้น ในเรื่องนี้พระคัมภีร์มีคุณค่าสมควรแก่มนุษย์ทุกคนทุกยุคทุกสมัย จนถึงปัจจุบันพระเจ้ายังคงตรัสกับบรรดาลูกๆ ของพระองค์ผ่านทางพระคัมภีร์อยู่ ผู้คนยังคงสามารถแสวงหาหนทางไปสู่ชีวิตนิรันดรและหนทางของความเชื่อ ความหวังใจและความรักได้จากพระคัมภีร์ ไม่ว่าเขาจะอยู่ในยุคใดสมัยใด

ที่มา: หนังสือชีวิตและคำสอนของพระเยซู โดยบาทหลวงเปโตร เนเมเชะงิ S.J.