2. เมล็ดมัสตาร์ด (มธ 13:31-32 เทียบ มก 4:30-32, ลก 8:5-8)
คำอธิบาย
พระเยซูเจ้าใช้คำพูดง่าย ๆ อธิบายถึงอาณาจักรสวรรค์ที่พระองค์กำลังสถาปนาขึ้น แม้ว่าในตอนแรกๆ ไม่สู้จะมีคนเห็น เพราะอาณาจักรสวรรค์เล็กมากและไม่สู้จะสำคัญ แต่โลกจะเห็นอาณาจักรสวรรค์เมื่ออาณาจักรสวรรค์ขยายไปและเติบโตขึ้น เมล็ดมัสตาร์ด พระเยซูเจ้าเลือกอุปมาเรื่องนี้ เพื่อให้เห็นการเปรียบเทียบอย่างชัดเจน (Contrast = ตรงกันข้าม) ระหว่างเมล็ดพืชเล็กๆ กับต้นไม้แข็งแรง (เทียบ ลก 17:6) กลายเป็นต้นไม้ แม้จะเป็นเมล็ดเล็กๆ มัสตาร์ดอาจจะเจริญเติบโตประมาณ 3-4 เมตร ในแถบที่มีอากาศร้อน ลำต้นและกิ่งก้านแข็งแรงไม่ผิดกับต้นไม้ เนื่องจากกิ่งก้านแผ่ออกไป พวกนกจึงมาเกาะพักอาศัยอยู่ได้
เพราะฉะนั้น การที่พระเยซูเจ้าทรงเลือกเมล็ดมัสตาร์ดเพื่อใช้เปรียบเทียบกับอาณาจักรสวรรค์จึงนับว่าเหมาะที่สุด เพราะอาณาจักรสวรรค์ของพระเมสสิยาห์เริ่มอย่างเงียบๆ สงบเสงี่ยม พระองค์เองเป็นลูกช่างไม้จากนาซาเร็ธ ซึ่งเป็นเมืองไม่สำคัญอะไร ประสูติในคอกสัตว์ ยากจน ไม่มีที่หลับที่นอน ผู้ติดตามของพระองค์ก็เป็นแต่กลุ่มชาวประมงจากกาลิลี ไร้การศึกษา ไม่มีอิทธิพลอย่างไร และปราศจากเครื่องไม้เครื่องมือที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ
แต่ถึงกระนั้นก็ดี พระอาจารย์เจ้าก็ได้ทำนายถึงอนาคตอันสดใสสำหรับแผนการของพระองค์ เมล็ดมัสตาร์ดจะกลายเป็นต้นไม้ที่จะแผ่กิ่งก้านออกไปอย่างกว้างขวาง และนกในอากาศ กล่าวคือ นานาชาติในโลกจะเข้ามาพึ่งพาอาศัยและจะได้รับการคุ้มครองและการเลี้ยงดูเอาใจใส่ภายใต้ร่มของมัน
ทีละเล็กทีละน้อย พระอาจารย์เจ้าค่อยๆ สอนผู้ที่ติดตามพระองค์ให้แสวงหาอาณาจักรสวรรค์ที่แท้จริงของพระเป็นเจ้า ไม่ใช่ในโลกนี้ แต่ในโลกหน้า “จงอย่าสะสมทรัพย์สมบัติบนแผ่นดินนี้เลย... แต่จงสะสมทรัพย์สมบัติในสวรรค์เถิด” (มธ 6:19-22)
คำสอน
พระเยซูเจ้าทรงเล่าอุปมานี้ก็เพื่อสอนและให้กำลังใจแก่สานุศิษย์ของพระองค์ แต่ก็เป็นคำสอนสำหรับผู้ติดตามพระองค์ในสมัยต่อๆ มาด้วย พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเป็นเจ้ายังคงเอาใจใส่ต่อต้นมัสตาร์ด กล่าวคือ พระศาสนจักร พระองค์ผู้ทรงเปรียบเหมือนชาวสวนกำลังพรวนดินรดน้ำ ใส่ปุ๋ยเมล็ดมัสตาร์ดนั้น และพระองค์จะทรงดูแลเอาพระทัยใส่ตลอดจนสิ้นพิภพ พระเยซูเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ ผู้นำ หัวหน้า ชนะโลกแล้ว เราก็จะต้องชนะโลกด้วย
