แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

119519a80871e02c02c4033ac9284ad2

จากเทศกาลมหาพรต สู่พิธีกรรมสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์

 

ในการแข่งขันวิ่งระยะไกล ที่ต้องวิ่งหลาย ๆ รอบ เมื่อวิ่งมาถึงรอบสุดท้าย จะมีเสียงกระดิ่ง หรือเสียงระฆังให้สัญญาณกับนักวิ่ง เพื่อเตือนให้รู้ว่าถึงรอบสุดท้ายแล้ว ใกล้จะถึงเส้นชัยแล้ว หากอยากจะเป็นผู้ชนะ หรืออยากจะไปให้ถึงเส้นชัย คงจะต้องเพิ่มความเร็ว  ไม่ล้ม และก็ไม่หยุดวิ่งซะก่อน

 

เป้าหมาย หรือเส้นชัยของเทศกาลมหาพรต ก็คือ “การฉลองปัสกา” ซึ่งเป็นวันฉลองที่สำคัญที่สุดสำหรับคริสตชน มีสัญญาณ หรือสัญลักษณ์ในพิธีกรรมที่จะเตือนเราเช่นกัน ว่า “โค้งสุดท้าย” ของเทศกาลมหาพรตมาถึงแล้ว

  

โค้งสุดท้ายที่ว่านี้ (the last phase of Lent) เริ่มตั้งแต่ วันอาทิตย์สัปดาห์ที่ 5 ของเทศกาลมหาพรต ที่เคยเรียกว่า “วาระแห่งการระลึกถึงพระมหาทรมานฯ” (Passiontide)  มีความพิเศษเกิดขึ้น 2 ประการในวันนี้ ก็คือ ใน “บทนำขอบพระคุณ” (บทภาวนาของพระสงฆ์ก่อนบทเสกศีล) จะใช้บทนำขอบพระคุณ “พระคริสตเจ้าทรงรับทรมาน แบบที่ 1”  และจะใช้บทนี้ไปตลอดทั้งสัปดาห์ ความพิเศษประการที่สองก็คือ มีธรรมเนียมดั้งเดิมที่วันนี้จะเริ่มคลุมรูปไม้กางเขน รูปพระ และรูปนักบุญต่างๆ ด้วยผ้าสีม่วง (หรือถ้าไม่คลุมผ้าในวันนี้ ก็อาจจะคลุมในคืนวันพฤหัสศักดิ์สิทธิ์หลังจากเสร็จพิธีต่างๆ แล้วก็ได้) การคลุมผ้าก็เป็นอีกเครื่องหมายหนึ่งที่ช่วยเราให้มุ่งตรงสู่การรำพึงถึงพระมหาทรมานของพระคริสตเจ้า

 

ผ่านจากสัปดาห์ที่ 5 ของเทศกาลมหาพรต ก็เข้าสู่สัปดาห์สุดท้าย ที่เรียกว่า  “สัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์” วันนี้เราระลึกการเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มอย่างสง่าของพระเยซูคริสตเจ้า  มีการเสกใบลานที่เราแต่ละคนถืออยู่ในมือ (เหมือนกับที่ชาวยิวถือกิ่งมะกอกรับเสด็จพระเยซูเจ้า)  โดยมีพระสงฆ์สวมอาภรณ์สีแดง ที่นอกจากจะเป็นสีแห่งมรณสักขีแล้ว (ซึ่งพระเยซูเจ้าทรงเป็นแบบอย่างของการมอบชีวิต) ยังหมายถึงสีของกษัตริย์ เดินนำขบวนสัตบุรุษเข้าสู่พระวิหารของพระเจ้า

 

วันนี้ เรายังจะได้ฟังบทพระมหาทรมาน ที่มีการบ้านให้เรานำกลับไปรำพึงต่อเนื่องในวันจันทร์ศักดิ์สิทธิ์ อังคารศักดิ์สิทธิ์ และพุธศักดิ์สิทธิ์

 

