บทนำ
บุตรคนเล็ก บุตรคนโต และบิดา
ในปีถัดจากที่ผมได้ค้นพบภาพวาดเรื่องลูกล้างผลาญนี้ มีขั้นตอน 3 ประการในหนทางฝ่ายจิตของผม ซึ่งช่วยให้ผมได้พบโครงสร้างเรื่องราวเหล่านี้
ขั้นแรกคือประสบการณ์ของผมในการเป็นบุตรคนเล็ก การสอนในมหาวิทยาลัยเป็นเวลาหลายปี และการทำงานต่อสู้เรื่องต่างๆ ในอเมริกากลางและอเมริกาใต้ ทำให้ผมรู้สึกเหมือนหายไป ผมเดินทางมามาก ได้พบผู้คนที่มีความคิดหลากหลายและมีรูปแบบชีวิตแตกต่างกัน นอกจากนี้ผมยังเป็นสมาชิกของหลายองค์กร แต่สุดท้ายผมรู้สึกคิดถึงบ้านและเหนื่อยมาก เมื่อผมได้เห็นภาพที่บิดาสัมผัสไหล่บุตรคนเล็กอย่างอ่อนโยนและกอดเขาไว้แนบอก ผมรู้สึกลึกๆ ว่าผมเป็นบุตรที่หายไปคนนั้น และต้องการกลับมาบ้านอย่างที่เขาได้ทำ และได้รับการโอบกอดแบบเดียวกับเขา นานมาแล้วที่ผมเห็นตัวเองเป็นลูกล้างผลาญที่กำลังเดินทางกลับบ้าน และผมก็จินตนาการตอนที่ผมได้รับการต้อนรับจากบิดา
แต่แล้ว ความคิดของผมก็เปลี่ยนไปอย่างนึกไม่ถึง เวลา 1 ปีในฝรั่งเศส และการได้เห็นภาพวาดที่เฮอร์มิเทจในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กนั้น ทำให้ความรู้สึกสิ้นหวังที่ผมมีเหมือนบุตรคนเล็กหมดไป ผมตัดสินใจไปที่เดย์เบรค ในโตรอนโต ด้วยความรู้สึกมั่นใจมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
ขั้นที่สองในการเดินทางฝ่ายจิตของผมเริ่มต้นในตอนเย็นวันหนึ่ง เมื่อผมได้พูดคุยเรื่องภาพวาดของเรมแบรนท์กับบาร์ท กาวิแกน (Bart Gavigan) เพื่อนชาวอังกฤษ ซึ่งรู้จักผมดีตั้งแต่ปีที่แล้ว ขณะที่ผมอธิบายกับบาร์ทว่าผมเหมือนบุตรคนเล็กมากแค่ไหน เขาจ้องผมแล้วพูดว่า “ผมสงสัยว่าคุณน่าจะเหมือนบุตรคนโตมากกว่านะ” คำพูดนี่เองได้เปิดความคิดใหม่ให้ผม
จริงๆ แล้ว ผมไม่เคยมองตัวเองว่าเป็นบุตรคนโตเลย แต่เมื่อบาร์ทได้เปรียบเทียบให้ฟังอย่างนั้น ผมก็เกิดความคิดต่างๆ มากมาย เริ่มต้นจากข้อเท็จจริงง่ายๆ ว่า ผมเป็นบุตรคนโตในครอบครัว ผมเป็นลูกที่ว่านอนสอนง่าย ผมต้องการเป็นพระสงฆ์ตั้งแต่อายุ 6 ขวบ และไม่เคยเปลี่ยนความคิดเลย ผมรับศีลล้างบาป ศีลกำลัง และศีลบรรพชาในวัดเดียวกัน ผมนบนอบเชื่อฟังบิดามารดา ครูบาอาจารย์ พระสังฆราช และพระเจ้าเสมอ ผมไม่เคยหนีออกจากบ้าน ไม่เคยเสียเงินและเสียเวลากับสิ่งยั่วยวนทั้งหลาย และไม่เคยตกเป็นทาสของสุราหรือยาเสพติดใดๆ ตลอดชีวิตผมเป็นคนที่รับผิดชอบมาก ซื่อสัตย์ต่อธรรมประเพณีอันดีงาม อย่างไรก็ตาม ผมอาจจะหลงไปบ้างเหมือนบุตรคนเล็ก ดังนั้น ผมจึงมองตัวเองแบบใหม่ ผมพบว่าผมขี้อิจฉา ขี้โมโห น้อยใจ ดื้อรั้น ไม่ค่อยมีอารมณ์ขัน และยิ่งกว่านั้น ผมคิดว่าตัวเองเป็นคนชอบธรรม ผมเห็นว่าตัวเองเป็นคนชอบบ่นว่า วิธีคิดและความรู้สึกของผมก็มีแต่ความขุ่นเคือง มีช่วงหนึ่งที่ผมคิดว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่ผมจะเป็นบุตรคนเล็ก ผมต้องเป็นบุตรคนโตอย่างแน่นอน แต่เป็นคนที่หายไปเหมือนน้องชายด้วย แม้ว่าผมได้ “อยู่บ้าน” มาตลอดชีวิตก็ตาม
