3. ความฉลาดของผู้จัดการ
ลก 16:1-8
คำอธิบาย
จุดประสงค์ของอุปมาเรื่องนี้ พระเยซูเจ้าต้องการเน้นว่า ในการเอาตัวรอดไปสวรรค์นั้น เราจะต้องพยายามใช้ความฉลาด ความรอบคอบ เต็มความสามารถ ถ้าหากว่าคนเรายังรู้จักสะสมข้าวของเงินทองเพื่อการดำรงชีวิตในชีวิตนี้ เราก็ควรจะสะสมบุญกุศลเพื่อชีวิตหน้าด้วย
เศรษฐีผู้หนึ่งมีผู้จัดการดูแลผลประโยชน์คนหนึ่ง ในสมัยนั้นการที่เศรษฐีจัดหาผู้จัดการทรัพย์สินของตนเป็นเรื่องธรรมดา และผู้จัดการนี้มีเสรีภาพและอำนาจที่จะจัดการกับทรัพย์สินอย่างไรก็ได้ ขอแต่ให้เงินทองของนายเพิ่มพูนขึ้นก็แล้วกัน ที่จริงตำแหน่งหน้าที่ของเขาสูงกว่าคนใช้ธรรมดา และเป็นหน้าที่ที่มีเกียรติ เขาทำหน้าที่แทนนายทุกอย่าง เช่น มอบที่ดินให้คนอื่นเช่า ซึ่งอาจจะเป็นเรือกสวนไร่นา นอกจากนั้น สวนผลไม้ หรือไร่องุ่น หรือสวนมะกอก และเขามีหน้าที่เก็บค่าเช่าประจำปี ซึ่งปกติมักจะเป็นพืชผล จากนั้นเขาก็นำไปขายที่ตลาด หลังจากหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้ว เขาก็จะมอบผลประโยชน์ให้แก่นายของตน
ผู้จัดการคนนี้ผลาญทรัพย์สินของนาย นายได้ทราบข่าวว่า ผู้จัดการไม่ซื่อสัตย์ตามที่ได้คาดหมายไว้ เพราะเขาได้ใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย และอาจจะมีการคดโกงอื่นๆ อีก เช่น อาจจะขายข้าวของให้แก่ญาติพี่น้องหรือเพื่อนฝูงในราคาต่ำกว่าราคาท้องตลาด แต่เขาคงไม่ได้ยักยอกเงินเอาไว้ใช้เพราะปรากฏว่าเมื่อนายไล่ออกจากงาน เขาไม่มีเงินเหลือ
ดูเหมือนเราได้ยินเรื่องไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับเจ้า จงรายงานมาซิ นายได้ถามหาเหตุผลและขอให้อธิบาย แต่ว่าเขาไม่สามารถให้คำตอบได้ เพราะเขาทราบดีว่าเขาได้ทำผิดจริง
ผู้จัดการจึงคิดว่า เขาคิดถึงผลกรรมชั่วของเขา และพยายามหาทางออกอย่างดีที่สุด จะขุดดินก็ไม่ไหว จะขอทานรึก็อายเขา เขาทราบดีว่าเขาไม่สามรถจะหางานทำในฐานะเป็นผู้จัดการได้อีก เพราะความคดโกงของเขา ในฐานะเป็นผู้จัดการ เขาเคยทำแต่งานเบาๆ ฉะนั้น เขาไม่มีแรงที่จะขุดดินซึ่งเป็นงานหนัก ส่วนเรื่องขอทานไม่ต้องพูดถึง เพราะเขายังแข็งแรง สุขภาพดี และเป็นสิ่งที่น่าอับอายด้วย
ฉันรู้วิธีละ เขาได้หาทางออกที่คดโกง แต่เป็นทางออกที่ฉลาด
ลูกหนี้ของนาย นายหรือเจ้าของนั้นอาจจะมีลูกหนี้ที่ยังจะต้องชำระเป็นพืชผลอยู่อีก เพราะในบางปีพืชผลอาจจะไม่ได้ผลเต็มที่ เนื่องจากดินฟ้าอากาศไม่อำนวย พวกชาวไร่ชาวนาก็ไม่สามารถจะชำระค่าเช่าตามที่ได้ตกลงกันไว้ ผู้จัดการมีบัญชีอยู่ในมือ จึงรู้ว่าใครเป็นหนี้นายบ้าง และเป็นหนี้มากน้อยเท่าไร ฉะนั้น เขาจึงคิดการณ์ไกล อยากได้ความดีความชอบจากพวกลูกหนี้ เมื่อเขาต้องตกงาน
