แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ

CATECHETICAL CENTER OF BANGKOK ARCHDIOCESE

thzh-CNenfritjako

วันพฤหัสบดี สัปดาห์ที่ 7 เทศกาลปัสกา

พระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญยอห์น (ยน 17:20-26)                        

เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเงยพระพักตร์ขึ้นเบื้องบน ตรัสว่า “ข้าพเจ้าอธิษฐานภาวนามิใช่สำหรับคนเหล่านี้เท่านั้น แต่สำหรับผู้ที่จะเชื่อในข้าพเจ้า ผ่านทางวาจาของเขาด้วย ข้าแต่พระบิดา ข้าพเจ้าอธิษฐานภาวนา เพื่อให้ทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงอยู่ในข้าพเจ้า และข้าพเจ้าอยู่ในพระองค์ เพื่อให้เขาทั้งหลายอยู่ในพระองค์และในข้าพเจ้า โลกจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงส่งข้าพเจ้ามา พระสิริรุ่งโรจน์ที่พระองค์ประทานให้ข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าได้ให้แก่เขา เพื่อให้เขาเป็นหนึ่งเดียวกัน เช่นเดียวกับที่พระองค์และข้าพเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน ข้าพเจ้าอยู่ในเขา และพระองค์ทรงอยู่ในข้าพเจ้า เพื่อเขาจะได้เป็นหนึ่งเดียวกันโดยสมบูรณ์ โลกจะได้รู้ว่าพระองค์ทรงส่งข้าพเจ้ามา และพระองค์ทรงรักเขาเช่นเดียวกับที่ทรงรักข้าพเจ้า ข้าแต่พระบิดา ผู้ที่พระองค์ประทานให้ข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าปรารถนาให้เขาอยู่กับข้าพเจ้าทุกแห่งที่ข้าพเจ้าอยู่ เพื่อเขาจะได้เห็นพระสิริรุ่งโรจน์ ซึ่งพระองค์ประทานแก่ข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทรงรักข้าพเจ้า ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก ข้าแต่พระบิดาผู้ทรงเที่ยงธรรม โลกไม่รู้จักพระองค์ แต่ข้าพเจ้ารู้จักพระองค์ และคนเหล่านี้รู้ว่า พระองค์ทรงส่งข้าพเจ้ามา ข้าพเจ้าบอกให้เขารู้จักพระนามของพระองค์ และจะบอกให้รู้ต่อไป เพื่อความรักที่พระองค์ทรงรักข้าพเจ้าจะได้อยู่ในเขา และข้าพเจ้าจะได้อยู่ในเขาด้วยเช่นเดียวกัน”


ยน 17:21-26 จุดประสงค์ทั้งสิ้นของแผนการแห่งความรอดพ้นของพระเจ้า คือนำทุกคนเข้ามีส่วนร่วมกับชีวิตของพระเจ้าในพระตรีเอกภาพ ความสุขปัจจุบันบนโลกนี้และชีวิตนิรันดร์ในสวรรค์เกิดจากความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับแต่ละพระบุคคลในพระตรีเอกภาพโดยทางพระเยซูคริสตเจ้า พระคริสตเจ้าทรงแสดงให้เห็นชัดเจนว่าเอกภาพระหว่างบรรดาศิษย์ของพระคริสตเจ้าและพระตรีเอกภาพนี้ปรากฏให้เห็นในความชื่นชมยินดี  เพื่อที่โลกจะได้รู้จักข้าพเจ้า : เอกภาพที่มองเห็นได้ของพระศาสนจักรเป็นเครื่องหมายถึงต้นกำเนิดอันศักดิ์สิทธิ์ของพระศาสนจักรเอง เอกภาพดังกล่าวแสดงให้เห็นโดยทางสมเด็จพระสันตะปาปาผู้สืบตำแหน่งต่อจากนักบุญเปโตรและบิชอปทุกคนในโลกที่ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ พระสงฆ์และสังฆานุกรเป็นศาสนบริกรทำงานร่วมกับบิชอปหรือผู้ใหญ่ของตนเช่นเดียวกัน เอกภาพนี้ ยังสะท้อนให้เห็นได้จากพันธกิจร่วมกันของผู้มีความเชื่อทุกคน และจากแบบอย่างของความรักอย่างแรงกล้าที่มีต่อกัน ความเป็นเอกภาพของพระศาสนจักรที่พระคริสตเจ้าทรงมอบให้เรานั้นจะไม่มีวันสูญสิ้นไป แต่เรียกร้องการทำงานและการอธิษฐานภาวนาอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาและทำให้เอกภาพนั้นสมบูรณ์แบบ   

