3. ผู้พิพากษาที่ไร้มโนธรรมและหญิงม่ายผู้รบเร้า (ลก 18:1-8)
คำอธิบาย
เพื่อจะได้สอนเราว่า เราจำเป็นจะต้องภาวนาโดยไม่หยุดหย่อน พระเยซูเจ้าจึงได้ทรงเล่าอุปมาอีกเรื่องหนึ่ง
ผู้พิพากษาคนหนึ่ง ในเมืองหรือตามหมู่บ้านใหญ่ๆ ในประเทศปาเลสไตน์ รัฐบาลจะแต่งตั้งผู้พิพากษาผู้หนึ่งสำหรับตัดสินความต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้เสมอ
เขาไม่ยำเกรงพระเจ้าและไม่เกรงใจมนุษย์ผู้ใด เขาเป็นคนที่ต่ำช้าและไม่สมกับตำแหน่งหน้าที่อันมีเกียรติของเขาจริงๆ เขาไม่ได้ยำเกรงพระเป็นเจ้า กล่าวคือ เขาไม่ยอมรับรู้พระองค์ และพระบัญญัติของพระองค์ เขาเป็นคนที่ไม่ปฏิบัติศาสนา พระบัญญัติ 10 ประการของพระเป็นเจ้าไม่มีความหมายอะไร เขาไม่ให้ความเคารพนับถือต่อเพื่อนบ้าน ประมาทความคิดเห็นของผู้อื่น ผู้พิพากษาเลวๆ ชนิดนี้อาจมีขึ้นได้ทุกยุคทุกสมัย ยิ่งกว่านั้น บางคนยังรับศีลบนในการตัดสินความด้วย ประกาศกอิสยาห์ได้เคยต่อต้านผู้พิพากษาที่อยุติธรรมมาแล้ว ผู้พิพากษาที่ตัดสินให้คนชั่วได้ชนะความ เพราะเขาได้รับของขวัญหรือบำเหน็จรางวัลจากผู้ผิดและไม่ให้ความเป็นธรรมแก่คนซื่อสัตย์สุจริต (อสย 5:23) และในอิสยาห์บทที่ 1:23 ท่านประกาศกก็ได้พูดไว้ว่า พวกเจ้านาย ขาดความเชื่อถือในพระเป็นเจ้า เป็นเพื่อนของมหาโจร ชอบรับศีลบนและฝักใฝ่แต่รางวัล ไม่ได้ตัดสินความช่วยเหลือผู้กำพร้าและหญิงม่ายตามความยุติธรรม เพราะฉะนั้น อุปมาของพระองค์จึงเข้าใจง่ายสำหรับผู้ฟัง
หญิงม่ายคนหนึ่งอยู่ในเมืองนั้นด้วย คำว่าหญิงม่ายในประเทศปาเลสไตน์ก็ทำให้เราเข้าใจได้ทันทีว่า เป็นผู้ที่ช่วยตัวเองไม่ได้ ขาดผู้อุปถัมภ์ ผู้คุ้มครอง และจะต้องรับภาระของสามี เราพบว่าพระเป็นเจ้าทรงตักเตือนชาวอิสราเอลให้เอาใจใส่ต่อหญิงม่ายและเด็กกำพร้าและคนพลัดถิ่นเป็นพิเศษ (อพย 22:22, ฉธบ 14:29, 16:11, 24:17, อสย 1:23, โยบ 22:9) ที่พระองค์ต้องเตือนคนทั้งสามจำพวกนี้เสมอ หญิงม่ายในอุปมาคงจะได้รับความอยุติธรรมจากเพื่อนบ้านหรือจากญาติพี่น้อง อาจจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับมรดกที่สามีของนางได้ทำพินัยกรรมมอบให้ แต่ว่ามีญาติทางฝ่ายสามีแย่งชิงเอาไปก็ได้ หรืออาจจะเป็นเรื่องอื่นๆ ก็ได้ เราไม่ทราบแน่
นางมาพบเขาครั้งแล้วครั้งเล่า นางคงจะได้ขอความเห็นใจ และพูดตกลงกับฝ่ายตรงข้ามแล้ว แต่ไม่ได้ผลอะไร นางก็จำเป็นจะต้องมาร้องเรียนศาลเพื่อให้ผู้พิพากษาตัดสินตามความยุติธรรม