ในสมัยของเรานี้ เราเห็นว่าพระศาสนจักรกำลังแผ่กิ่งก้านสาขาออกไปทุกมุมโลก จนกระทั่งว่าทุกประเทศในโลกต่างก็เคยได้ยินพระนามพระเยซูเจ้า และถือพระองค์เป็นศาสดาจารย์ แต่ในเวลาเดียวกัน เราก็เห็นว่าทางฝ่ายตรงข้ามก็พยายามที่จะกำจัดศาสนาของพระองค์ เช่น คอมมิวนิสต์ พวกที่ไม่นับถือพระนับถือเจ้า และพวกที่แม้นับถือพระเป็นเจ้า แต่ก็ดำรงชีวิตประหนึ่งว่าพระเป็นเจ้าไม่มี สำหรับเขา พระเป็นเจ้าตายเสียแล้ว ถึงอย่างนั้นก็ดี ฝ่ายปฏิปักษ์ก็ไม่สามารถจะชนะพระศาสนจักรได้ เหมือนกับที่พระองค์ทรงตรัสกับนักบุญเปโตร (มธ 16:18) และนี่แหละเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า พระเป็นเจ้าทรงสถิตอยู่กับพระศาสนจักรเสมอ “นี่แน่ะ เราอยู่กับพวกท่านตลอดไปตราบจนสิ้นพิภพ” (มธ 28:20)
เราคาทอลิกจะต้องสำนึกในพระคุณเสมอ เพราะว่าเราได้รับอภิสิทธิ์ที่จะอยู่ใต้ร่มชายคาของพระศาสนจักร แต่ในเวลาเดียวกันเราก็ต้องคำนึงถึงหน้าที่ของเราในฐานะเป็นสมาชิกของพระศาสนจักร และจะต้องทำให้พระศาสนจักรยิ่งทียิ่งเจริญงอกงามขึ้น สิทธิและหน้าที่เป็นของคู่กัน แต่หน้าที่หรือภาระของเรานั้นก็ไม่หนักหนาอะไร เพราะพระองค์เคยตรัสไว้เช่นนั้น เป็นต้น เราจะรู้สึกภาคภูมิใจ เพราะเรากำลังทำงานร่วมกับพระองค์ในการเผยแผ่พระศาสนจักรของพระองค์ และพระองค์เองจะเป็นผู้ประทานกำลังและอยู่เคียงข้างกับเรา
เราทราบว่ามนุษย์อีกมากมายไม่มีโอกาสอยู่ใต้ร่มเงาต้นมัสตาร์ด และทุกคนก็เป็นพี่น้องของเราในฐานะที่ทุกคนเป็นบุตรของพระเป็นเจ้า
ยิ่งกว่านั้น ยังมีคนเป็นอันมากตั้งตัวเป็นศัตรูกับพระศาสนจักรและพยายามทุกวิถีทางเพื่อจะขจัดพระศาสนจักร ประดุจขจัดฝิ่น ซึ่งนำความชั่วร้ายมาสู่มนุษย์ (ศาสนาสำหรับคนอ่อนแอและคนโง่)
เรามีหน้าที่ที่จะต้องรับผิดชอบและจะต้องช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เหล่านี้ พวกเขามืดบอดเพราะอวิชา หรือเพราะความจองหอง เขาไม่สามารถจะพบต้นไม้แห่งชีวิตได้ ถ้าปราศจากความช่วยเหลือจากเรา
พระเยซูเจ้า พระผู้ไถ่ของเราและของพวกเรา เรียกร้องให้เรายื่นมือไปช่วยเขาให้รอดพ้นจากความหายนะ เราจะกล้าปฏิเสธพระองค์หรือ ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ ในเมื่อเราได้รับพระคุณมากมายจากพระองค์