พอถึงวันพฤหัสศักดิ์สิทธิ์ ที่อาสนวิหารจะถูกจัดเตรียมไว้อย่างดี เพื่อการประกอบพิธีกรรมที่สำคัญ นั่นก็คือ “มิสซาเสกน้ำมันศักดิ์สิทธิ์” วันนี้ เราจะเห็นภาพและความหมายสำคัญของ “สหบูชามิสซา” ที่พระสังฆราชและพระสงฆ์ จะถวายมิสซาร่วมกัน พร้อมกับมี  “พิธีรื้อฟื้นคำสัญญาแห่งการเป็นพระสงฆ์”

 

ไม่เพียงเท่านี้ ในตอนท้ายของพิธีดังกล่าว พระสังฆราชเองจะแสดงถึงความต่ำต้อย  ขอให้บรรดาพระสงฆ์ นักบวช และมวลประชาสัตบุรุษทุกคนได้ภาวนาเพื่อท่าน เพื่อให้ชีวิตของท่านเองเป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนถึงชีวิตของพระคริสตเจ้า ผู้พร้อมจะรับใช้ทุก ๆ คน 

 

ยังมี “พิธีเสกน้ำมันศักดิ์สิทธิ์” ที่พระสังฆราช (พร้อมกับพระสงฆ์) จะเสก และพระสงฆ์จะนำกลับไปที่วัดเพื่อใช้สำหรับอภิบาลศีลศักดิ์สิทธิ์แก่บรรดาสัตบุรุษ คือน้ำมันคริสมา น้ำมันสำหรับคนไข้ และน้ำมันสำหรับผู้เตรียมตัวเป็นคริสตชน จึงเป็นโอกาสดียิ่งที่พิธีบูชาขอบพระคุณในตอนเช้าของวันพฤหัสนี้ จะมีบรรดานักบวช สัตบุรุษ นักเรียนคำสอน  และผู้เตรียมตัวรับศีลล้างบาป อยู่ร่วมในพิธีนี้ เพราะไม่เพียงแต่จะช่วยให้เข้าใจความหมาย และความสำคัญของน้ำมันต่าง ๆ แล้ว ภาพของพระศาสนจักรก็จะปรากฏเด่นชัดอีกวันหนึ่งภายในอาสนวิหารของสังฆมณฑลของเรา

 

ในวันเดียวกัน เมื่อพระอาทิตย์ตกดินแล้ว วัดแต่ละแห่งก็เตรียมพร้อมสำหรับมิสซาระลึกถึงการเลี้ยงของพระคริสตเจ้า เป็นการเริ่ม “ตรีวารปัสกา” ที่ไม่ได้มีความหมายแค่เพียงการเตรียมฉลองปัสกาเท่านั้น แต่เป็นการฉลอง “ธรรมล้ำลึกปัสกา” (การทรมาน  สิ้นพระชนม์ และกลับคืนพระชนมชีพฯ) อย่างต่อเนื่อง 3 วัน  

 

มิสซาค่ำวันนี้ยังระลึกถึงการตั้งศีลมหาสนิท (พิธีมิสซา) และศีลบวช อีกทั้งจะเน้นย้ำคำสอนของพระอาจารย์เจ้าเรื่อง “บทบัญญัติแห่งความรัก” ที่แสดงออกด้วยกิจการดังตัวอย่าง “การล้างเท้าอัครสาวก” ในค่ำคืนวันนี้ ยังมีการอัญเชิญศีลไปยังที่พักศีล ให้เราได้เฝ้าศีลมหาสนิท ใกล้ชิดกับพระองค์เป็นพิเศษ ทั้งโดยส่วนตัวและกับหมู่คณะที่จัดเป็นกลุ่ม มีช่วงเวลาที่ระบุไว้ชัดเจน  

 

หากสังเกต จะพบว่าในคืนวันนี้บนพระแท่นที่เคยมีผ้าปูแท่น มีเทียน มีไม้กางเขน  จะเหลือเพียงพระแท่นที่ว่างเปล่าต่อเนื่องไปถึงพิธีในวันรุ่งขึ้น “พระแท่นที่ว่างเปล่า” นี้  หมายถึง “องค์พระเยซูเจ้า” ผู้พร้อมจะตอบรับน้ำพระทัยของพระบิดา มอบชีวิตของพระองค์เป็นค่าไถ่ เพื่อความรอดของเราทุกคน