การเปิดเผยพระองค์อย่างสมบูรณ์

  CCC ข้อ 73 พระเจ้าทรงเปิดเผยพระองค์อย่างสมบูรณ์โดยทรงส่งพระบุตร พระองค์ทรงสถาปนาพันธสัญญาที่จะคงอยู่ตลอดนิรันดรในองค์พระบุตร พระบุตรนี้คือพระวจนาตถ์เด็ดขาดของพระบิดา และดังนี้จึงจะไม่มีการเปิดเผยใดๆ หลังจากนี้อีกแล้ว

พระราชกิจของพระเจ้าและพันธกิจของพระตรีเอกภาพ

  CCC ข้อ 260 จุดประสงค์สูงสุดของแผนการณ์กอบกู้ทั้งหมดของพระเจ้าคือการที่สิ่งสร้างทั้งปวงเข้ามารวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระตรีเอกภาพอย่างสมบูรณ์ แต่ทว่าตั้งแต่บัดนี้แล้วเราได้รับเรียกมาให้พระตรีเอกภาพประทับอยู่ด้วย เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ผู้ใดรักเรา ผู้นั้นจะปฏิบัติตามวาจาของเรา พระบิดาของเราจะทรงรักเขา พระบิดาจะเสด็จพร้อมกับเรามาหาเขา จะทรงพำนักอยู่กับเขา” (ยน 14:23)

  “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพเจ้า พระตรีเอกภาพที่ข้าพเจ้ากราบนมัสการ โปรดช่วยข้าพเจ้าให้ลืมตนเองอย่างสมบูรณ์เพื่อจะวางตนในพระองค์ได้อย่างมั่นคงและมั่นใจประหนึ่งว่าวิญญาณข้าพเจ้าอยู่ในนิรันดรภาพแล้ว ขออย่าให้สิ่งใดมารบกวนสันติของข้าพเจ้าและดึงข้าพเจ้าไปจากพระองค์ ข้าแต่พระเจ้าของข้าพเจ้าผู้ไม่ทรงเปลี่ยนแปลง แต่ขอให้เวลาทุกขณะนำข้าพเจ้าเข้าในพระธรรมล้ำลึกของพระองค์ลึกซึ้งยิ่งขึ้น โปรดบันดาลให้วิญญาณข้าพเจ้าอยู่ในสันติ โปรดให้วิญญาณข้าพเจ้าเป็นสวรรค์ของพระองค์ เป็นที่ประทับซึ่งทรงรักของพระองค์ เป็นที่พักผ่อนของพระองค์ โปรดอย่าให้ข้าพเจ้าทอดทิ้งพระองค์ไว้โดดเดี่ยวที่นั่นเลย แต่ขอให้ข้าพเจ้าอยู่ที่นั่นกับพระองค์อย่างสมบูรณ์ ให้ข้าพเจ้าตื่นเฝ้าพระองค์อย่างสมบูรณ์ด้วยความเชื่อ กราบนมัสการพระองค์อย่างสมบูรณ์ มอบตนเองให้ทรงเนรมิตสร้างอย่างสมบูรณ์”

หนทางไปสู่เอกภาพ

  CCC ข้อ 820 “พระคริสตเจ้าทรงมอบเอกภาพนี้ให้แก่พระศาสนจักรของพระองค์แล้วตั้งแต่แรกเริ่ม [...] เราเชื่อว่าเอกภาพนี้จะคงอยู่ไม่มีวันสูญหายไปในพระศาสนจักรคาทอลิกและหวังว่าจะเจริญเติบโตขึ้นทุกๆ วันตลอดไปตราบจนสิ้นพิภพ” พระคริสตเจ้าประทานพระพรเอกภาพแก่พระศาสนจักรของพระองค์อยู่เสมอ แต่พระศาสนจักรก็ต้องอธิษฐานวอนขอและออกแรงทำงานเพื่อถนอมรักษา ส่งเสริม และทำให้เอกภาพที่พระคริสตเจ้าทรงประสงค์สำหรับพระศาสนจักรนี้สมบูรณ์ไป เพราะเหตุนี้ พระเยซูเจ้าเองในช่วงเวลาแห่งพระทรมานจึงทรงอธิษฐานต่อพระบิดาและยังไม่ทรงหยุดยั้งที่จะอธิษฐานขอให้บรรดาศิษย์ของพระองค์มีเอกภาพ “... เพื่อให้ทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกันเช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงอยู่ในข้าพเจ้า และข้าพเจ้าอยู่ในพระองค์ เพื่อให้เขาทั้งหลายอยู่ในพระองค์และในข้าพเจ้า โลกจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงส่งข้าพเจ้ามา” (ยน 17:21) พระประสงค์ที่จะทรงทำให้คริสตชนทั้งหลายกลับมามีเอกภาพอีกนั้นเป็นของประทานของพระคริสตเจ้าและเป็นการเรียกจากพระจิตเจ้า”

