ทำไมชาวคาทอลิกจึงทำการเคารพพระธาตุต่างๆ
“พระธาตุ” (relic) ของผู้ตายที่ดูธรรมดาแต่มีค่านั้น เป็นความทรงจำถึงพวกเขา ความทรงจำเป็นทั้งแหล่งความรู้เกี่ยวกับผู้ตายและยังช่วยบรรเทาใจแก่เราด้วย หลังจากพระคริสตเจ้าทรงเสด็จสู่สวรรค์ ความทรงจำเกี่ยวกับพระองค์และคำสั่งสอนของพระองค์นั้น บรรดาศิษย์ของพระองค์ถือว่าเป็นสมบัติล้ำค่าจากความทรงจำเหล่านี้จึงได้มีการเขียนพระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ขึ้น
นอกจากการระลึกผู้ล่วงลับ ซึ่งเป็นพระธาตุในทางจิตใจแล้ว ยังมีสิ่งที่จับต้องได้ของผู้ตายที่ยังคงอยู่ บรรดาคริสตชนยุคแรกๆ ให้ความนับถือและความเคารพต่อพระธาตุของบรรดามรณสักขี หนังสือเรื่อง “การเป็นมรณสักขีของโปลีการ์ป” นั้นเขียนขึ้นหลังจากการเป็นมรณสักขีของท่านได้ไม่นาน คือในปี ค.ศ. 156 สะท้อนภาพรวมที่บรรดาคริสตชนของศตวรรษที่ 2 ได้แสดงความเคารพต่อพระธาตุของบรรดานักบุญ “ดังนั้น เหนือสิ่งอื่นใด เราได้รวบรวมกระดูกของท่านไว้ ซึ่งมีค่าสำหรับเรายิ่งกว่าเพชร และดีเลิศกว่าทองคำบริสุทธิ์ เราวางท่านลงในสถานที่เหมาะสม เมื่อสบโอกาสเหมาะ เราจัดชุมนุมกันด้วยความชื่นชมยินดี และด้วยการอนุญาตขององค์พระผู้เป็นเจ้า เราจะจัดเฉิลมฉลองวันเกิดใหม่ในการเป็นมรณสักขีของท่าน ซึ่งจะช่วยให้เราระลึกถึงทุกคนที่ได้วิ่งถึงเส้นชัยแล้วก่อนพวกเรา และยังเป็นการฝึกเตรียมตัวเพื่อจะสวมมงกุฎใดๆ ที่อาจได้รับ” (เทียบ Early Christian Writings, Penguin ed, p.162)
ในช่วงที่มีการเบียดเบียนศาสนาใหม่ๆ นั้น ร่างกายของบรรดามรณสักขีถูกฝังไว้ในสุสานใต้ดิน ที่ซึ่งสัตบุรุษมาชุมนุมสวดภาวนาและถวายบูชามิสซา จึงเกิดเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในพิธีมิสซาจารีตโรมัน คือให้ถวายบูชามิสซาเหนือพระธาตุของบรรดามรณสักขี ณ ที่เก็บพระธาตุของท่านไว้ คือ ที่พระแท่นหรือที่แผ่นหินพระธาตุบนพระแท่น
เรามิเพียงแต่เก็บความทรงจำบุคคลที่เรารักและได้จากไป แสดงความรักและความนับถือด้วยการไปเยี่ยมหลุมศพของพวกท่านเท่านั้น แต่ยังให้คุณค่ากับของที่ระลึก หรือสิ่งของที่พวกท่านใช้ หรือ อะไรก็ตามที่เคยเป็นของพวกท่าน ในทำนองเดียวกัน นอกเหนือจากร่างกายที่ยังเหลืออยู่ของบรรดานักบุญ ของใช้ของพวกท่านหรือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับพวกท่านในทางใดทางหนึ่ง ก็ถือเป็นพระธาตุด้วย
พระศาสนจักรส่งเสริมการใช้พระธาตุ อย่างเช่นรูปภาพที่ใช้เป็นสื่อให้เกียรติบรรดานักบุญ อันที่จริงพระธาตุนั้นมีความเชื่อมโยงกับนักบุญโดยตรงมากกว่ารูปภาพ เนื่องจากเป็นร่างกายที่ยังเหลืออยู่ของผู้ตาย หรือสิ่งของที่พวกท่านใช้ สภาสังคายนาแห่งนิเชครั้งที่ 2 (ค.ศ. 787) ได้กล่าวโทษบรรดาผู้ต่อต้านพิธีเคารพพระธาตุ
มีเหตุผลมากมายในการให้ความเคารพต่อพระธาตุ เหตุผลประการหนึ่งตามที่ได้กล่าวไปแล้ว คือ เป็นวิธีการให้เกียรติบรรดานักบุญ และในการให้เกียรตินักบุญนั้น เรายกย่องให้เกียรติองค์พระเจ้าเอง สภาสังคายนาวาติกันที่ 2 บอกว่า “ทุกกิจการที่แสดงความเคารพต่อท่านนักบุญนั้นสิ้นสุดลงที่องค์พระผู้เป็นเจ้า โดยธรรมชาติอันเป็นแก่นแท้นั้น การแสดงความรักต่อชาวสวรรค์อย่างถูกต้องทุกครั้ง ต้องมุ่งไปสิ้นสุดที่พระคริสตเจ้าผู้ทรงเป็น “มงกุฎแห่งบรรดานักบุญ” และผ่านทางพระคริสตเจ้าก็ไปสิ้นสุดลงที่พระเจ้า พระองค์ทรงเป็นที่น่าพิศวงของบรรดานักบุญ ทั้งทรงได้รับพระเกียรติมงคลในบรรดานักบุญด้วย” (Dogmatic Constitution on the Church, 50)
การแสดงความเคารพต่อพระธาตุนั้นยังเป็นรูปแบบหนึ่งของการภาวนาวอนขอความช่วยเหลือและการปกป้องจากบรรดานักบุญ ยิ่งกว่านั้นพระธาตุดลใจเราให้เจริญรอยตามวิถีชีวิตของนักบุญต่างๆ ที่เราทำการระลึกถึง
แน่นอนว่ามีการใช้พระธาตุแบบหลงงมงาย นี่คือเหตุผลประการหนึ่งว่าทำไมจึงเกิดการปฏิรูปโปรเตสแตนท์ขึ้นในศตวรรษที่ 16 คัดค้านเรื่องการใช้พระธาตุ ประมวลกฎหมายพระศาสนจักร เตือนเรื่องการใช้พระธาตุในทางที่ผิดว่า “ห้ามขายพระธาตุศักดิ์สิทธิ์อย่างเด็ดขาด” ( ม.1190 วรรค 1)
ปัญหาอีกประการหนึ่งที่เกี่ยวกับพระธาตุคือ เรื่องความไม่แน่นอนในเรื่องความแท้จริงของพระธาตุบางอย่าง ในประเด็นดังกล่าวนี้ วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ช่วยเราได้มากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการกำหนดอายุของพระธาตุนั้นๆ
คงต้องเสริมอีกว่า การแสดงความเคารพต่อพระธาตุได้เป็นที่นิยมของศาสนาอื่นๆ ด้วยเช่นกัน มีพระธาตุหลายชนิดที่เชื่อมโยงกับองค์พระพุทธเจ้า ซึ่งชาวพุทธแสดงความเคารพเป็นพิเศษ เช่น พระเขี้ยวแก้วในเมืองแคนดี้ ที่พวกเขาถือว่ามีความศักดิ์สิทธิ์มาก