11 กรกฎาคม
ระลึกถึง นักบุญ เบเนดิกต์ เจ้าอธิการ
(St. Benedict, Abbot, memorial)
นักบุญเบเนดิกต์ ดำเนินชีวิตในช่วงปี ค.ศ. 480-547 เกิดจากตระกูลผู้ดีในเมืองเล็กๆชื่อนอร์เซีย (Nursia) ในแคว้นอุมเบรีย (Umbria) ของอิตาลี ได้ใช้ชีวิตช่วงวัยรุ่นอยู่ที่กรุงโรม แต่ท่านได้เห็นชีวิตของเพื่อนนักเรียนที่ไร้แก่นสาร และได้รู้ถึงสภาพที่เศร้าของประเทศในเวลานั้น ที่อยู่ภายใต้การปกครองของ The Arian Theodoric the Goth ทำให้ท่านละทิ้งทุกสิ่งในขณะที่มีอายุแค่ 16 ปี เพื่อแสวงหาความรอดพ้น โดยไปเจริญชีวิตฤาษีแบบโดดเดี่ยวในถ้ำลับๆที่อยู่สูงเหนือเมืองซูบีอาโก (Subiaco) ภายในเวลาไม่กี่ปี ท่านก็มีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในด้านชีวิตจิตและความศักดิ์สิทธิ์ มีผู้คนเลื่อมใสในตัวท่าน และพากันมาหาท่านเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนมีบันทึกถึงท่านในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ การทำอัศจรรย์ และการแนะนำวิญญาณ และนี่เองดึงดูดให้ผู้คนสมัครมาเป็นศิษย์ของท่านยิ่งทียิ่งมากขึ้น จนท่านได้สร้างอารามขึ้นมาถึง 12 แห่ง แต่ละแห่งประกอบด้วยสมาชิกฤาษี 12 คน พร้อมด้วยอธิการของตนเอง
นักบุญเบเนดิกต์ได้สร้างโรงเรียนหลายโรงเพื่อให้การศึกษาทางด้านคริสตชนแก่บรรดาเยาวชน ด้วย ความสำเร็จนี้ทำให้มีผู้มาเยือนด้วยความอยากรู้อยากเห็นจำนวนมาก ที่เดินทางมาดูงานจากกรุงโรม ในขณะเดียวกันก็เป็นที่อิจฉาของฤาษีอื่นๆ ในละแวกนั้นที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับท่าน ต่อมาท่านได้รับการบริจาคที่ดินซึ่งอยู่ไปทางใต้ของประเทศ ท่านจึงย้ายจากเมืองซูบีอาโกที่อยู่มา 28 ปี ไปอยู่ที่มอนเต คาสสิโน (Monte Cassino) ในปี ค.ศ. 529 ที่นั่นท่านได้สร้างอารามใหญ่ซึ่งกลายมาเป็นบ้านแม่ของฤาษีคณะเบเนดิกติน เพื่อการนำคริสตชนชาวยุโรปกลับคืนมาและฟื้นฟูชีวิตขึ้นใหม่
ตรงข้ามกับชีวิตสันโดษในตอนเริ่มต้นที่เมืองซูบีอาโก อารามแห่งใหม่เปรียบประดุจประภาคารส่องแสงที่ใหญ่โตตั้งโดดเด่นอยู่บนเขา อยู่กึ่งกลางระหว่างทางจากโรมไปเนเปิลส์ ธรรมวินัยศักดิ์สิทธิ์ 526 ข้อของคณะมีจุดมุ่งหมายเพื่อการฝึกตนทั้งทางด้านศีลธรรม และด้านจิตใจให้แก่บรรดาฤาษี โดยถือตามคำแนะนำแห่งพระวรสาร และเพราะความมีเหตุผล ความทันสมัย และประยุกต์ใช้ได้ทุกๆที่และทุกอายุ ทำให้ค่อยๆเป็นที่ยอมรับว่าเป็นข้อกำหนดของอารามฤาษีทั่วทั้งภาคตะวันตก และตรงข้ามกับการถือวินัยของพวกฤาษีที่ปลีกวิเวกในอียิปต์ ธรรมวินัยของท่านเน้นความสำคัญของชีวิตส่วนรวม (community life) และความนอบน้อมด้วยความยินดีแบบครบครัน ท่านสอนฤาษีให้ทำงานที่สมัยนั้นถือว่าเป็นงานของทาสติดที่ดิน และการทำงานด้วยมือ (ด้วยน้ำพักน้ำแรง) ในผืนแผ่นดินที่ถูกทิ้งไว้ว่างเปล่า ท่านสอนให้ฤาษีของท่านสร้างศักดิ์ศรีในการทำงานขึ้นมาใหม่ ท่านสอนว่า "คนเราต้องทำงาน และโดยการทำงานภายใต้ความเชื่อฟัง จะนำเรากลับไปสู่พระเจ้า ส่วนคนที่จะถูกทิ้งไป