4. ต้นมะเดื่อเทศไร้ผล (ลก 13:6-9, เทียบ มธ 21:19-20)
คำอธิบาย
ในพระวรสารตามคำเล่าของนักบุญลูกา 12:23-30 พระอาจารย์ได้ทรงเตือนชาวฟาริสีว่า การที่พวกเขาเป็นลูกหลานของอับราฮัมและเป็นประชากรที่พระเป็นเจ้าทรงเลือกสรร ซึ่งพวกเขาภาคภูมิใจเสมอนั้น ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะได้เข้าอาณาจักรสวรรค์โดยอัตโนมัติ พระเป็นเจ้าได้ทรงเลือกสรรอับราฮัมบิดาของประชากรของพระองค์ก็เพื่อให้เขาและลูกหลานเป็นกระบอกเสียงของพระเป็นเจ้า เขาจะต้องซื่อสัตย์ต่อพระองค์ก่อนแล้วจึงจะนำให้คนต่างชาติเข้ามาหาพระผู้กอบกู้ซึ่งพระเป็นเจ้าได้ทรงสัญญาไว้หลังจากที่บิดามารดาเดิมได้ตกในบาป
บรรดาประกาศกเรียกพระผู้ไถ่ว่าพระเมสสิยาห์ หมายถึงผู้ที่ถูกเจิม ซึ่งเป็นทั้งกษัตริย์ สงฆ์ และประกาศกของพระเป็นเจ้า แต่น่าเสียดายที่ชาวฟาริสีมักจะคิดถึงอภิสิทธิ์ของเขาเสมอ แต่ไม่ค่อยจะสนใจต่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากพระเป็นเจ้าเลย และในที่สุดแม้ว่าพระคริสตเจ้าได้เสด็จมาท่ามกลางพวกเขาแล้ว พวกเขาก็ยังไม่ยอมรับรู้พระองค์ ทั้งนี้ก็เพราะว่า พวกเขารอคอยพระผู้กอบกู้ทางด้านการเมือง สังคม และเศรษฐกิจมากกว่าทางด้านศาสนา ยิ่งกว่านั้นอีก พวกเขาได้มีส่วนร่วมในการประหารผู้กอบกู้ของพวกเขาเอง พระองค์จึงทรงเตือนพวกเขาให้สนใจทางด้านศาสนามากกว่าด้านทางโลก
ชายผู้หนึ่งปลูกต้นมะเดื่อเทศต้นหนึ่งในสวนองุ่นของตน มะเดื่อและองุ่นเป็นต้นไม้ที่มีคนปลูกกันมากในประเทศปาเลสไตน์และให้ผลดีพอสมควร ที่เขาปลูกมะเดื่อไว้ในสวนองุ่นมิใช่หวังผลอย่างเดียว แต่ว่าเพื่อให้กิ่งก้านและเถาองุ่นมีที่ยึดด้วย ทั้งองุ่นและมะเดื่อต้องการใส่ปุ๋ยพรวนดินเหมือนกัน เขาได้มาหาผลมะเดื่อ แต่ไม่พบเลย เจ้าของสวนได้ทำทุกอย่างเพื่อให้มะเดื่อออกผล แต่ก็ไร้ผล เขาจึงได้พูดถึงคนดูแลสวนองุ่นว่า ตลอด 3 ปี เขาไม่ได้เห็นผลเลย เจ้าของสวนได้อดทนและรอมาตั้ง 3 ปีแล้ว ตามปกติถ้าหากว่าต้นไม้ไม่มีผล 2 ปี ติดต่อกัน ชาวสวนก็จะโค่นลงแล้ว แต่ที่เขาได้เพียรทนถึง 3 ปี แต่ก็ยังไม่เห็นผลอีก
จงโค่นมันเสียเถิด เขาคิดว่าไม่ควรจะเก็บต้นมะเดื่อไว้อีกต่อไป เขาคิดจะปลูกใหม่ และคงจะได้ผลมากกว่า “นายครับ โปรดปล่อยไว้อีกปีเถิด จนกว่าผมจะพรวนดินและใส่ปุ๋ยให้มัน” เขาขอเวลาให้ต้นมะเดื่อ เขาจะเอาใจใส่เป็นพิเศษ
มันจะออกผลหรือไม่ บางทีมะเดื่อจะผลิดอกออกผลแล้วก็จะไม่ต้องถูกโค่น
ถ้าไม่ออกผล ท่านจะโค่นทิ้งเสียก็ได้ ถ้าหากปล่อยให้โอกาสสุดท้ายแล้วยังไม่เกิดผล มันก็จะต้องถูกทำลายอย่างแน่นอน