ผมทำงานอย่างหนักในทุ่งนาของพ่อผม แต่ผมไม่เคยลิ้มรสความชื่นชมยินดีที่ได้อยู่บ้าน แทนที่ผมจะรู้สึกขอบคุณในอภิสิทธิ์ที่ได้รับ ผมกลับเป็นคนที่ขุ่นเคืองมาก อิจฉาน้องๆ ที่กล้าเสี่ยงออกไป และได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากพ่อเมื่อกลับมา ในช่วงหนึ่งปีครึ่งแรกที่เดย์เบรค คำกล่าวของบาร์ทยังคงนำชีวิตภายในของผม
ยังมีเรื่องอื่นอีก ในช่วงหลายเดือนหลังจากงานฉลองครบรอบ 30 ปีแห่งการเป็นพระสงฆ์ของผม ผมค่อยๆ จมอยู่ในความมืดภายในจิตใจ และเริ่มมรู้สึกถึงความทุกข์ทรมานภายใน จนกระทั่งผมรู้สึกไม่มั่นคงในคณะของผมเอง ผมจำเป็นต้องออกจากบ้านและแสวงหาความช่วยเหลือเพื่อต่อสู้และทำงานรักษาชีวิต ภายในของผม หนังสือ 2-3 เล่มที่ผมเอาไปด้วยเป็นเรื่องเกี่ยวกับเรมแบรนท์และคำอุปมาเรื่องลูกล้างผลาญ เมื่อผมได้อยู่ในสถานที่ห่างไกลจากเพื่อนๆ และหมู่คณะ ผมได้รับความบรรเทาใจอย่างมาก จากการอ่านชีวิตที่ทุกข์ทรมานของจิตรกรชาวฮอลแลนด์ผู้ยิ่งใหญ่ และได้เรียนรู้ว่าหนทางแห่งความทุกข์นั้นชักนำให้เขาวาดผลงานอันงดงามนี้อย่างไร
ผมใช้เวลาหลายชั่วโมงมองดูลายเส้นและผืนผ้าใบที่เขาได้สร้างขึ้นมาท่ามกลางความทุกข์ ความผิดหวังและความเศร้าโศก และผมก็เข้าใจว่าภาพชายชราตาเกือบบอดที่โอบกอดบุตรของตน ด้วยความเมตตาสงสารและให้อภัยทุกสิ่งนั้น ออกมาจากปลายพู่กันของจิตรกรผู้นี้ได้อย่างไร “จำเป็นที่จิตรกรต้องผ่านความตายมามากมายและหลั่งน้ำตามามาก เพื่อที่จะสามารถวาดภาพพระเจ้าผู้สุภาพอ่อนโยนเช่นนี้ได้”
ช่วงเวลาแห่งความทุกข์ทรมานภายในนี้เองที่เพื่อนคนหนึ่งมาพูดสิ่งที่ผมอยากจะได้ยินมากที่สุด ซึ่งเป็นการเริ่มขั้นที่สามของการเดินทางฝ่ายจิตของผม ซู โมสเทลเลอร์ (Sue Mosteller) ซึ่งอยู่ที่เดย์เบรค ในช่วงต้นปี 1970 และเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญที่ทำให้ผมได้มาที่ลาคช์ เธอช่วยเหลือสนับสนุนผมเมื่อสถานการณ์ยากลำบากมากขึ้น และให้กำลังใจผมในการต่อสู้เพื่อเอาชนะความทุกข์ทรมาน เพื่อผมจะได้มีอิสระภายในที่แท้จริง เมื่อเธอมาเยี่ยมที่ “เฮอร์มิเทจ” ของผม และพูดเรื่องลูกล้างผลาญ เธอบอกว่า “ไม่ว่าคุณจะเป็นบุตรคนเล็กหรือบุตรคนโตนั้นไม่สำคัญ แต่คุณต้องตระหนักว่าคุณถูกเรียกให้มาเป็นบิดา”