 

เช้าวันศุกร์ จะยังคงพบบรรยากาศที่เงียบสงบ เอื้ออำนวยให้สัตบุรุษมา “เดินรปู 14  ภาค” ทั้งโดยส่วนตัวหรือเป็นหมู่คณะ ถือเป็นกิจศรัทธาพิเศษที่มีความหมายสอดคล้องกับบรรยากาศของวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ อย่างไรก็ตาม พิธีกรรมทางการที่สำคัญของวันนี้ (ซึ่งไม่มีพิธีมิสซา) คือพิธีระลึกถึงพระทรมานของพระคริสตเจ้า ที่แนะนำให้ประกอบพิธีในตอนบ่ายสามโมง เป็นเวลาเดียวกันกับที่นักบุญมัทธิว มาระโก และลูกา บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าได้สิ้นพระชนม์ (และก็เป็นเวลาเดียวกันกับธรรมเนียมของชาวยิว ที่จะฆ่าแกะที่เตรียมไว้สำหรับฉลองปัสกา) แต่เพื่อให้สัตบุรุษมาร่วมได้อย่างพร้อมเพรียง อาจเลือกเวลาอื่นก็ได้ 

 

เมื่อเริ่มพิธี สิ่งที่เห็นโดดเด่นอยู่ต่อหน้าเราทุกคน คือพระแท่นที่ว่างเปล่า พระสงฆ์แห่ออกมาในความเงียบสงบ แล้วไปนอนหมอบราบที่หน้าพระแท่น (หรืออาจจะคุกเข่าแทนก็ได้) การหมอบราบนี้มีความหมายเดียวกันกับการหมอบราบของผู้ได้รับการบวชเป็นสังฆานุกรหรือเป็นพระสงฆ์ ที่พร้อมจะมอบชีวิตทั้งหมดโดยสิ้นเชิงแด่พระเจ้า ซึ่งผู้เป็นแบบฉบับก็คือ  องค์พระเยซูเจ้า นั่นเอง 

 

พระมหาทรมานตามคำบอกเล่าของนักบุญยอหน์ ถูกเล่าให้เราฟังและรำพึงอีกครั้งหนึ่ง  พร้อมกับมีบทภาวนาเพื่อมวลชนในรูปแบบดั้งเดิม ที่เปิดหัวใจของเราให้คิดถึงพระศาสนจักรสากล คิดถึงสังคมส่วนรวม พร้อม ๆ กับคิดถึงสถานการณ์ปัจจุบันของเราเองด้วย 

 

พิธีนมัสการไม้กางเขน ที่เริ่มต้นถ้อยคำประกาศจากพระสงฆ์ “นี่คือไม้กางเขน……”  และการตอบรับจากที่ชุมนุม ต่อด้วยการเปิดผ้าคลุม และที่สุด การเข้ามานมัสการไม้กางเขนอย่างใกล้ชิด ควบคู่ไปกับการอ่านบทรำพึงหรือขับร้องบทเพลงที่ปราศจากเสียงดนตรี  เพื่อให้อยู่ในบรรยากาศของการระลึกถึงการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ (อาจจะมีเสียงดนตรีเฉพาะเพื่อช่วยประคองเสียงร้องนำของพระสงฆ์) 

 

แม้ไม่มีพิธีมิสซา ภาคที่สามของพิธีกรรมวันนี้ คือภาครับศีลมหาสนิท ที่ศีลมหาสนิทได้รับการจัดเตรียมและเสกไว้อย่างเพียงพอตั้งแต่คืนวันพฤหัส (มีศีลแผ่นใหญ่เผื่อไว้เพื่อให้พระสงฆ์ยกแสดงแก่สัตบุรุษในพิธีวันศุกร์ด้วย)  

 

เราคงไม่ลืมวันนี้ เป็นอีกวันหนึ่งที่เราจะจำศีลอดเนื้อและอดอาหาร 

 