คำสอน
พระเยซูเจ้าทรงเล่าอุปมาเรื่องนี้สำหรับชาวฟาริสี และพวกเขาก็เข้าใจด้วย ประกาศกอิสยาห์ได้เปรียบเทียบอิสราเอลประชากรของพระเป็นเจ้ากับสวนองุ่นที่มีทั้งต้นมะเดื่อและองุ่นด้วย (อสย 5:1-17) พระเป็นเจ้าได้ทรงแสดงพระทัยเมตตาต่อพวกเขาหลายครั้งหลายหนในอดีต ที่จริงพระองค์น่าขจัดพวกเขาให้พ้นพระพักตร์ เพราะพวกเขายังคงใช้พระมตตาของพระองค์ในทางที่ผิด พวกเขาไม่ได้กลับใจอย่างแท้จริง นักบุญยอห์น บัปติสต์ ได้เตือนพวกเขาให้เลิกคุยอวดถึงอับราฮัมเสียที และลงมือทำกิจใช้โทษบาป ท่านนักบุญได้ใช้คำเปรียบเทียบเช่นเดียวกัน “บัดนี้ ขวานกำลังจ่ออยู่ที่รากของต้นไม้แล้ว ต้นไม้ต้นใดที่ไม่ออกผลดีจะถูกโค่นและโยนใส่ไฟ” (ลก 3:9) แต่พวกเขาก็ไม่สนใจต่อคำเทศน์ตักเตือนของยอห์นและไม่ได้กลับใจ พระเยซูเจ้าจึงได้ทรงเตือนพวกเขาอีกในอุปมาเรื่องนี้ว่า ถ้าหากเขาขืนดื้อรั้นต่อไป และยังไม่มีผลทางด้านวิญญาณแล้ว พระเป็นเจ้าก็จะหมดความเพียรกับพวกเขา แต่พระองค์เองก็เหมือนกับคนทำสวนองุ่นได้วิงวอนประวิงเวลาเพื่อเขา เพื่อเขาจะได้ใช้โอกาสครั้งสุดท้ายนี้ซึ่งมีเวลาอีกเพียงปีเดียวที่พวกเขาจะต้องผลิดอกออกผลทางด้านวิญญาณ กล่าวคือการกลับใจขอสมาโทษจากพระเป็นเจ้าและคืนดีกับพระองค์ เขาได้ใช้โอกาสสุดท้ายที่พระเมตตาของพระเป็นเจ้าได้ประทานให้พวกเขาอย่างไร อุปมาไม่ได้ตอบคำถามนี้ เพราะว่าตอนที่พระเยซูเจ้าตรัสเล่าอุปมาเรื่องนี้ เราไม่ทราบว่าเรื่องจะลงเอยอย่างไร ขึ้นอยู่กับการตัดสินของชาวฟาริสี แต่ว่าจากประวัติศาสตร์ เราก็ทราบได้ว่ามีฟาริสีบางคนได้กลับใจหันมาหาพระเยซูเจ้าหลังจากที่พระองค์เสด็จกลับคืนพระชนมชีพ แต่ส่วนใหญ่ยังเป็นปฏิปักษ์กับพระองค์อยู่ พวกเขาก็เป็นเหมือนคล้ายๆ กับกาอิน “จะต้องเร่ร่อนหลบหนีไปบนแผ่นดิน” (ปฐก 4:12)
ในอุปมาเรื่องนี้เราเห็นว่ามีคำสอนหลายๆ ข้อที่มีประโยชน์ต่อเรา สำหรับคนบาปที่ดื้อรั้นไม่ยอมกลับใจ อุปมาก็เตือนเขาว่า แม้ว่าพระเมตตาของพระเป็นเจ้าจะไม่มีขอบเขต ไม่มีที่สิ้นสุดก็ตาม แต่ว่าชีวิตของคนบาปในโลกนี้จะมีวันที่จะจบสิ้น เพราะฉะนั้น เวลาที่เขาจะกลับใจนั้นมีจำกัดด้วย ถ้าหากเขายังคงต่อสู้กับพระหรรษทานของพระเป็นเจ้าในการเรียกให้เขากลับใจมาหาพระองค์อีกต่อไป เขาอาจจะตายโดยที่ไม่ได้รับพระเมตตาจากพระได้ เขาก็จะเหมือนกับเศรษฐีในอุปมา ซึ่งกว่าจะรู้ตัวว่าโง่เขลาเบาปัญญาก็สายไปเสียแล้ว เป็นความจริงที่ว่า พระเป็นเจ้าทรงพระเมตตาต่อคนบาป และพระองค์ก็ส่งผู้แทนของพระองค์มาเทศน์เตือนเสมอ และไม่มีใครเลยที่จะต้องโทษและสูญเสียความสุขทั้งชั่วนิรันดรโดยที่ตัวเองไม่รู้เรื่อง ที่เขาจะต้องโทษเพราะว่าเขาไม่อยากกลับใจขอสมาโทษจากพระเป็นเจ้า การตักเตือนของพระเป็นเจ้าอาจจะเป็นมาโดยหลายวิธีด้วยกันตามกาละเทศะ วิบากกรรมแก่คนบาปถ้าหากเขายังไม่สนใจต่อพระสุรเสียงของพระองค์ เหมือนกับต้นไม้ในอุปมา บางทีขณะนี้เป็นโอกาสสุดท้ายแล้วสำหรับเราก็เป็นได้ บาปของเราอาจจะมากมายก่ายกอง จนเพียงพอที่พระเป็นเจ้าจะจัดการกับเราได้แล้ว และชีวิตของเราก็ใกล้ฝั่งแล้วใครจะไปรู้ ถึงกระนั้นพระเป็นเจ้าผู้ทรงพระทัยดียังเปิดโอกาสให้เราคืนดีกับพระองค์เป็นครั้งสุดท้าย เรามีอิสระที่จะรับหรือปฏิเสธคำเชื้อเชิญของพระองค์ พระเป็นเจ้าไม่ทรงพระประสงค์ที่จะบังคับน้ำใจของมนุษย์ และเราก็ทราบด้วยว่า ชีวิตนิรันดรสุขหรือทุกข์นั้นขึ้นอยู่กับการตัดสินของเรา คำสอนที่สำคัญอีกข้อหนึ่งจากอุปมา ซึ่งผู้ติดตามพระเยซูเจ้าจะต้องจดจำไว้ก็คือ เขามีหน้าที่ไม่ใช่แต่เพียงพร้อมที่จะอภัยโทษให้แก่ศัตรูหรือคนบาปเท่านั้น แต่ว่าเขาจะต้องภาวนาขอพระเป็นเจ้าได้ทรงอภัยบาปให้แก่คนบาปด้วย พระอาจารย์เจ้าของเรา ซึ่งเปรียบเหมือนกับคนทำสวนองุ่นได้ขอเวลาสำหรับมะเดื่อที่ไร้ผลและน่าจะต้องถูกโค่นต้นนั้น ซึ่งเปรียบเหมือนกับชาวฟาริสี ชาวฟาริสีนี้เป็นศัตรูที่ร้ายกาจ ตั้งใจที่จะกำจัดพระองค์และอาณาจักรสวรรค์ของพระองค์ ถึงกระนั้นก็ดี พระองค์ก็ได้ทรงวอนขอพระบิดาเจ้าเพื่อให้โอกาสพวกเขาอีกครั้งหนึ่ง แม้พระองค์จะทรงทราบล่วงหน้าว่า ความจองหองที่ดื้อรั้นของเขาจะทำให้พวกเขาต้องกระทำความผิดที่สาหัสที่สุดโดยการตรึงพระองค์บนไม้กางเขน ถึงกระนั้นก็ดี พระองค์ก็ยังทรงตักเตือนเขาและเปิดโอกาสให้พวกเขาได้กลับใจ นี่แหละเป็นสิ่งที่พระเป็นเจ้าทรงพระประสงค์ให้สานุศิษย์ของพระองค์ซึ่งเป็นคริสตชนทุกคนปฏิบัติตามเรา ทุกคนยอมรับจากประสบการณ์ว่า การเอาแบบฉบับของพระเยซูคริสตเจ้าในเรื่องนี้ไม่ใช่ของง่ายเลย และเราก็ทราบว่ามีน้อยคนเหลือเกินที่พยายามปฏิบัติตามที่พระอาจารย์เจ้าได้ปฏิบัติมาแล้ว มิฉะนั้น ประชาชาติและเพื่อนมนุษย์ของเราคงจะไม่มีการแบ่งแยกและขัดแย้งกันถึงขนาดนี้ ความรักประสาพี่น้องไม่ใช่แต่เย็นชาลงเท่านั้น แต่สำหรับหลายๆ คนไม่เคยมีด้วยซ้ำไป กฎตาต่อตาและฟันต่อฟัน ยังคงมีอิทธิพลเหนือกฎแห่งความรักแม้ในขณะนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเศร้าจริงๆ ตราบใดที่สังคมยังไม่ยอมรับพระเป็นเจ้า เราจะไม่มีโอกาสพบความรักฉันท์พี่น้องอย่างแท้จริง