คำพูดของเธอมีผลเหมือนระเบิดลง เพราะตั้งแต่ผมได้ใช้เวลาอยู่กับภาพวาดและมองดูชายชราโอบกอดบุตรของเขา ผมไม่เคยคิดเลยว่าตัวบิดานั้นชี้ให้ผมเห็นกระแสเรียกในชีวิตผมได้ดีที่สุด
ซูไม่ได้ให้โอกาสผมโต้แย้ง เธอบอกผมว่า “คุณแสวงหาเพื่อนมาตลอดชีวิต ตั้งแต่ฉันได้รู้จักคุณคุณก็แสวงหาความรัก คุณสนใจสิ่งต่างๆ มากมาย คุณอยากให้ผู้คนสนใจ เห็นคุณค่าและยอมรับ ถึงเวลาแล้วที่คุณจะค้นพบกระแสเรียกที่แท้จริงของคุณ คุณเป็นบิดาผู้ต้อนรับบุตรกลับบ้านโดยไม่ตั้งคำถามใดๆ และไม่เรียกร้องสิ่งตอบแทนใดๆ จากเขา มองดูบิดาในภาพซิ และคุณจะรู้ว่าคุณได้รับเรียกให้เป็นใคร พวกเราที่เดย์เบรคและผู้คนส่วนใหญ่รอบข้างคุณ ไม่ได้ต้องการให้คุณเป็นเพื่อนที่ดีหรือเป็นพี่ชายที่น่ารัก แต่พวกเราต้องการให้คุณเป็นพ่อที่เปี่ยมด้วยความรักความเมตตา”
เวลาที่มองดูชายชราเครายาวสวมเสื้อคลุมสีแดง ผมรู้สึกต่อต้านในใจอยู่ลึกๆ ที่จะเห็นตนเองมีลักษณะเหมือนเขา ผมรู้สึกพร้อมมากกว่าที่จะเป็นเหมือนลูกล้างผลาญ หรือเป็นบุตรคนโตที่มีแตความขุ่นเคือง แต่ความคิดที่จะเป็นเหมือนบิดา ซึ่งไม่มีอะไรต้องสูญเสียอีกแล้ว เพราะเขาได้สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง เขามีแต่ให้เท่านั้น ความคิดเช่นนี้ทำให้ผมรู้สึกกลัว อย่างไรก็ตาม เรมแบรนท์เสียชีวิตเมื่ออายุ 63 ปี และผมก็มีอายุใกล้เคียงเทมากกว่าอายุของบุตรทั้งสอง เรมแบรนท์พร้อมที่จะวางตนเป็นบิดา แล้วทำไมผมจะเป็นไม่ได้ล่ะ?
เวลาผ่านไปหนึ่งปีครึ่ง ตั้งแต่ซูได้ตั้งคำถามท้าทายผม ผมเริ่มยอมรับความเป็นบิดาฝ่ายจิตของตน เป็นการต่อสู้ที่ยากลำบากและดำเนินไปอย่างช้าๆ บางครั้งผมยังรู้สึกอยากเป็นบุตรอยู่ตลอดไป โดยไม่ต้องแก่แต่ผมก็ได้สัมผัสถึงความยินดีอันยิ่งใหญ่ ในการต้อนรับบุตรกลับบ้าน และวางมือของผมบนตัวเขาด้วยท่าทีที่ให้อภัยและอวยพรด้วยเช่นกัน ผมค่อยเข้าใจว่าการเป็นพ่อผู้ไม่ตั้งคำถามใดๆ แต่ต้องการเพียงแค่ต้อนรับบุตรของตนกลับบ้านเท่านั้นมีความหมายอย่างไร
ประสบการณ์ของผมตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็นภาพวาดของ เรมแบรนท์นั้น ไม่เพียงแค่ดลใจให้ผมเขียนหนังสือเล่มนี้เท่านั้น แต่ยังเสนอโครงเรื่องทั้งหมดให้อีกด้วย ก่อนอื่น ผมจะแบ่งปันความคิดของผมเรื่องบุตรคนเล็ก แล้วก็บุตรคนโต และที่สุดก็บิดา เพราะจริงๆ แล้ว ผมเป็นทั้งบุตรคนเล็ก บุตรคนโต และผมกำลังเดินทางสู่ความเป็นบิดา ผมภาวนาเพื่อคุณที่จะมาแบ่งปันหนทางชีวิตจิตร่วมกับผม เพื่อว่าคุณจะได้ค้นพบในตัวคุณเองว่า คุณไม่ได้เป็นเพียงแค่บุตรที่หายไปของพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังมีพระเจ้าผู้กรุณาซึ่งเป็นทั้งบิดามารดาอยู่ในตัวคุณด้วย