พระองค์ไม่ได้ขอร้องให้พวกเราทุกคนละทิ้งบิดามารดา บ้านช่อง เพื่อประกาศอาณาจักรสรรค์ของพระเป็นเจ้า แต่พระองค์เรียกร้องให้ทุกคนแม้จะมีชีวิตแบบฆราวาสให้ทำหน้าที่อัครสาวก และเผยแผ่อาณาจักรของพระองค์ (อาศัยศีลล้างบาป ศีลกำลัง เราทุกคนเป็นทหารหาญของพระคริสตเจ้า)
1. เราจะต้องดำรงชีวิตคริสตังอย่างศักดิ์สิทธิ์สมกับสภาพของตน มองดูเผินๆ เราคงคิดว่า นี่คงไม่ใช่เป็นวิธีเผยแผ่พระศาสนา หรืออาจจะมีประโยชน์ต่อผู้อื่นอย่างไร แต่ตามความเป็นจริงแล้ว เราสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้มาก ถ้าหากเราประพฤติดี ถ้าหากสมาชิกทุกคนในพระศาสนจักรประพฤติแต่ในสิ่งที่ชอบ ความดีต่างๆ เหล่านั้น สามารถดึงดูดและเป็นที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่อยู่นอกพระศาสนจักร
2) เราจะต้องร่วมมือกับผู้นำของเรา เช่น สมเด็จพระสันตะปาปา พระสังฆราช คุณพ่อเจ้าวัด ผู้ใหญ่ในคณะ ฯลฯ การร่วมมือนี้อาจแสดงออกได้หลายแบบ ตามสภาพของแต่ละคน เช่น การสอนคำสอน การเผยแผ่หนังสือคริสตัง แสดงเมตตาจิตโดยช่วยเหลือคนจน ครอบครัวตามสลัม เป็นต้น
ความรักต่อพระคริสตเจ้า และความรักต่อเพื่อนบ้านได้บันดาลให้จักรวรรดิโรมัน ได้เข้ามาอยู่ในอุระของพระศาสนจักรฉันใด ถ้าหากเรามีความรักความร้อนรนเหมือนกับคริสตังเดิม เราก็จะสามารถดึงดูดผู้ที่อยู่นอกพระศาสนจักรให้เข้ามาเป็นศิษย์ของพระคริสตเจ้าฉันนั้น
พระวรสาร ยังเป็นอำนาจของพระเป็นเจ้าที่บันดาลความรอด (รม 1:16) ถ้าหากเรารู้จักประกาศพระวรสารเช่นเดียวกับนักบุญเปาโล วิบัติแก่ข้าพเจ้าถ้าไม่ประกาศพระวรสาร ถ้าหากเรารู้จักทำตัวของเราเองให้เป็นแสงสว่างของโลก ก็มีหวังว่าเราจะนำคนเป็นอันมากมาหาพระเยซูเจ้าองค์ความสว่างของโลก ถ้าหากจนป่านนี้เราไม่เคยเผยแผ่ความเชื่อเลย ก็ไม่เป็นการช้าไปที่จะเริ่มเวลานี้ นักบุญเปาโลเองเคยเป็นศัตรูกับพระเยซูเจ้าหลายปี แต่เมื่อท่านกลับใจ ท่านกลายเป็นอัครสาวกผู้ประกาศพระวรสารแก่คนต่างศาสนา
เราจะรู้สึกมีความยินดีสักเพียงไร ถ้าหากเราสามารถนำวิญญาณสักดวงหนึ่งให้มารู้จักพระคริสตเจ้า เข้ามาอยู่ในพระศาสนจักร และที่สุดเอาตัวรอดไปสวรรค์
3) ความคิดของคนๆ เดียวสามารถเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม และนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ประเทศชาติหรือโลกได้ (นักวิทยาศาสตร์ หลุยส์ ปาสเตอร์ เซรุ่มแก้โรคสุนัขบ้ากัด) อุดมคติของคริสโตเฟอร์ “จุดเทียนสักเล่มหนึ่งดีกว่าสาปแช่งความมืด”