กรุณาให้ความยุติธรรมแก่ดิฉันสู้กับคู่ความเถิด เขาขอร้องให้ผู้พิพากษาทำตามความยุติธรรมและให้ลงโทษผู้ผิด เขาก็ต้องการทรัพย์สมบัติของเขากลับคืนตามความยุติธรรมมากกว่า ส่วนเรื่องการลงโทษนั้นเป็นหน้าที่ของศาล
ผู้พิพากษาผู้นั้นไม่ยอมทำตามที่นางขอร้อง เนื่องจากเขาเป็นคนที่ขาดความเมตตาและไม่สนใจต่อความเดือดร้อนของเพื่อนมนุษย์ เขาก็ไม่ได้พิจารณาคดีของหญิงม่าย แต่นางก็ไม่ยอมแพ้ ได้เพียรกลับมาหาผู้พิพากษาอธรรมผู้นี้ และที่สุดเธอก็เห็นผลจริงๆ
จนเวลาผ่านไประยะหนึ่ง จึงคิดว่า ความพากเพียรของหญิงม่ายได้ชนะจิตใจของเขา และเขาก็ยอมรับเช่นนั้นจริง ๆ
แม้ว่าฉันไม่ยำเกรงพระเจ้าและไม่เกรงใจมนุษย์ผู้ใด เขายอมรับว่าเขาไม่ยำเกรงพระเป็นเจ้าและประมาทเพื่อนมนุษย์ ถึงกระนั้นเขาก็คิดว่าเขาจะต้องตัดสินตามที่หญิงม่ายเรียกร้อง แม้ว่าที่ทำไปนั้นไม่ใช่ทำไปเพราะถือตามหน้าที่ที่จะต้องตัดสินความก็ตาม แต่เกรงว่าเมื่อนางมาบ่อยๆ ก็จะทำให้เขารำคาญ เขาทนไม่ไหวแล้ว และถ้าหากปล่อยไปอีก เขาก็ยิ่งจะรำคาญมากขึ้นและอาจจะกลายเป็นโรคประสาทก็ได้
ฉันจะให้นางได้รับความยุติธรรม ที่สุดเขาก็ได้ตัดสินใจดำเนินคดีตามที่หญิงม่ายเรียกร้อง และพระอาจารย์เจ้าได้ตรัสว่า จงฟังสิ่งที่ผู้พิพากษาอสัตย์ธรรมได้กล่าวไว้เถิด พระเยซูเจ้าประยุกต์หรือสรุปอุปมา ถ้าหากว่ามนุษย์ที่ชั่วช้าสามานถึงเพียงนั้นยังไม่สามารถที่จะทนต่อความพากเพียรของหญิงม่ายได้ เราก็มั่นใจได้เลยว่าพระบิดาเจ้าผู้ที่มิใช่แต่ยุติธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้ประกอบด้วยความเมตตากรุณาจะทรงสดับฟังและสนองตอบคำภาวนาของเรา ถ้าหากเราเพียรหาพระองค์เสมอๆ ด้วยความไว้วางใจประสาลูกที่ภักดีต่อพระองค์
พระเป็นเจ้าจะไม่ทรงแก้แค้นแทนผู้เลือกสรรของพระองค์หรือ ผู้ที่ได้รับการเลือกสรร เป็นอีกชื่อหนึ่งที่ใช้แทนผู้ติดตามพระเยซูเจ้า นักบุญเปาโล มักจะเรียกว่า “นักบุญ” (เทียบ รม 1:7, 12:13) กล่าวคือ ผู้ที่พระเป็นเจ้าทรงเลือกสรรในพระธรรมใหม่ คำว่านักบุญในที่นี้ไม่ใช่หมายความว่า เขามีคุณธรรมอันสูงส่งเหมือนกับที่เราเข้าใจคำว่านักบุญทั่วๆ ไป แต่หมายความว่า เขาเป็นผู้ที่พระเป็นเจ้าได้ทรงเรียกให้ดำเนินชีวิตอย่างศักดิ์สิทธิ์ เขากำลังมุ่งไปสู่อาณาจักรสวรรค์ แต่เขาก็ต้องพยายามประพฤติตัวดี ด้วยความยำเกรงพระเป็นเจ้าเพื่อบรรลุถึงความรอด (ฟป 2:12) หมายความว่า