ทั้งนี้ก็เพราะว่า การอภัยความผิดให้แก่ศัตรู และการวอนขออภัยโทษจากพระเป็นเจ้าเพื่อความผิดของศัตรู ไม่ใช่เป็นเพียงกิจการของมนุษย์เท่านั้น แต่เป็นงานของพระหรรษทานด้วย และของความเชื่อเหนือธรรมชาติต่อชีวิตนิรันดร คนในสมัยนี้จำนวนมากมายจึงไม่เคยที่จะภาวนาให้ศัตรู และร้ายกว่านั้นอีก หลายคนไม่ยอมแม้แต่อภัยความผิดให้แก่ศัตรู แถมยังหาทางแก้แค้นศัตรูอีกด้วย สาเหตุก็คือว่า สำหรับหลายๆ คน เขาเป็นเพียงคริสตชนแต่ชื่อเท่านั้น เขาไม่ได้บำเพ็ญตนเป็นคริสตชนที่ดี การที่เราจะรับความจริงหรือข้อความเชื่อทางศาสนาทางด้านทฤษฎีนั้นไม่เป็นการเพียงพอเลย ที่จะทำให้เราเป็นศิษย์ของพระคริสตเจ้า เราจะเป็นคริสตชนที่แท้จริงได้ก็ต่อเมื่อเราดำรงชีวิตตามความเชื่อของเรา และในการดำรงชีวิตนั่นแหละ หลายๆ ครั้ง เราก็เห็นว่าเรามีความอ่อนแอ มีความเห็นแก่ตัว เฉพาะพระพักตร์พระเป็นเจ้า ทำให้เราสามารถเข้าใจถึงความอ่อนแอ และความผิดพลาดของพี่น้องของเรา และพร้อมที่จะอภัยโทษให้แก่เขา การที่เรามีประสบการณ์ในชีวิตว่า พระเป็นเจ้าทรงมีพระทัยเมตตาปราณีเป็นพิเศษต่อเรา ก็ทำให้เราตระหนักดีว่า เราจำจะต้องแสดงเมตตาจิตต่อพี่น้องร่วมโลกของเราด้วย ให้เราพยายามที่จะเป็นผู้ที่มีใจเมตตากรุณาเหมือนกับพระบิดาเจ้าสวรรค์ ผู้ทรงพระทัยเมตตากรุณา เพื่อจะเป็นเช่นนั้นได้ เราต้องการพระหรรษทานหรือความช่วยเหลือจากพระเป็นเจ้าซึ่งเราจะได้รับจากการดำรงชีวิตเป็นคริสตชนที่ดี โดยพยายามคิดถึงถิ่นฐานที่แท้จริงของเรา กล่าวคือเมืองสวรรค์ และมนุษย์ทุกคนต่างก็เป็นบุตรของพระเป็นเจ้า และเป็นพี่น้องของเรา และพวกเขาก็กำลังเดินทางไปสวรรค์ด้วย เราจำจะต้องช่วยพวกเขาด้วย เราทุกคนยอมรับว่าเราอ่อนแอ เราพลาดพลั้ง หลายต่อหลายครั้งในการเดินทางไปสวรรค์และเราต้องการความช่วยเหลือจากพระเป็นเจ้าด้วยกันทุกคน พระองค์จะช่วยเรามากน้อยเพียงไรขึ้นอยู่กับความใจกว้างของเราต่อเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก ท่านตวงให้เขาอย่างไร เขาก็จะตวงให้ท่านอย่างนั้น (มก 4:24) พระองค์จะประทานรางวัลเป็นพิเศษสำหรับผู้ที่แสดงความรักต่อเพื่อนมนุษย์ พระองค์จะประทานรางวัลเป็นพิเศษสำหรับผู้ที่มีใจกว้างขวางไม่เห็นแก่ตัว พร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือแก่ศัตรู นี่แหละคือความรักต่อพระเป็นเจ้าและต่อเพื่อนมนุษย์อย่างแท้จริง และเพราะเหตุนี้แหละ พระองค์จึงได้ทรงกระทำต่อชาวฟาริสี ศัตรูที่ร้ายกาจของพระองค์ และได้ทรงภาวนาให้แก่พวกเพชฌฆาตของพระองค์