2. ชาวฟาริสีและคนเก็บภาษี (ลก 18:9-14 เทียบ มธ 6:1; 21:31; 23:28)
คำอธิบาย
พระเยซูเจ้าได้ทรงเล่าอุปมาเรื่องนี้เพื่อจะสอนผู้ที่ฟังพระวาจาของพระองค์ว่า ฤทธิ์กุศลความสุภาพนั้นเป็นรากฐานที่สำคัญที่สุดในการติดต่อกับพระเป็นเจ้า พระเป็นเจ้าทรงมีพระทัยอารีอันปราศจากขอบเขต แต่พระองค์ก็ทรงไว้ซึ่งความยุติธรรมที่สุดด้วย พระองค์ได้ทรงประทานทั้งวิญญาณและร่างกายให้แก่มนุษย์เป็นของกำนัล ถ้าหากว่ามนุษย์ลืมความจริงข้อนี้ โดยคิดว่า อะไรที่มีเกียรติและที่ดีงามทั้งหลายที่เขาทำก็มาจากเขาเองทั้งนั้น เขาก็เป็นคนที่ไม่ซื่อตรง ความจองหองพองขนของมนุษย์เราก็เป็นความไม่ซื่อตรงนี่เอง
การที่พระเยซูเจ้ายกตัวอย่างโดยพูดถึงฟาริสีและคนเก็บภาษีนับว่าเหมาะอย่างยิ่ง และผู้ฟังพระวาจาทั้งหลายย่อมเข้าใจได้ดี
ชาวฟาริสีเป็นพวกนักบุญในสมัยนั้น อย่างน้อยตามความนึกคิดของเขา พวกเขาประมาทคนอื่นๆ ทั้งหลาย พวกเขาเท่านั้นที่ถือพระบัญญัติของพระเป็นเจ้าอย่างซื่อสัตย์ พวกเขาเชื่อมั่นว่า พวกเขาจะมีส่วนร่วมในอาณาจักรสวรรค์ คนอื่นๆ เป็นคนบาป และเป็นผู้ที่พระเป็นเจ้าไม่ทรงโปรดปราน
ตรงกันข้าม คนเก็บภาษีในสมัยนั้น ใครๆ ก็ถือว่าเป็นคนบาปโดยเปิดเผย ทั้งนี้ก็เพราะว่าในการเก็บภาษีตามจังหวัดต่างๆ ในประเทศปาเลสไตน์นั้น ทางรัฐบาลกรุงโรมเปิดโอกาสให้มีการประมูล ถ้าหากใครประมูลได้ก็ทำหน้าที่เก็บภาษีในแคว้นนั้นๆ โดยพยายามหากำไรให้มากที่สุดเพื่อหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง และในหลายๆ กรณี เนื่องจากชาวบ้านเป็นคนธรรมดาไม่มีความรู้เกี่ยวกับการเสียภาษี พวกคนเก็บภาษีจึงหาทางรีดนาทาเร้น และเก็บภาษีสูงๆ เป็นการเอาเปรียบและขูดเลือดขูดเนื้อประชาชน อนึ่ง ในจำพวกคนเก็บภาษีนี้ มีหลายคนที่เป็นชาวยิว และใครๆ ก็เกลียดเขาทั้งนั้น เพราะสาเหตุดังกล่าว และในฐานะที่เขาเป็นเครื่องมือของพวกโรมัน ซึ่งเป็นคนต่างชาติต่างศาสนาด้วย
ใครๆ ก็ถือว่าคนเก็บภาษีเป็นผู้ที่ทรยศต่อชาติ ต่อศาสนา โดยร่วมมือกับชาวโรมันซึ่งปกครองชาวยิวอยู่ในสมัยนั้น
พระอาจารย์เจ้าทรงเล่าว่าทั้งฟาริสีและคนเก็บภาษีต่างก็ขึ้นไปภาวนาในพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม พระองค์บรรยายถึงคำภาวนาของพวกเขา และพระองค์ได้ตรัสกับเราว่า พระเป็นเจ้ามีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับพวกเขา
ชาวฟาริสียืนอธิษฐานภาวนา คำภาวนาของฟาริสีเป็นคำภาวนาของคนสู่รู้ จองหอง คิดว่าตัวเองได้ประกอบคุณงามความดีต่างๆ ตามภายนอกแล้ว และประมาทคนอื่นๆ ซึ่งเขาคิดว่าคงไม่มีคุณงามความดีอะไร และไม่เหมือนกับเขา
ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระองค์ที่ข้าพเจ้าไม่เป็นเหมือนมนุษย์คนอื่น การขอบพระคุณพระเป็นเจ้าเพราะได้ประพฤติตนเป็นคนดี เป็นการภาวนาที่คู่ควรแก่คำสรรเสริญ ถ้าหากว่าผู้ภาวนานั้นเป็นคนจริงใจ แต่เราทราบว่าคำภาวนาของฟาริสีผู้นี้ไม่มีความจริงใจเลย เพราะเหตุว่าเขาคิดว่าเขาเป็นคนดี และเขาได้ประมาทผู้อื่น เพราะฉะนั้น ความหมายที่แท้จริงของคำภาวนาของเขาก็คือ ข้าแต่พระเป็นเจ้า พระองค์ควรจะขอบคุณที่มีนักบุญองค์หนึ่งเหมือนกับลูก ส่วนคนอื่นๆ นั้นเป็นแต่เพียงคนบาปทั้งหลาย ทำไมพระองค์ยังคงทนอยู่ได้ โดยไม่ลงโทษเขา
ที่เป็นคนขโมย อยุติธรรม ล่วงประเวณี ความอยุติธรรมและความผิดต่อความบริสุทธิ์เป็นบาปที่ผิดต่อพระบัญญัติของพระเป็นเจ้า และในสมัยนั้นก็เหมือนในสมัยนี้ ที่มีผู้ทำบาปชนิดนี้มากมาย แต่ว่าบาปที่น่ากลัวมากกว่าบาปทั้งสองประการก็คือ บาปจองหอง ซึ่งเป็นบาปที่ปีศาจและอาดัมได้ทำ คนที่ฉ้อโกงและคนที่คบชู้อาจจะยอมรับผิดและอาจจะขอสมาโทษจากพระเป็นเจ้าและพระองค์จะทรงเมตตา มหาโจรที่ถูกตรึงกางเขนพร้อมกับพระองค์และมารีย์ ชาวมักดาเลนา ต่างก็ได้รับอภัยโทษจากพระเป็นเจ้า แต่ว่าคนที่จองหองไม่สามารถที่จะถ่อมตนขออภัยโทษจากพระได้ง่ายๆ พระเป็นเจ้าทรงพร้อมที่จะอภัยบาปทุกชนิด แต่ว่าไม่ใช่ว่าคนบาปทุกคนจะขออภัยบาปจากพระองค์
เหมือนคนเก็บภาษีคนนี้ ตามความนึกคิดของฟาริสี คนเก็บภาษีเป็นผู้ฉ้อโกง เป็นคนคบชู้ เลวกว่าเสียอีก เป็นคนถือนอกลู่นอกทาง เพราะว่าเขาได้ช่วยทำงานเพื่อชาวโรมันที่เป็นคนต่างศาสนา คำตัดสินของเขาออกจะรุนแรงมากทีเดียว