ก็เพราะความเกียจคร้านโดยไม่ยอมเชื่อฟังของเขานั่นเอง" และยังสอนอีกว่า "พวกเราต้องเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานและความเจ็บปวดเพื่อเห็นแก่พระเจ้า ในทุกๆเนื้องานที่จำเป็น เพราะพระหรรษทานจะไม่ตอบสนองให้กับวิญญาณของคนที่เกียจคร้าน การทำงานนั้นต้องบวกคำภาวนาเข้าไปด้วย นี่จะเป็นกิจการของพระเจ้า ที่จะทำให้เรารับรู้ด้วยความถ่อมตนของการประทับอยู่ของพระองค์ ดังนั้น ก็จะเป็นการประกาศความเชื่อแบบสั้นๆ เป็นการสรรเสริญและโมทนาคุณตลอดทั้งวัน การภาวนาส่วนบุคคลให้ทำด้วยน้ำตาและใจที่ศรัทธา" ยังสอนให้ยึดมั่นในคำปฏิญาณประกอบไปด้วย ความยากจน ความบริสุทธิ์ และความนอบน้อมเชื่อฟัง และความผูกพันอย่างมั่นคงต่ออารามหนึ่งๆตลอดชีวิต และต่างจากความคิดเรื่องความยากจนของคณะฟรังซิสกันที่มาภายหลัง อารามฤาษีของคณะเบเนดิกตินต้องไม่เพียงเลี้ยงดูตัวเองได้เท่านั้น แต่ต้องอยู่ในฐานะที่ช่วยคนจน คนเจ็บไข้ได้ป่วย คนที่ทนทุกข์ทรมาน และให้ที่พึ่งพิงแก่คนแปลกหน้าได้ด้วย
โดยการสั่งสอน การศึกษาเล่าเรียน และการคัดลอกลายมือจากต้นฉบับ บรรดาฤาษีของคณะเบเนดิกตินได้เก็บรักษาข้อเขียนคลาสสิกทั้งภาษากรีกและโรมันผ่านช่วงยุคมืด(the Dark Ages)มาได้ บรรดาอธิการ พวกขุนนาง ตลอดจนคนธรรมดาๆได้เดินทางมาปรึกษากับผู้ก่อตั้งผู้ศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้ และได้รับแรงบันดาลใจจากความสงบ ความสง่างาม ทัศนะที่สมดุล และหนทางแห่งชีวิตจากท่าน ตามความคิดของท่าน บรรดาอธิการจะต้องมีความเพียรพยายามเสมอที่จะปลูกความรักมากกว่าความหวาดกลัวให้กับลูกน้องของพวกท่าน คนยากจนพบว่าท่านเป็นผู้ปกป้องคุ้มกันที่เปี่ยมด้วยเมตตา แม้แต่ King Totila of the Goths ที่ไปเยี่ยมที่ Monte Cassino ก็ยังมีความประทับใจอย่างยิ่งในตัวท่าน จนว่าพระองค์สามารถควบคุมอารมณ์เสียให้ลดน้อยลงได้หลังจากการเยือนครั้งนั้น
ตามที่เล่าต่อกันมา เชื่อว่าท่านสิ้นชีพในวันที่ 21 มีนาคม ค.ศ. 547 ในวัดของอารามของท่าน มือทั้งสองของท่านยกขึ้นสู่สวรรค์ขณะกำลังภาวนา หลังจากได้รับศีลมหาสนิท และได้ถูกฝังไว้เคียงข้างน้องสาวของท่าน คือนักบุญสกอลัสติกาในวัดน้อยของนักบุญยอห์นบัปติสต์ที่คาสสิโน แม้ท่านเองไม่ได้เป็นพระสงฆ์ แต่คณะของท่านได้มอบสมาชิกไว้ให้แก่พระศาสนจักรเป็นพระสันตะปาปาไม่น้อยกว่า 24 องค์ พระสังฆราช 4,600 องค์ และนักบุญมากกว่า 5,000 องค์ ยิ่งกว่านั้นยังมีในด้านพิธีกรรม และในงานมิชชันนารี อีกทั้งยังมีงานที่ทรงคุณค่าที่ให้แก่มวลมนุษยชาติในด้านศิลปะ วิทยาศาสตร์ และเกษตรกรรม ท่านได้ชื่อว่าเป็น "บิดาแห่งชีวิตฤาษีของพระศาสนจักรตะวันตก" (The Patriarch of Western Monks) ท่านถูกอ้อนวอนขอให้กรณีคนที่เป็นโรคไฟลามทุ่ง (erysipelas) คนที่เป็นนิ่ว และคนที่โดนยาพิษ คติพจน์ของท่านคือ "จงภาวนา และ จงทำงาน" (= Ora et Labora)
(ถอดความโดย คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ จากหนังสือ Saint Companions For Each Day ; เขียนโดย A.J.M. Mausolfe และ J.K. Mausolfe)