เอาบัญชีมา-เขียน 50 ผู้จัดการลดจำนวนหนี้สินให้ตั้งครึ่ง เพราะฉะนั้น ลูกหนี้ของนายทั้งหลายก็ย่อมจะกตัญญูรู้คุณต่อเขา และคงเห็นใจเขาและช่วยเหลือเขา เพราะความคดโกงที่นำผลประโยชน์มาให้แก่เขา และเพราะกลัวว่าเขาอาจจะกลับใจหักหลังเอาก็เป็นได้
นายนึกชมผู้จัดการทุจริตคนนั้น ว่าเขาทำอย่างเฉลียวฉลาด นายนั้นแม้จะถูกโกงก็อดที่จะชมเชยผู้จัดการที่ฉลาดแกมโกงไม่ได้ เขาได้ตกงานเพราะความไม่ซื่อสัตย์ของเขา เขาก็ได้แก้ปัญหาเพื่ออนาคตโดยอาศัยความไม่ซื่อสัตย์เช่นกัน
บางคนไม่สบายใจที่คิดว่าพระเยซูเจ้าเองชมเชยผู้จัดการทุจริตนั้น และคิดว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องเลย แต่ในอุปมาเราเห็นว่าไม่ใช่พระเยซูเจ้าที่ชม แต่เป็นนายที่ชม และแน่นอนที่สุด นายก็ไม่เห็นดีเห็นชอบกับการคดโกงของผู้จัดการในการกระทำเช่นนั้น เพียงแต่ชมความฉลาดแกมโกงของเขา
บุตรของโลกนี้ พระเยซูเจ้าต้องการประยุกต์อุปมาเรื่องนี้ บุตรของโลกนี้ คือคนที่สาละวนแต่ทรัพย์สมบัติและข้าวของแต่อย่างเดียว บุตรของความสว่างคือคนที่สนใจแต่คุณธรรม ซึ่งจะมีผลให้เขาได้รับความสุขตลอดนิรันดร คำสอนที่พระองค์ต้องการสอนผู้ฟังทุกคนรวมทั้งพวกเราด้วยก็คือ ให้เอาอย่างความฉลาดรอบคอบของผู้จัดการในการแสวงหาอาณาจักรสวรรค์ของพระเป็นเจ้าหรือชีวิตนิรันดร
บางคนอาจจะถามว่า ทำไมพระเยซูเจ้าเลือกเอาความฉลาดรอบคอบของคนใช้ที่ไม่ซื่อสัตย์นี้มาเป็นตัวอย่าง ขอตอบว่า เพราะเรื่องนี้เกิดขึ้นเสมอในสมัยของพระองค์ในประเทศปาเลสไตน์ การใช้ตัวอย่างแบบนี้ผู้ฟังเข้าใจได้ง่ายมากกว่า เพราะได้เคยเห็นมาแล้ว ไม่มีใครเห็นด้วยกับความอสัตย์ธรรมของเขา เพราะเขาเองได้รับชื่อว่า ผู้จัดการหรือคนใช้ที่อสัตย์ธรรมอยู่แล้ว
คำสอน
เราเป็นคริสตังผู้ติดตามพระเยซูเจ้า เพราะเราทราบดีว่า พระองค์ทรงเป็นหนทาง ความจริงและชีวิต พระองค์ทรงเป็นหนทางที่นำเราไปสวรรค์ พระองค์ทรงเป็นความจริงชั่วนิรันดร เพื่อสอนเราให้เอาตัวรอดไปสวรรค์ พระองค์เป็นท่อธารแห่งชีวิตในโลกนี้ และชีวิตหน้า เรารู้เรื่องทั้งหมดนี้อย่างดี และเราก็อยากจะไปสวรรค์จริงๆ แต่ครั้นเวลาจะปฏิบัติ เวลาจะลงไม้ลงมือจริงๆ เพื่อเอตัวรอดไปสวรรค์ เราทำได้มากน้อยเพียงไร