บรรดาผู้ที่พระเป็นเจ้าทรงเลือกสรรจะต้องเข้ามาพึ่งพระเมตตาของพระเป็นเจ้าอีก และพระองค์จะทรงสดับฟังคำวิงวอนของเขา พระองค์จะแก้แค้นแทนเขาต่อสู้ศัตรู พระองค์ยังจะเมินเฉยต่อคำภาวนาของเขาหรือ เรากล่าวแก่ท่านว่าพระองค์จะโปรดตามที่เขาวอนขอทันที เป็นไปได้ที่พระองค์จะโปรดตามที่เขาภาวนาทันที แต่บางครั้งพระองค์ก็อาจจะรอเวลาก็ได้ ทั้งนี้ เพราะพระองค์ทรงทราบดีว่า พระองค์จะประทานพระคุณให้แก่เราเมื่อไรจึงจะบังเกิดผลประโยชน์ให้แก่เราอย่างแท้จริง สมมุติว่า พระองค์โปรดให้เราชนะการผจญทันทีทันใด ก็เท่ากับไม่มีการต่อสู้อะไรเลย เราทราบดีว่า ชีวิตคือการต่อสู้ และรางวัลจะเป็นของผู้ที่ชนะเท่านั้น การที่พระองค์ไม่สนองตอบทันที นั่นแหละเป็นส่วนหนึ่งของการตอบแล้ว และเป็นการสนองตอบที่ดีที่สุดตามกาละเทศะและถูกต้องทุกประการ
เมื่อบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมา คัมภีราจารย์หลายคนสงสัยว่าประโยคนี้เกี่ยวโยงกับอุปมาอย่างไร ทั้งนี้เพราะว่า บางทีเขาเข้าใจถึงการเสด็จมาครั้งที่สองตอนสิ้นพิภพก็เป็นได้ อย่างไรก็ดีประโยคนี้อาจจะหมายถึงการเสด็จเข้ามาเกี่ยวข้องกับมนุษย์ตอนไหนก็ได้ เพื่อแสดงพระเมตตาของพระองค์ต่อมนุษยชาติ ณ ที่นี้ จึงมีความหมายว่า พระเป็นเจ้าทรงสนองตอบคำภาวนาของผู้ที่ถูกเบียดเบียนเมื่อถึงเวลากำหนด
จะทรงพบความเชื่อบนโลกนี้หรือ “จะมีสักกี่คนที่วางใจในพระองค์” จะมีสักกี่คนที่ภาวนาโดยไม่หยุดหย่อน พระองค์ตรัสถามฝูงชน ไม่ใช่เป็นการตั้งปัญหาเพราะสงสัย แต่ว่าเป็นข้อสรุปจากอุปมา กล่าวคือ ทุกคนที่เชื่อว่าพระเป็นเจ้าทรงเป็นพระบิดาที่ทรงพระทัยเมตตากรุณาควรจะตอบว่า เราจะภาวนาโดยไม่หยุดหย่อน เพราะเราทราบว่าพระองค์จะเสด็จมาเกี่ยวข้องกับเราตามความเหมาะสม
คำสอน
มีคริสตชนที่ดีศรัทธามากมายที่ยอมรับว่าพระเป็นเจ้าปรีชาฉลาดหาขอบเขตมิได้ พระองค์ก็ทรงรอบรู้สารพัด และพระองค์ทรงมีพระทัยเมตตาปราณีต่อมนุษย์เป็นอย่างยิ่ง แม้พระองค์จะปฏิเสธคำภาวนาที่เราขอ เป็นต้นด้านวัตถุ เช่น การอยู่ดีกินดี สุขภาพสมบูรณ์ ฯลฯ แต่ก็พร้อมเสมอที่จะตั้งคำถามสารพัด เมื่อเราขอบางสิ่งบางอย่างทางด้านวิญญาณ และพระองค์ก็ไม่ได้ประทานให้ตามที่เราขอนั้น พวกเขามักจะถามว่า ทำไมวิญญาณที่ถวายตัวเพื่อรับใช้พระเป็นเจ้าแต่ผู้เดียวจะดิ้นรนต่อสู้กับการโจมตีของโลก เนื้อหนัง และปีศาจ ทำไมวิญญาณที่ซื่อสัตย์ต่อพระเป็นเจ้าบางดวงถึงต้องผจญในด้านความเชื่อ มีความสงสัยต่อพระญาณเอื้ออาทรของพระเป็นเจ้า มีความรู้สึกกลัวบาปจนเกินไป จนกระทั่งขาดความไว้วางใจต่อพระญาณเอื้ออาทรของพระเป็นเจ้า ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ ทั้งๆ ที่พระเป็นเจ้าก็สามรถที่จะช่วยเหลือพวกเขาให้พ้นอุปสรรคได้อย่างง่ายดาย
