3. เชื้อแป้ง (มธ 13:33 เทียบ ลก 13:20-21)
คำอธิบาย
ในอุปมาเรื่องเมล็ดมัสตาร์ด พระอาจารย์เจ้าอธิบายการเจริญเติบโตของอาณาจักรสวรรค์ที่มองเห็นได้จากภายนอก แต่ในอุปมาเรื่องเชื้อแป้ง พระองค์มีพระประสงค์จะอธิบายพลังภายในที่ลึกลับและเงียบๆ ของพระอาณาจักรสวรรค์ของพระเป็นเจ้า และพลังนี้เองสามารถเปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่างที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของมัน
อุปมานี้เป็นของพื้นๆ และง่ายๆ ที่ผู้ฟังทุกคนเข้าใจอย่างดี เพราะยังเป็นอาหารหลักของสาวกยิว และเป็นหน้าที่ของแม่บ้านที่จะต้องเตรียมทำขนมปัง ก่อนอื่นเขาคลุกแป้งกับน้ำหรือนม และใส่เชื้อลงไปเล็กน้อย และเขาก็บดและคลุกมันจนกระทั่งเป็นก้อน แล้วก็จนกระทั่งใช้การได้ บางครั้งในกรณีด่วนๆ แม่บ้านอาจจะทำขนมปังโดยไม่ใส่เชื้อก็มี แต่รสชาติไม่อร่อย แข็งแห้ง โมเสสได้บัญญัติให้ชาวยิวกินขนมปังไม่มีเชื้อระหว่างฉลองเทศกาลปัสกาตลอดหนึ่งอาทิตย์ เพื่อเตือนพวกเขาให้ระลึกถึงความยากลำบากและการเป็นทาส เมื่อครั้งที่พวกเขาอยู่ในประเทศอียิปต์
ทุกคนรู้ว่าเชื้อแป้งเพียงเล็กน้อยสามารถบันดาลให้แป้งฟูขึ้นและใหญ่ขึ้น และยังทำให้ขนมปังมีรสชาติดียิ่งขึ้น อร่อย นิ่ม ฉะนั้น เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสว่า อาณาจักรของพระเจ้าเปรียบเหมือนเชื้อแป้ง พวกเขาเข้าใจการเปรียบเทียบทันที กล่าวคือ เชื้อแป้งเริ่มทำงานและเปลี่ยนก้อนแป้งฉันใด พระวรสารของพระคริสตเจ้าและอำนาจแห่งอาณาจักรของพระองค์ก็ให้ชีวิตใหม่ และพลังใหม่ให้แก่ผู้ที่ยินดีรับฟังพระวาจานั้นเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขา นี่เป็นแก่นแท้และเป็นจุดศูนย์กลาง เป็นคำสอนของอุปมาเรื่องนี้
เพียงแต่เหลียวดูประวัติศาสตร์ตอนเริ่มแรกของพระศาสนจักร เราก็จะเห็นว่าอุปมานี้เป็นไปตามความจริงทุกประการ
อาณาจักรของพระเจ้า พระศาสนจักรพร้อมกับศีลศักดิ์สิทธิ์ 7 ประการ ที่บันดาลชีวิตเหนือธรรมชาติ ได้ถูกปลูกไว้ท่ามกลางโลกในสมัยนั้น แต่โลกไม่รู้จัก คล้ายๆ กับแม่บ้านซ่อนเชื้อแป้งเข้าไปในแป้ง เพราะว่าชาวยิวส่วนใหญ่ที่เคยมีชีวิตร่วมกับพระองค์ก็ไม่รู้จักพระองค์ นักบุญยอห์น บัปติสต์ ได้กล่าวกับชาวฟาริสีว่า “แต่ว่ามีคนหนึ่งที่ยืนอยู่ท่ามกลางพวกท่าน ซึ่งท่านไม่รู้จัก” (ยน 1:20) พระองค์ก็ได้เสด็จลงมาหาประชาชนของพระองค์ แต่พวกเขาไม่รับพระองค์ อย่างไรก็ดี เชื้อแป้งกำลังทำงานอยู่อย่างเงียบ ๆ และกำลังแผ่อิทธิพลไปสู่โลกอันกว้างใหญ่
คำสอน
ตลอด 19 ศตวรรษ พระศาสนจักรได้มีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้น ไม่ใช่อาศัยกองทัพหรือกำลังรบหรือวาทะศิลป์ แต่อาศัยพระหรรษทานของพระเป็นเจ้าที่ทำงานอย่างเงียบๆ ภายในดวงใจของคริสตังทุกคน บันดาลให้เรารักพระเป็นเจ้า กรุงโรมที่เคยเป็นเมืองของคนต่างศาสนา กลายเป็นเมืองคริสตัง กรุงโรมที่เคยเป็นศูนย์กลางแห่งความฟุ้งเฟ้อประสาโลก กลับกลายเป็นศูนย์กลางอาณาจักรทางด้านวิญญาณของพระเป็นเจ้าทีละเล็กทีละน้อย พระหรรษทานซึ่งเปรียบประดุจเชื้อแป้งได้แทรกซึมอย่างเงียบๆ เข้าไปในจิตใจมนุษย์และแผ่ไปทั่วจักรวรรดิโรมัน แม้ในปัจจุบันนี้จะมีหลายชาติหลายประเทศที่ยังไม่ได้เป็นสมาชิกในอาณาจักรของพระเป็นเจ้าเป็นส่วนใหญ่ แต่ทุกชาติก็ได้รับผลประโยชน์จากพระวรสาร
