17. พระเจ้าทรงห่วงใยประชากรของพระองค์
จากทะเลต้นกก เดินทางเข้าไปสู่ถิ่นทุรกันดารชูร์ เขาเดินทางในถิ่นทุรกันดารเป็นเวลาสามวันก็ไม่พบน้ำ เมื่อเขามาถึงมาราห์ เขาไม่อาจดื่มน้ำที่มาราห์ได้ เพราะน้ำนั้นขม เพราะเหตุนี้บ่อน้ำที่นั่นจึงมีชื่อว่ามาราห์ ประชากรก็บ่นว่าโมเสสว่า “เราจะดื่มอะไรเล่า” โมเสสอ้อนวอนองค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงชี้ให้เขาเห็นท่อนไม้ท่อนหนึ่ง เขาจึงโยนท่อนไม้นั้นลงไปในน้ำ น้ำนั้นก็หายขมและสามารถดับความกระหายของพวกเขา
ชุมชนชาวอิสราเอลต่างต่อว่าโมเสสและอาโรนในถิ่นทุรกันดาร ชาว อิสราเอลพูดกับเขาทั้งสองว่า “พระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าประหารพวกเราในแผ่นดินอียิปต์เมื่อนั่งอยู่ รอบหม้อเนื้อและกินอิ่มยังดีกว่าที่ท่านพาพวกเราออกมาในถิ่นทุรกันดารนี้ เพื่อให้พวกเราทุกคนอดตาย” องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสแก่โมเสสว่า “ดูซิ เราจะบันดาลให้มีอาหารตกลงมาจากฟ้าเหมือนฝนให้ท่านทั้งหลายกิน ทุกวันประชากรต้องออกไปเก็บอาหารให้พอกินในวันนั้น” เย็นวันนั้น ฝูงนกคุ่มบินมาจนเต็มค่าย ในเวลาเช้ามีน้ำค้างแผ่อยู่ทั่วไปรอบค่ายพัก เมื่อน้ำค้างระเหยแล้ว ก็เห็นมีเกล็ดเป็นเม็ดเล็ก ๆ บนผิวดินในถิ่นทุรกันดาร เหมือนน้ำค้างที่จับแข็ง ชาวอิสราเอลเรียกอาหารนั้นว่า “มานนา” มีลักษณะเหมือนเมล็ดผักชีสีขาว รสเหมือนกับขนมปังกรอบผสมน้ำผึ้ง ทุกคนมารวมตัวกันและทุกคนก็มีอาหารอย่างพอเพียง และมิใช่เพียงแต่วันนั้นเท่านั้น แต่ทุกๆ วันตลอดสี่สิบปีที่ชาวอิสราเอลต้องมีชีวิตอยู่ในถิ่นทุรกันดารนั้น พระเจ้าประทานมานนาและเนื้อให้กับพวกเขาตลอดเวลา
นับแต่นั้นมาพ่อแม่ก็บอกลูกหลานของตนว่า พระเจ้ามีความห่วงใยชนชาติของเขาอย่างไร และพระองค์ก็ยังมีความห่วงใยจนตราบเท่าทุกวันนี้ ด้วยเหตุนี้ มนุษย์ทุกคนควรจะได้เรียนรู้ว่าเขาสามารถไว้วางใจพระเจ้าได้ และเชื่อใจในความช่วยเหลือของพระองค์ (อพย 15 : 22 – 16 : 36)