นี่เป็นคำถามที่เราต้องถามตัวเราเองด้วยความจริงใจ เป็นคำถามที่พระเยซูเจ้าได้ทรงถามเราในอุปมาเรื่องนี้ และเพื่อช่วยให้เราตอบคำถามของเรา พระองค์ก็ได้ทรงแนะนำเราให้เปรียบเทียบความกระตือรือร้น และความจริงใจของเราในการทำงานเพื่อเอาตัวรอดกับความสาละวนกับคนชาวโลกที่มีต่อการกอบโกยเงินทองและทรัพย์สมบัติของเขา
ให้เราพิจารณาดูว่า ในวันหนึ่งๆ เราได้ใช้เวลามากน้อยเท่าไร เพื่อวิญญาณของเรา เป็นการเพียงพอหรือเปล่าที่เราจะใช้เวลาไปวัดร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณในวันอาทิตย์เพียงหนึ่งชั่วโมง และภาวนาค่ำอีกเพียงวันละไม่กี่นาที เราสามารถที่จะใช้เวลาเอาใจใส่ต่อวิญญาณของเรามากกว่านี้ได้หรือเปล่า เช่น การไปร่วมมิสซาทุกวัน หรือทุกครั้งที่มีโอกาส การรำพึงหรือการสวดสายประคำเมื่อเวลาอำนวย การจะร่วมทำงานกับสมาคมคาทอลิกในคณะต่างๆ บางคณะที่เรามีความสันทัดเพื่อจรรโลงพระศาสนจักร หรือเรามักจะแก้ตัวบ่อยๆ ว่าเราไม่มีเวลา แปลกที่นักธุรกิจเขามักจะหาเวลาได้เสมอ เพื่อแสวงหาความรู้เพิ่มเติมในการประกอบอาชีพของเขา ไม่ว่าจะโดยอ่านหนังสือหรือโดยประสบการณ์ทางด้านอื่นๆ ส่วนเรา เราได้ขวนขวายหาความรู้ความก้าวหน้าทางด้านวิญญาณอย่างไรบ้าง
คริสตังส่วนใหญ่ยังคงมีความคิดว่า เรื่องศาสนา เรื่องความศักดิ์สิทธิ์ เรื่องการเอาวิญญาณรอด เป็นเรืองของนักบวช เป็นเรื่องของพระสงฆ์ ภราดา และภคินี โปรดจำไว้ว่า พระเป็นเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้ทุกคนดำรงชีวิตอย่างศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานะนักบวชหรือฆราวาส และพระองค์จะทรงตัดสินทุกคนด้วยความเคร่งครัดในเรื่องการใช้เวลาที่ไร้ประโยชน์ และเป็นต้นในการใช้เวลาทำผิดต่อน้ำพระทัยของพระองค์
เราเป็นผู้จัดการของพระเป็นเจ้า พระองค์ได้มอบหน้าที่ให้เรา เพื่อเราจะได้ใช้ทั้งกายและใจตามพระประสงค์ของพระองค์ เราอาจจะผลาญพระคุณทั้งหมดนี้ หรือเราอาจจะใช้พระคุณนี้อย่างดีเพื่อความรอดของเราเอง เวลาคิดบัญชีจะมาถึงในไม่ช้า บางทีเร็วกว่าที่เราคิดเสียอีก พระเป็นเจ้าจะทรงเรียกเรามาให้การต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เราควรจะทำแต่เราไม่ได้ทำ ขณะนี้เรายังมีเวลาก็ขอให้เราจัดบัญชีของเราให้เรียบร้อย เราอาจจะลบความผิดพลาดต่างๆ ที่เราได้เคยทำมาโดยอาศัยศีลอภัยบาป และเขาสามารถที่จะเริ่มชีวิตใหม่ ชีวิตที่ศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์ เพื่อว่าเราจะไม่ต้องตกใจกลัวในวันพิพากษา ขอให้เรารำพึงถึงอุปมาเรื่องนี้บางครั้งบางคราวในชีวิตของเรา