ข้าพเจ้าจำศีลอดอาหารสัปดาห์และสองวัน หลังจากที่เขาคิดว่า เขาไม่มีบาป ไม่มีข้อบกพร่องที่เพื่อนมนุษย์ร่วมโลกแทบทุกคนมี เขาก็เริ่มบรรยายถึงคุณธรรมที่ดีๆ ของเขาซึ่งพระเป็นเจ้าควรจะรู้คุณ โมเสสได้เคยบัญญัติไว้ให้จำศีลเพียงปีละครั้งเท่านั้น คือวันขอสมาโทษพร้อมๆ กัน แต่ชาวฟาริสีได้กำหนดกันเองให้จำศีลหลายครั้งต่อปี อย่างไรก็ตาม การถือศีลอดอาหารก็หาได้เป็นคุณธรรมหรือสมจะถือว่าเป็นบุญกุศลก็หาไม่ ถ้าหากผู้จำศีลโอ้อวดเพราะว่าได้จำศีล พระเยซูเจ้าเองได้ทรงประนามด้วยถ้อยคำที่รุนแรงมากในพระวรสาร บันทึกโดยนักบุญมัทธิว บทที่ 23 และในบทที่ 6 พระองค์ได้ตรัสกับสานุศิษย์ของพระองค์ว่า “เมื่อท่านทั้งหลายจำศีลอดอาหาร จงอย่าทำหน้าเศร้าหมองเหมือนบรรดาคนหน้าซื่อใจคด เขาทำหน้าหมองคล้ำ เพื่อแสดงให้ผู้คนรู้ว่าเขากำลังจำศีลอดอาหาร เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว ส่วนท่าน เมื่อจำศีลอดอาหาร จงล้างหน้า ใช้น้ำมันหอมใส่ศีรษะ เพื่อไม่แสดงให้ผู้คนรู้ว่าท่านกำลังจำศีลอดอาหาร แต่ให้พระบิดาของท่าน ผู้สถิตอยู่ทั่วทุกแห่งทรงทราบ และพระบิดาของท่านผู้ทรงหยั่งรู้ทุกสิ่ง ก็จะประทานบำเหน็จให้ท่าน”
และถวายหนึ่งในสิบ ตามกฎหมาย ชาวยิวทุกคนจะต้องถวายหนึ่งส่วนสิบของผลิตผลของตนที่ได้รับจากที่ดินและฝูงสัตว์ เพื่อทำนุบำรุงพระวิหารและเพื่อศาสนกิจ แต่ชาวฟาริสีก็ได้ขยายความรวมเป็นว่า จะต้องถวายหนึ่งในสิบของทรัพย์สมบัติทั้งหมด แล้วก็ภาคภูมิใจและโอ้อวดที่ได้ทำดังนั้น
ส่วนคนเก็บภาษี ตรงกันข้ามเขายอมรับว่าเขาได้ทำผิด เขารู้ว่าเขาไม่มีอะไรที่จะต้องโอ้อวด แต่ว่าเขาควรจะต้องอับอาย และเขารู้สึกเช่นนั้นจริงๆ เขาไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นเวลาภาวนา
ได้แต่ข้อนอก การทุบอกเป็นเครื่องหมายภายนอกแสดงถึงการเป็นทุกข์เสียใจเพราะบาปที่ได้กระทำ ชาวยิวในสมัยนั้นมักจะแสดงเช่นนี้เสมอ นักบุญลูกา เล่าว่า ฝูงชนที่ได้เห็นพระเยซูเจ้าถูกตรึงกางเขนพร้อมกับเหตุการณ์มหัศจรรย์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ได้กลับเข้าไปในนครเยรูซาเล็ม ต่างก็ทุบอกตัวเอง ทั้งนี้เพราะพวกเขามีความรู้สึกว่า บรรดาหัวหน้าและพวกเขาเองได้กระทำผิดอย่างมหันต์
ข้าแต่พระเจ้า โปรดทรงพระกรุณาต่อข้าพเจ้าคนบาปด้วยเถิด เป็นคำภาวนาที่แท้จริงและที่ออกมาจากจิตใจจริงๆ เขายอมสารภาพว่าเขาได้ทำบาป เขาได้รับอภัยโทษจากพระเป็นเจ้า เพราะพระองค์เป็นผู้เมตตาอันปราศจากขอบเขต เพราะฉะนั้น เขาจึงภาวนาวิงวอนขอพระเมตตาด้วยความสุภาพและจากใจจริง
เราบอกท่านทั้งหลายว่า พระอาจารย์เจ้าได้ตรัสถึงผลแห่งคำภาวนาของทั้งสองคน คนเก็บภาษีได้รับพระเมตตาจากพระเป็นเจ้า ทั้งนี้ เพราะเขาเสียใจในความผิดของเขาอย่างแท้จริง
ส่วนอีกคนหนึ่ง ตรงข้าม ฟาริสีกลับบ้านพร้อมกับบาปของตนตามเดิม เพราะความจองหองและเขาไม่ได้รับพระเมตตาจากพระเป็นเจ้า เพราะเขาไม่ต้องการ ยิ่งกว่านั้น เขาได้ทำบาปเพิ่มขึ้นอีกประการหนึ่งด้วย คือ การตัดสินเพื่อนบ้านโดยเบาความและโดยปราศจากความรัก
ผู้ใดที่ยกตนขึ้น พระเยซูเจ้าได้ทรงให้เหตุผลว่า ทำไมคำภาวนาของฟาริสีจึงไม่ได้รับการสนองตอบอะไรเลย และคำภาวนาใดๆ ก็ตามที่มีลักษณะดังกล่าวก็จะไม่เกิดผลอันใดเลย เหตุผลนั้นก็คือ ความจองหอง ฟาริสียกตัวเองราวกับว่าเขาเป็นคนที่พระเป็นเจ้าควรจะรู้จักคุณค่าของเขา แทนที่เขาจะคิดว่าการที่เขาสามารถทำอะไรดีนั้นก็เพราะพระเป็นเจ้าได้ทรงโปรดประทานพละกำลังและน้ำใจแก่เขา เพราะเหตุนี้แหละเขาจึงต้องตกต่ำ และคลุกคลีกับบาปของเขา ถ้าหากเขาจะได้ประกอบกรรมต่างๆ ด้วยความสุภาพ แน่นอนเขาก็จะได้เป็นผู้ที่พระเป็นเจ้าทรงโปรดปราน ตรงกันข้าม ถ้าหากเราหันมาดูคนเก็บภาษีเราจะเห็นว่าเขาเป็นผู้ที่มีใจสุภาพอย่างแท้จริง เขายอมรับว่าเขาเป็นคนบาป และได้ขอสมาโทษจากพระองค์ด้วยความสุภาพ เขามีกำลังใจที่จะเข้าไปพึ่งพระเมตตาของพระเป็นเจ้า พระบิดาผู้ทรงพระทัยเมตตาอารี และเขาก็ได้รับอภัยโทษ ชายคนนี้กลับไปบ้านกลายเป็นคนชอบธรรม
คำสอน
เมื่อเราเห็นใครที่จองหอง ชอบปกปิดความผิดของตัวเอง ชอบประมาทผู้อื่น หน้าไหว้หลังหลอก เรามักจะเรียกเขาว่าเป็นฟาริสี แม้ในภาษาที่เราใช้กันในขณะนี้ อุปมาเรื่องนี้พระเยซูเจ้าเองได้ทรงเล่า และพระองค์ก็ได้ทรงเล่าเปรียบเทียบอย่างน่าฟังที่สุด
พระองค์ก็เคยประณามชาวฟาริสีโดยใช้คำขึ้นต้นว่า “วิบากกรรม” หรือ “หายนะ” และการเล่าอุปมาเรื่องนี้ก็เพื่อจะได้เตือนเรามิให้พลาดตกในบาปอันร้ายกาจนี้ คือ บาปจองหอง บาปจองหองเป็นบาปแรกที่เข้ามาในโลก เป็นบาปที่ปีศาจใช้เป็นอาวุธเพื่อต่อสู้กับอาณาจักรสวรรค์ของพระเป็นเจ้า และหลายๆ ครั้งรู้สึกว่าปีศาจทำงานได้ผลดีด้วย