คำถามต่างๆ เหล่านี้มักจะเข้ามาในความคิดของเรา ทั้งนี้เพราะว่าเรามีสติปัญญาจำกัด เราเห็นเพียงส่วนใดส่วนหนึ่งของพรมผืนใหญ่ที่พระเป็นเจ้าเองกำลังทำสำหรับมนุษยชาติ เราต้องการรู้ ต้องการเข้าใจทันทีทันใดตอนใดตอนหนึ่งของพรม แต่พระเป็นเจ้าผู้ทรงล่วงรู้สารพัด พระองค์สนใจต่อพรมทั้งผืน เรากระตือรือร้นที่จะเก็บเกี่ยวผลที่เราได้หว่าน แต่ตามแผนการของพระเป็นเจ้า พระองค์เพียงแต่ให้เราทำหน้าที่หว่านอย่างเดียว หรือบางทีให้เราเตรียมดินสำหรับจะได้หว่านพืชเท่านั้น ส่วนการเก็บเกี่ยวนั้นเป็นหน้าที่ของผู้อื่น บางครั้งสิ่งที่เราคิดว่าเป็นการเสียเวลา เป็นการพ่ายแพ้ แต่ตามแผนการของพระเป็นเจ้าเป็นชัยชนะสำหรับเราในภายหลัง เราอาจจะพ่ายแพ้ในการรบบางครั้ง แต่เราจะชนะสงคราม ถ้าหากเราวางใจในพระญาณเอื้ออาทรของพระเป็นเจ้า เนื่องจากเราไม่มีความสามารถที่จะเห็นแผนการทั้งหมดที่พระเป็นเจ้าทรงจัดไว้สำหรับเรา พระองค์จึงทรงเน้นเสมอให้เรามีความพากเพียร เราจะต้องพยายามทำสิ่งที่เราสามารถจะทำได้ แม้ว่าดูคล้ายๆ กับพระเป็นเจ้าไม่สนพระทัยต่อเราเลย การทดลองไม่ว่าทางด้านจิตใจ หรือทางด้านวัตถุในชีวิตของเรา เป็นวิธีการที่พระเป็นเจ้าใช้อบรมเราให้เป็นพลเมืองที่ดีในอาณาจักรสวรรค์ของพระองค์ ถ้าหากเรายอมรับการทดลองหรือการผจญต่างๆ และเรายังคงมีความวางใจต่อพระทัยเมตตาและความรักของพระบิดาเจ้าที่มีต่อเรา วันหนึ่ง เราก็คงจะยอมรับว่าพระเป็นเจ้าทรงฟังคำภาวนาอันร้อนรนของเรา และพระองค์ทรงประทานพระคุณมากกว่าที่เราวอนขอเสียอีก ทั้งนี้ก็เพราะว่าพระองค์ทรงรักเรามากนั่นเอง
ตุลาการอธรรมได้ทำตามคำขอร้องของหญิงม่ายในที่สุด เพราะว่านางได้เพียรขอโดยไม่หยุดหย่อน พระเป็นเจ้าผู้ทรงยุติธรรมและทรงรักเราเป็นที่สุดจะสนองตอบคำภาวนาของเราเสมอ แต่ไม่ใช่ว่าพระองค์จะยกอุปสรรคที่คุกคามความก้าวหน้าของเราออกไป แต่ว่าพระองค์จะทรงประทานพละกำลังให้เราสามารถใช้อุปสรรคเหล่านั้นยกฐานะของเราให้สูงขึ้น และให้เราชนะและสมจะได้รับบำเหน็จที่พระองค์ได้ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับเราในสวรรค์ทั้งชั่วนิรันดร