ปีพิธีกรรมเดินทางมาถึงวันที่สำคัญที่สุด คือค่ำวันเสาร์ (คืนตื่นเฝ้า) ด้วย “พิธีตื่นเฝ้า”  บนพระแท่นมีผ้าปูดังที่เคย มีเทียนตั้งไว้ (แต่ยังไม่จุด) ดอกไม้ที่ห่างหายไปตลอดเทศกาลมหาพรตกลับมาอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับเสียงดนตรี บทเพลงพระสิริรุ่งโรจน์ และการขับร้อง “อัลเลลูยา” อย่างสง่า

 

พิธีวันนี้แบ่งออกเป็น 4 ภาค เริ่มตั้งแต่ พิธีแสงสว่าง ที่มีการเสกไฟและแห่เทียนปัสกา จบด้วยการประกาศสมโภชปัสกาอย่างสง่า และเข้าสู่ภาคที่สอง คือภาควจนพิธีกรรม ผ่านทางพระวาจาของพระเจ้า จากบทอ่านหลาย ๆ บท จะช่วยเชื่อมโยงให้เราเข้าใจถึงปัสกาของชาวยิวกับปัสกาของเราคริสตชน  

 

ภาคที่สามคือพิธีศีลลา้งบาป เริ่มด้วยการเสกน้ำล้างบาป หรือเสกน้ำเสก ต่อจากนั้น จะเป็นช่วงเวลาที่สำคัญและน่ายินดี ทั้งสำหรับผู้เตรียมตัวเป็นคริสตชนและพี่น้องคริสตชน ทุกคนที่จะได้ต้อนรับสมาชิกใหม่ด้วยพิธีล้างบาป รวมทั้งจะได้กล่าวคำรื้อฟื้นคำสัญญาแห่งศีลล้างบาป ก่อนจะก้มศีรษะรับการพรมน้ำเสกจากพระสงฆ์ เตือนใจเราอีกครั้งหนึ่งให้คิดถึงพระพรแห่งศีลล้างบาป คิดถึงกระแสเรียกแห่งการเป็นคริสตชน และเตือนตนเองให้เจริญชีวิตสอดคล้องกับกระแสเรียกนี้ 

 

ภาคที่ 4 คือภาคศีลมหาสนิท ที่ทั้งคริสตชนใหม่และคริสตชนทั่วไปจะเดินออกมาสู่โต๊ะศักดิ์สิทธิ์เพื่อรับองค์พระเยซูเจ้า ผู้เป็นอาหารแท้นิรันดร

 

ตอนท้ายของพิธี พระสงฆ์จะกล่าวคำปิดพิธีที่ต่อท้ายด้วยคำว่า “อัลเลลูยา อัลเลลูยา”  เช่นเดียวกับที่เราจะตอบว่า “ขอขอบพระคุณพระเจ้า อัลเลลูยา อัลเลลูยา”  (ซึ่งจะกล่าวเช่นนี้ต่อเนื่องตลอดอัฐมวารปัสกา) 

 

วันรุ่งขึ้น คือวันฉลองอาทิตย์ปัสกา บรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ยังคงปรากฏให้เห็น ด้วยพิธีกรรมที่สง่างาม แม้จะไม่มีพิธีพิเศษใด ๆ นอกจากการรับฟัง  “บทเสริม” ก่อนพระวรสาร (ส่วนการเสกไข่ปัสกา เป็น “ธรรมเนียม” ที่เพิ่มเติมเข้ามา และ ใช้ไข่เป็นสัญลักษณ์หมายถึงการได้รับชีวิตใหม่นั่นเอง) 

 

ถึงแม้จะอธิบายพอจะให้เห็นภาพของการฉลองพิธีกรรมในช่วงที่สำคัญที่สุด แต่ก็ยังไม่เท่ากับการที่เราได้ไปร่วมอยู่ในการฉลองดังกล่าวนี้ จึงขอเชิญชวนพี่น้องทุกท่านไปพบกับความหมายและได้รับคุณค่าที่แท้จริงของการสมโภชปัสกา ฉลองการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้า ด้วยการร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันในทุก ๆ พิธีกรรม ที่แต่ละวัดได้จัดเตรียมไว้สำหรับพี่น้องทุกๆ คน

 

ที่มา: คุณพ่ออนุสรณ์ แก้วขจร