เพราะว่าความจองหองนี้มาในรูปแบบของความศรัทธาเลื่อมใสต่อพระเป็นเจ้า ฟาริสีได้ประกอบกรรมดีมากมายในตัวของมันเอง และได้หลีกเลี่ยงบาปต่างๆ แต่ว่าเหตุจูงใจที่ประกอบกรรมดีนั้นผิด กล่าวคือ เพื่อเกียรติยศและชื่อเสียงของตนเอง เพราะฉะนั้น กิจกรรมดีของพวกเขาก็ไม่ได้ให้เกียรติแด่พระเป็นเจ้า แต่กลับกลายเป็นการทำขัดเคืองพระทัยของพระเป็นเจ้าด้วยซ้ำไป
เราจะต้องระมัดระวังภัยแห่งความจองหองนี้เพื่อมิให้มันเข้ามาในดวงใจของเรา มิฉะนั้น มันจะทำลายความก้าวหน้าทางด้านวิญญาณของเราทั้งหมด เราควรจะพิจารณามโนธรรมและกิจการต่างๆ ของเราเสมอ เรามีนิสัยชอบทำงานใหญ่โตออกหน้าออกตาเพื่อให้คนอื่นชม หรือว่าเราชอบทำงานดีๆ ของเราอย่างเงียบๆ โดยที่ไม่ต้องให้คนอื่นเขารู้เห็น ถ้าหากเราจะทำการใช้โทษบาปเป็นพิเศษ หรือทำบุญทำทาน เราคิดที่จะให้คนอื่นๆ รู้หรือเปล่า “เราชอบสบประมาทคนอื่นๆ ที่ในสายตาของเรา เขาไม่ได้ทำอะไรดีเลยหรือเปล่า” ในการทำงานร่วมกัน เราเคยยอมที่จะเป็นลูกน้องหรือผู้ร่วมงานหรือเปล่า หรือว่าเราจะต้องเป็นหัวหน้าเสมอ และถ้าหากว่าเราไม่ได้เป็นหัวหน้า เราก็ไม่อยากร่วมมือในการทำงานหรือเปล่า เมื่อเราได้ยินมาว่าเพื่อนๆ ของเราพลาดพลั้ง เราได้ซ้ำเติมหรือเปล่า หรือว่าเราได้ภาวนาอุทิศแก่เขาเพื่อให้เขาได้กลับใจ เราได้เคยขอบพระคุณพระเป็นเจ้าหรือเปล่าที่พระองค์ได้ทรงรักษาเราไว้ให้อยู่ในศีลในพรของพระองค์อยู่เสมอ และให้เราชนะต่อการผจญล่อลวง เราเคยคิดที่จะหาเหตุแก้ตัวหรือทำความเข้าใจกับคนผิดหรือเปล่า หรือว่าเมื่อเราทำผิดเราก็หาข้อแก้ตัวสำหรับเราคนเดียว เรารู้สึกน้อยใจหรือเปล่า เมื่อเราประกอบกรรมดีในสังคมและไม่มีใครสรรเสริญเยินยอเรา เรารู้สึกอิจฉาริษยาหรือเปล่าเมื่อเห็นคนอื่นชมเชยสรรเสริญผู้อื่น ถ้าหากเราตอบอย่างตรงไปตรงมาด้วยความสุจริตใจ เราก็สามารถที่จะรู้จักตนเองบ้างว่า เราได้ทำการงานต่างๆ เพื่อพระเป็นเจ้าหรือเพื่อตัวเราเอง
ในอนาคต เราจะพยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อพระสิริมงคลของพระเป็นเจ้า และเราจะพยายามลืมตัวเอง เพราะพระองค์ตรัสไว้ว่า “ผู้ใดถ่อมตนลง จะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น”