  CCC ข้อ 821 เพื่อตอบสนองพระประสงค์นี้ได้อย่างเหมาะสม จำเป็นต้องมีเงื่อนไขต่อไปนี้

- พระศาสนจักรจำเป็นต้องปรับปรุงตนอยู่ตลอดเวลาให้มีความซื่อสัตย์ยิ่งขึ้นต่อกระแสเรียกของตน การปรับปรุงตนนี้เป็นพลังขับเคลื่อนไปสู่เอกภาพ

- การกลับใจ เพื่อแต่ละคน “จะได้พยายามดำเนินชีวิตของตนตามพระวรสาร” เพราะความไม่ซื่อสัตย์ของส่วนต่างๆ ของพระวรกายต่อของประทานจากพระคริสตเจ้าเป็นสาเหตุของความแตกแยก

- การอธิษฐานภาวนาร่วมกัน เพราะ “การกลับใจและความศักดิ์สิทธิ์ของชีวิต พร้อมกับการวอนขอทั้งส่วนตัวและทำร่วมกันเพื่อเอกภาพของบรรดาคริสตชนต้องนับว่าเป็นจิตวิญญาณของขบวนการทั้งหมดเพื่อเอกภาพของคริสตชน และยังสมจะเรียกได้ว่า ‘คริสตศาสนิกชนสัมพันธ์ด้านจิตใจ’”

- การยอมรับว่าเป็นพี่น้องกัน

- การตั้งสถาบันคริสตศาสนิกชนสัมพันธ์ ของบรรดาผู้มีความเชื่อและโดยเฉพาะของบรรดาพระสงฆ์

- การเสวนาระหว่างบรรดานักเทววิทยา และการประชุมระหว่างคริสตชนจากคริสตจักรและชุมชนต่างๆ

- การร่วมมือกัน ระหว่างคริสตชนในงานรับใช้ประชาชนด้านต่างๆ

  CCC ข้อ 822 “พระศาสนจักรทั้งหมด ทั้งผู้มีความเชื่อและผู้อภิบาลจำเป็นต้องสาละวนเอาใจใส่ในการรื้อฟื้นเอกภาพนี้” แต่เราก็ต้องมีความสำนึกด้วยว่า “ความตั้งใจศักดิ์สิทธิ์ที่จะรวบรวมคริสตชนทุกคนเข้ามาอยู่ในเอกภาพเดียวและพระศาสนจักรเดียวนี้เป็นภารกิจที่เกินกำลังและความสามารถของมนุษย์” ดังนั้น เราจึงตั้งความหวังทั้งหมดของเราไว้ “ในคำอธิษฐานภาวนาของพระคริสตเจ้าสำหรับพระศาสนจักร ในความรักของพระบิดาเจ้าต่อเรา และในพลังของพระจิตเจ้า”

ทำไมต้องมีศาสนบริการของพระศาสนจักร

  CCC ข้อ 877 ในทำนองเดียวกัน ศาสนบริการด้านศีลศักดิ์สิทธิ์ของพระศาสนจักรมีธรรมชาติเป็นศาสนบริการร่วมกันเป็นหมู่คณะ อันที่จริง นับตั้งแต่เมื่อทรงเริ่มออกเทศนาสั่งสอนแล้ว พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงแต่งตั้งศิษย์สิบสองคนให้เป็น “เมล็ดพันธุ์ของอิสราเอลใหม่และเป็นจุดเริ่มต้นของพระฐานานุกรม” เขาเหล่านี้ได้รับเลือกพร้อมกัน และยังถูกส่งไปพร้อมกันด้วย เอกภาพการเป็นพี่น้องกันของเขาทั้งหลายจะต้องมีอยู่เพื่อรับใช้ผู้มีความเชื่อทุกคนซึ่งมีความสัมพันธ์กันฉันพี่น้อง ซึ่งจะเป็นเสมือนภาพสะท้อนและเป็นพยานยืนยันถึงความสนิทสัมพันธ์ของพระเจ้าทั้งสามพระบุคคล เพราะเหตุนี้ พระสังฆราชแต่ละองค์จึงปฏิบัติศาสนบริการของตนภายในคณะพระสังฆราช ในความสัมพันธ์กับพระสังฆราชแห่งกรุงโรมผู้สืบตำแหน่งของนักบุญเปโตรและเป็นประมุขของคณะพระสังฆราช บรรดาพระสงฆ์ก็ปฏิบัติศาสนบริการในคณะสงฆ์ของสังฆมณฑลภายใต้การปกครองดูแลของพระสังฆราชของตน

(จากหนังสือ THE DIDACHE BIBLE with commentaries based on the Catechism of the Catholic Church, Ignatius Bible Edition)