ปฏิกิริยาประการแรกต่อพระคุณของพระเป็นเจ้า ก็คือ เขาจะต้องกล่าวออกมาด้วยความจริงใจว่า “ขอบพระคุณ” เพราะพระทัยเมตตาของพระเป็นเจ้าที่มีต่อมนุษย์โลกที่ไม่สมควรนี้
อนึ่ง เมื่อเขาคิดถึงการต่อต้านของโลกโดยวิธีการต่างๆ เขาจะเห็นว่าฤทธิ์อำนาจของพระคริสตเจ้านั้นอยู่กับพระศาสนจักรเสมอตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ และถ้าหากพระศาสนจักรเป็นผลิตผลของมนุษย์แล้วไซร้ พระศาสนจักรคงล่มจมอย่างแน่นอน
ปฏิกิริยาประการที่สอง คือ ให้เราสำรวจมโนธรรมดูว่า ในฐานะที่เราเป็นคริสตชน เราเป็นเชื้อแป้งที่มีอิทธิพลต่อทุกคนที่มีความสัมพันธ์กับเราหรือเปล่า เราจำเป็นจะต้องรู้สึกรับผิดชอบต่อหน้าที่ของเราหลังจากที่เราได้รับศีลล้างบาปแล้วในฐานะเป็นสมาชิกของพระศาสนจักร เราจะต้องมีหน้าที่แพร่ธรรม เช่นกันโดยอาศัยศีลกำลัง เราเป็นทหารหาญของพระคริสตเจ้า แต่ก่อนที่เราจะแผ่อิทธิพลไปถึงผู้อื่น เราเองจะต้องเป็นเชื้อแป้งที่มีประสิทธิภาพจริงๆ เราจะต้องเป็นสานุศิษย์ของพระคริสตเจ้าจริงๆ โดยการดำรงชีวิตตามหลักพระวรสารและดำรงชีวิตตามความเชื่อของเรา ไฟแห่งความรักพระเป็นเจ้าที่คุกรุ่นอยู่ภายในจิตใจของคริสตชนที่ดำรงชีวิตตามความเชื่อ จะส่องสว่างและนำความร้อนไปให้ทุกคนที่ติดต่อกับเรา แม้เขาเองไม่รู้ตัว เขาก็จะเป็นเชื้อแป้งสำหรับเพื่อนมนุษย์ที่ติดต่อกับเขา เราเป็นคริสตชนแบบนั้นหรือเปล่า เราสำนึกในคุณค่าของพระคุณพิเศษ คือ ความเชื่อนี้ซึ่งพระเป็นเจ้าได้ทรงประทานให้แก่เราหรือเปล่า เราได้นำคนอื่นให้มารู้จักพระคุณอันแสนประเสริฐนี้หรือเปล่า เริ่มเป็นเชื้อแป้งที่แท้จริงเสียเวลานี้ (ถ้าเรายังไม่ได้เริ่ม) ท่ามกลางเพื่อนมนุษย์ของเราช่วยเขาให้เอาตัวรอดไปสวรรค์
คริสตศาสนาเปลี่ยนแปลงสังคม
1) คริสตศาสนาเปลี่ยนแปลงชีวิตของสตรี ชาวยิวผู้ชายขอบคุณพระเป็นเจ้าในบทภาวนาเช้าเสมอ ที่พระองค์ไม่ได้ทรงสร้างพวกเขาให้เป็นคนต่างศาสนา ทาส หรือผู้หญิง
ในสังคมกรีก สตรีถูกเลินเล่อมาก มักจะต้องใช้ชีวิตเงียบๆ และทำงานบ้าน
ในประเทศตะวันออกใกล้ เรามักจะเห็นครอบครัวออกเดินทางโดยที่หัวหน้าครอบครัวขี่ลา และแม่บ้านมักจะต้องเดิน หรือแบกของ (อียิปต์เพิ่งอนุญาตให้ผู้หญิงศึกษาในมหาวิทยาลัยเมื่อไม่กี่ปีมานี้)
2) คริสตศาสนาเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้ที่อ่อนแอและผู้เจ็บป่วย
ในประเทศปาร์ต้า เขาจะเลี้ยงเด็กที่เกิดมามีสุขภาพสมบูรณ์เท่านั้น ถ้าหากอ่อนแอหรือพิการ เขาก็จะเอาไปปล่อยให้ตายตามชายเขา
เราทราบว่า Thalasius ที่ตั้งสถานช่วยเหลือคนตาบอดเป็นคนแรกนั้น เป็นฤาษีคริสตัง
Apallonius เป็นพ่อค้าคริสตังคนแรกที่เป็นผู้ตั้งโรงพยาบาลแห่งแรก
Fabeola สุภาพสตรีคริสตังคนแรกที่เป็นผู้ตั้งโรงพยาบาลแห่งแรก
3) คริสตศาสนาเปลี่ยนชีวิตคนชรา คนชราเช่นเดียวกับคนพิการ เป็นภาระแก่สังคม Cato นักเขียนชาวโรมันได้เขียนไว้ให้ขายข้าวของต่างๆ รวมทั้งทาสชราและป่วยด้วย แต่คริสตศาสนาให้เอาใจใส่คนพวกนี้ เราเห็นว่ามีบ้านสำหรับคนชราอยู่ทั่วๆ ไปในประเทศคริสตัง
4) คริสตศาสนาเอาใจใส่ต่อเด็ก เป็นต้นเด็กกำพร้าและเด็กหญิง เราพบในจดหมายของ Hilarion เขียนถึงภรรยา Alis ที่เมืองอเล็กซานเดรียว่า ถ้าหากเธอคลอดบุตรชายก็ให้เลี้ยงไว้ ถ้าคลอดบุตรสาวก็ให้โยนทิ้งเสีย คริสตศาสนาจึงไม่อนุญาตให้ทำเช่นนั้น ฉะนั้น เราจึงเห็นบทบาทของคริสตศาสนามากในสังคมโบราณและปัจจุบัน